สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
แม่คุณเปลี่ยนไม่ได้หรอก ดูตัวอย่างจากที่มาตอบก็ได้ เพราะคนพวกนี้มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แม่จะพูดหรือทำอะไรกับลูกก็คือความหวังดีไปหมด แม่คุณก็มองว่าตัวเขาหวังดี
ลองเปลี่ยนตัวละครเป็นป้าข้างบ้าน หรือญาติที่นาน ๆ เจอที่มาทักเรื่องอ้วนเรื่องดำสิ คำตอบในกระทู้อาจจะเป็นอีกแบบไปเลย ทั้งที่เขาก็จะบอกว่าทักเพราะหวังดี แล้วคุณจะเจอคนแบบนี้อีกมากในสังคมไทย มันไม่เปลี่ยนใน 5ปี10ปีหรอก
ท้ายที่สุด เมื่อเปลี่ยนเขาไม่ได้ แต่เราแสดงออกแบบไม่ก้าวร้าวได้ แนะนำว่าถ้าเขาทักมา หูทวนลมเดินหนีไปเลย ไปอยู่ห้องอื่น บริเวณอื่นในบ้าน ไม่ต้องพูดแล้ว แค่มองนิ่ง ๆ แล้วไม่ตอบ เขาคุยเรื่องอื่นค่อยกลับไปคุยกับเขา
ลองเปลี่ยนตัวละครเป็นป้าข้างบ้าน หรือญาติที่นาน ๆ เจอที่มาทักเรื่องอ้วนเรื่องดำสิ คำตอบในกระทู้อาจจะเป็นอีกแบบไปเลย ทั้งที่เขาก็จะบอกว่าทักเพราะหวังดี แล้วคุณจะเจอคนแบบนี้อีกมากในสังคมไทย มันไม่เปลี่ยนใน 5ปี10ปีหรอก
ท้ายที่สุด เมื่อเปลี่ยนเขาไม่ได้ แต่เราแสดงออกแบบไม่ก้าวร้าวได้ แนะนำว่าถ้าเขาทักมา หูทวนลมเดินหนีไปเลย ไปอยู่ห้องอื่น บริเวณอื่นในบ้าน ไม่ต้องพูดแล้ว แค่มองนิ่ง ๆ แล้วไม่ตอบ เขาคุยเรื่องอื่นค่อยกลับไปคุยกับเขา
ความคิดเห็นที่ 7
เอาจริงๆนะ เราไม่เห็นรู้สึกว่าสิ่งที่แม่คุณทักหรือพูดมันเป็นการบูลลี่ตรงไหน แน่นอนว่าเค้าไม่ทักเพื่อนคุณว่าอ้วนขึ้นเพราะเค้าไม่ใช้ลูกแม่ไง การที่คนนึงจะสังเกตว่าขาใหญ่ขึ้นนะนี่ต้องใส่ใจเบอร์มากประมาณหนึ่งเลยนะคะ เวลาแม่หรือยายเราทักว่าเราอ้วนขึ้นนะ เราก็แค่ อืม…ก็กินเยอะอ่ะ ไม่ได้ออกกำลังกายเลย คือมันก็เป็น fact อย่างหนึ่ง หรือทักว่า ดำขึ้นนะ เราก็ อืม…ไปทะเลมา ดำจริงแหละ หรือคนทักว่าเตี้ย เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเราเตี้ยจริงๆ ทำไมต้องเก็บให้มาเป็นประเด็น คือมันควรดูบริบทด้วยว่าเค้าพูดออกมาเพื่ออะไร ทักกับบูลลี่มันไม่เหมือนกันค่ะ
คุณควรเปลี่ยนทัศนคติก็ดีนะ คุณบอกว่ารับไม่ได้ที่แม่ทักว่าคุณอ้วน แล้วเพื่อนหรืออาจารย์หรือคนอื่นไม่เคยมีคนทักคุณเหรอคะ แล้วคุณโต้ตอบกลับไปอย่างไร ทำแบบเดียวกับที่ทำกับแม่คุณหรือไม่
คุณควรเปิดใจซักหน่อย เพราะคุณยังจะได้เจอกับคำพูดร้ายๆอีกเยอะค่ะ
คุณควรเปลี่ยนทัศนคติก็ดีนะ คุณบอกว่ารับไม่ได้ที่แม่ทักว่าคุณอ้วน แล้วเพื่อนหรืออาจารย์หรือคนอื่นไม่เคยมีคนทักคุณเหรอคะ แล้วคุณโต้ตอบกลับไปอย่างไร ทำแบบเดียวกับที่ทำกับแม่คุณหรือไม่
