1.แผนการเล่นรวมถึงวินัยของผู้เล่นที่โค้ชชอบ, การจัดวางตำแหน่งล้วนมีผลกับผลงานของทีมโดยตรง
กรณีนี้ขอยกตัวอย่าง กาเบรียล เจซุส ของอาร์เซนอล ที่ตอนอยู่แมนซิฟอร์มไม่ปัง เพราะเล่นในตำแหน่งฟอลไนน์วินัย 100%
และบางเกมก็ถูกถ่างออกมาเล่นปีกขวา หน้าที่หลักคือทำเกม จ่ายบอลซะส่วนใหญ่ยิงเองบ้างแต่โดยตำแหน่งที่ยืนจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสยิงเองซักเท่าไหร่
ถ้าถามถึงวินัย โอเคทำได้ตามที่โค้ชกำหนดแต่อิสระในการเล่น การใช้ความสามารถเฉพาะตัวจึงมีน้อย
แต่พอมาอยู่กับอาร์เซนอล ได้ยืนตำแหน่งหน้าเป้า ลงต่ำมาล้วงบอลเองบ้าง หน้าที่หลักคือทำประตูและสร้างสรรค์โอกาสยิงประตู
จึงได้เห็นเขาแสดงความสามารถเฉพาะตัวออกมามากขึ้น เพราะมีอิสระในการยืนตำแหน่งค่อนข้างมากกว่าตอนที่อยู่กับแมนซิ
และความสม่ำเสมอของการลงสนามที่มีมากกว่า จึงทำให้ฟอร์มการเล่นเฉพาะตัวโดดเด่นขึ้นมาอีก
2.ผู้เล่นและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผมสังเกตว่าเวลาที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา ถ้าไม่เก่งจริงแป๊บเดียวเท่านั้นทีมคู่แข่งก็จับทางได้แล้ว
ก็ต้องบอกว่าด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทีมรองหรือทีมเล็กใน EPL ส่วนใหญ่ก็จะสามารถแก้ปัญหาและหาทางเอาชนะผู้เล่นของทีมคู่แข่งได้เสมอ (เรียกว่าปิดจุดแข็งของคู่ต่อสู้) ดังนั้นความหลากหลายของแผนการเล่น ความสมารถของผู้เล่นและการเอาตัวรอดในสถานการณ์เฉพาะหน้าของตัวผู้เล่นเอง จึงจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้เล่นเกรด A และเกรดรองลงมาในจุดนี้ และเราจะเห็นว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ของเราที่ได้มามักจะเป็นผู้เล่นเกรด B ถึง B+ เท่านั้น เมื่อเจอสถานการณ์เฉพาะหน้า ตอนที่จะต้องเอาตัวรอดจึงเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน (คืนหลังเน้นครองบอล)
ผมขอยกตัวอย่างเป็นรายบุคคล ดังนี้ครับ
2.1 ดิอาซ ช่วงแรกๆ ดูโดดเด่น แต่ด้วยแผนการเล่นและการวางตำแหน่งทำให้แสดงศักยภาพไม่เต็มที่ จึงไม่เหมือนกับเป็นเดอะแบกตอนอยู่กับทีมเล็กๆ
และด้วยเทคโนโลยีการวิเคราะห์วิจัยของทีมคู่แข่ง ใน EPL ทำให้ไม่นาน ดิอาซก็เลยเงียบลงไป เนื่องจากเริ่มถูกจับแนวทางการเล่นได้นั่นเอง
2.2 เฟอร์มิโน่ เห็นชัดเลยเมื่อขาดตัวชนแบบมาเน่ มาเน่จะวิ่งไล่เพรสจนถึงหน้าประตูแทบทุกลูก เฟอร์มิโน่ก็แค่อ่านทางบอลและคอยซ้อนอีกที งานจึงออกมาเหมือนง่าย พอขาดมาเน่ไปเราจึงเห็นได้ชัดเจนว่า เฟอร์มิโน่โดดเดียวในการไล่กดดันแย่งบอลจากแนวรับของคู่แข่ง และอีกอย่างด้วยความเคยชินกับแผนการเล่นแบบฟอลไนน์ บางครั้งบางจังหวะควรเลี้ยงจี้เข้าไปยิงเองบ้าง แต่เฟอร์มิโน่แทบจะไม่เคยทำเลย(อาจจะถูกกำหนดวิธีการเล่นจากโค้ชก็ได้)
เช่น วันแดงเดือด ตอนที่รุมแย่งบอลจากบรูโน่ได้ (บริเวณเส้น 18 หลา) แทนที่เฟอร์มิโน่จะลากจี้เข้าไปยิงเอง กลับยกบอลไปให้เฮนโด้จึงเสียของไป (โอกาสได้ประตูตีเสมอแต่ก็ทิ้งไปซะงั้น) เพราะความอิสระในการเล่นและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตัวนักเตะเอง แต่ถามว่าเล่นแบบมีวินัยมั้ย ใช่ครับ วินัย 100% และทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างดีเยี่ยม
2.3 เควิน เดอ บรอยน์ หรือ เอ็มบัปเป้ เหล่านี้คือนักเตะเกรด A ของจริง ความสามารถเฉพาะตัวสูง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดี ไม่ว่าคู่แข่งจะจับทางมาแบบไหน พวกเขาเหล่านี้ก็จะสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและเอาตัวรอดได้เสมอ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เหรียญมักจะมี 2 ด้านเสมอ การแสดงความสามารถเฉพาะตัวมากเกินไปก็อาจจะหลุดออกจากการเล่นแบบมีวินัยในเกมและอาจจะกลายเป็นไม่เล่นตามแผนที่โค้ชสั่งไปเลยก็ได้ ยกตัวอย่าง เช่น เนมาร์ หรือ เอ็ม บับเป้(ในบางครั้ง) ซึ่งอาจจะพาลไปถึงการเสียสปิริตในทีมอีกด้วย
ดังนั้นหน้าที่ตรงนี้จึงขึ้นอยู่กับโค้ชหรือผู้จัดการทีมที่จะต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ ที่จะต้องตัดสินใจและเลือกเอาระหว่างผู้เล่นที่เล่นได้ตามสั่ง 100% กับผู้เล่นที่มีอีโก้สูง ถ้าโค้ชเก่งๆ ก็จะสามารถผสมผสานส่วนผสม 2 อย่างนี้ได้อย่างลงตัว
ขอพูดถึงฟุตบอลเกี่ยวกับ แผนการเล่น, ผู้เล่นและเทคโนโลยีสมัยนี้นะครับ
1.แผนการเล่นรวมถึงวินัยของผู้เล่นที่โค้ชชอบ, การจัดวางตำแหน่งล้วนมีผลกับผลงานของทีมโดยตรง
กรณีนี้ขอยกตัวอย่าง กาเบรียล เจซุส ของอาร์เซนอล ที่ตอนอยู่แมนซิฟอร์มไม่ปัง เพราะเล่นในตำแหน่งฟอลไนน์วินัย 100%
และบางเกมก็ถูกถ่างออกมาเล่นปีกขวา หน้าที่หลักคือทำเกม จ่ายบอลซะส่วนใหญ่ยิงเองบ้างแต่โดยตำแหน่งที่ยืนจึงไม่ค่อยได้มีโอกาสยิงเองซักเท่าไหร่
ถ้าถามถึงวินัย โอเคทำได้ตามที่โค้ชกำหนดแต่อิสระในการเล่น การใช้ความสามารถเฉพาะตัวจึงมีน้อย
แต่พอมาอยู่กับอาร์เซนอล ได้ยืนตำแหน่งหน้าเป้า ลงต่ำมาล้วงบอลเองบ้าง หน้าที่หลักคือทำประตูและสร้างสรรค์โอกาสยิงประตู
จึงได้เห็นเขาแสดงความสามารถเฉพาะตัวออกมามากขึ้น เพราะมีอิสระในการยืนตำแหน่งค่อนข้างมากกว่าตอนที่อยู่กับแมนซิ
และความสม่ำเสมอของการลงสนามที่มีมากกว่า จึงทำให้ฟอร์มการเล่นเฉพาะตัวโดดเด่นขึ้นมาอีก
2.ผู้เล่นและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผมสังเกตว่าเวลาที่มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา ถ้าไม่เก่งจริงแป๊บเดียวเท่านั้นทีมคู่แข่งก็จับทางได้แล้ว
ก็ต้องบอกว่าด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทีมรองหรือทีมเล็กใน EPL ส่วนใหญ่ก็จะสามารถแก้ปัญหาและหาทางเอาชนะผู้เล่นของทีมคู่แข่งได้เสมอ (เรียกว่าปิดจุดแข็งของคู่ต่อสู้) ดังนั้นความหลากหลายของแผนการเล่น ความสมารถของผู้เล่นและการเอาตัวรอดในสถานการณ์เฉพาะหน้าของตัวผู้เล่นเอง จึงจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้เล่นเกรด A และเกรดรองลงมาในจุดนี้ และเราจะเห็นว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ของเราที่ได้มามักจะเป็นผู้เล่นเกรด B ถึง B+ เท่านั้น เมื่อเจอสถานการณ์เฉพาะหน้า ตอนที่จะต้องเอาตัวรอดจึงเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน (คืนหลังเน้นครองบอล)
ผมขอยกตัวอย่างเป็นรายบุคคล ดังนี้ครับ
2.1 ดิอาซ ช่วงแรกๆ ดูโดดเด่น แต่ด้วยแผนการเล่นและการวางตำแหน่งทำให้แสดงศักยภาพไม่เต็มที่ จึงไม่เหมือนกับเป็นเดอะแบกตอนอยู่กับทีมเล็กๆ
และด้วยเทคโนโลยีการวิเคราะห์วิจัยของทีมคู่แข่ง ใน EPL ทำให้ไม่นาน ดิอาซก็เลยเงียบลงไป เนื่องจากเริ่มถูกจับแนวทางการเล่นได้นั่นเอง
2.2 เฟอร์มิโน่ เห็นชัดเลยเมื่อขาดตัวชนแบบมาเน่ มาเน่จะวิ่งไล่เพรสจนถึงหน้าประตูแทบทุกลูก เฟอร์มิโน่ก็แค่อ่านทางบอลและคอยซ้อนอีกที งานจึงออกมาเหมือนง่าย พอขาดมาเน่ไปเราจึงเห็นได้ชัดเจนว่า เฟอร์มิโน่โดดเดียวในการไล่กดดันแย่งบอลจากแนวรับของคู่แข่ง และอีกอย่างด้วยความเคยชินกับแผนการเล่นแบบฟอลไนน์ บางครั้งบางจังหวะควรเลี้ยงจี้เข้าไปยิงเองบ้าง แต่เฟอร์มิโน่แทบจะไม่เคยทำเลย(อาจจะถูกกำหนดวิธีการเล่นจากโค้ชก็ได้)
เช่น วันแดงเดือด ตอนที่รุมแย่งบอลจากบรูโน่ได้ (บริเวณเส้น 18 หลา) แทนที่เฟอร์มิโน่จะลากจี้เข้าไปยิงเอง กลับยกบอลไปให้เฮนโด้จึงเสียของไป (โอกาสได้ประตูตีเสมอแต่ก็ทิ้งไปซะงั้น) เพราะความอิสระในการเล่นและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของตัวนักเตะเอง แต่ถามว่าเล่นแบบมีวินัยมั้ย ใช่ครับ วินัย 100% และทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างดีเยี่ยม
2.3 เควิน เดอ บรอยน์ หรือ เอ็มบัปเป้ เหล่านี้คือนักเตะเกรด A ของจริง ความสามารถเฉพาะตัวสูง การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าดี ไม่ว่าคู่แข่งจะจับทางมาแบบไหน พวกเขาเหล่านี้ก็จะสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและเอาตัวรอดได้เสมอ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เหรียญมักจะมี 2 ด้านเสมอ การแสดงความสามารถเฉพาะตัวมากเกินไปก็อาจจะหลุดออกจากการเล่นแบบมีวินัยในเกมและอาจจะกลายเป็นไม่เล่นตามแผนที่โค้ชสั่งไปเลยก็ได้ ยกตัวอย่าง เช่น เนมาร์ หรือ เอ็ม บับเป้(ในบางครั้ง) ซึ่งอาจจะพาลไปถึงการเสียสปิริตในทีมอีกด้วย
ดังนั้นหน้าที่ตรงนี้จึงขึ้นอยู่กับโค้ชหรือผู้จัดการทีมที่จะต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ ที่จะต้องตัดสินใจและเลือกเอาระหว่างผู้เล่นที่เล่นได้ตามสั่ง 100% กับผู้เล่นที่มีอีโก้สูง ถ้าโค้ชเก่งๆ ก็จะสามารถผสมผสานส่วนผสม 2 อย่างนี้ได้อย่างลงตัว