คุณควรเปิดใจซักหน่อย เพราะคุณยังจะได้เจอกับคำพูดร้ายๆอีกเยอะค่ะ
ความคิดเห็นที่ 4
ทัศนะคติต่างกัน แม่มองเป็นเรื่องเล็ก เรามองเป็นเรื่องใหญ่ แล้วการจะเปลี่ยนความคิดคนมันยากขนาดตัวเรามองเรื่องที่แม่พูดให้เป็นเรื่องเล็กเรายังทำไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ ไม่งั้นคงไม่ต้องทะเลาะกันหรอก ที่ทำได้ก็คือไม่ต้องเก็บมาคิดหรือใส่ใจกับพูดพวกนั้น
แล้วอีกอย่างสิ่งที่แม่ทำ ไม่ใช่การ Bully
แล้วอีกอย่างสิ่งที่แม่ทำ ไม่ใช่การ Bully
ความคิดเห็นที่ 14
กรณีย์ของคุณ ผมไม่เรียกว่า Bully หรอก แม่คุณเขารักคุณ อยากจะเห็นคุณสวย ก็ติให้คุณรู้ ผมว่าคุณ over sensitive เกินไป และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง พอแม่ติหน่อย โมโหถึงขนาดจะให้แม่ขอโทษ ผมสงสารแม่คุณนะ อยู่กับแม่จนโตขนาดนี้ น่าจะชินกับนิสัยแม่ได้แล้วครับ คุณต้องปรับตัวเอง ให้เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้น คุณจะได้มีภูมิคุ้นกันในคำพูดของคนอื่น อย่าให้คำพูดคนอื่นมาทำให้คุณไม่สบายใจได้
แสดงความคิดเห็น
เมื่อไหร่แม่จะเข้าใจว่าบูลลี่
หลังจากนั้นก็เป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปค่ะ ไม่ได้ผอมเพรียว ละก็ไม่ได้อ้วน หุ่นเราค่อนไปทางสมส่วนแบบมากๆเลยละ รู้สึกว่าใส่อะไรก็สวย แต่งตัวยังไงก็สวย ถ่ายรูปยังไงก็สวย (ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่) แต่ก็จะมีบวมบ้าง เป็นธรรมดาของคนนะคะ ปัจจุบันอยู่ปี 2 ละค่ะ
วันนี้ทะเลาะแม่เพราะ เราก็ยืนอยู่ในบ้านเนี่ยละค่ะ แม่ก็ทักว่า ขาจะใหญ่เหมือนตอนแต่ก่อนแล้วนะ แค่นั้นละเราช็อตฟีลไปแปปนึง ละก็มานอนคุยกะแม่ (ปกติเรากับแม่ก็คุยเล่นกัน คุยปรับทุกไปเรื่อย ค่อนข้างสนิทกัน) เรามานอนคุยกับแม่ แบบดีๆๆๆ เลยนะ พูดเหมือนคุยเรื่องทั่วไปหมดเลย และพยายามพูดแบบข้อๆให้แม่ฟังง่ายๆ
เรื่องที่คุยกับแม่คือ
1 แม่คิดว่า ร่างกายเราเองเปลี่ยนไปนิดเดียว เราจะรู้สึกไหม เช่น วันนี้แก้มบวมจัง วันนี้นิ้วเท้าบวมจัง วันนี้ตาคล้ำกว่าวันอื่นเลย หรือเล็กๆเลยแบบ วันนี้เล็บยาวขึ้นละนิดนึง
เราคิดว่าตัวเราจะรู้ทุกอย่าง เรื่องเล็กๆก็จะรู้ พยายามจะสื่อกับแม่ว่าร่างกายตัวเองเปลี่ยนแปลงแม้จะเล็กแค่ไหน ตัวเราเองก็จะรู้นะ ไม่ต้องบอกเลย หนูรู้ตัวว่าช่วงนี้อ้วนขึ้น ไม่ต้องทักหรอก
2 คำพูดพวกนี้ หนูฟังแล้วหนูเสียใจนะ
ที่เราเล่าไปตอนแรกว่าพยายามคุยกับเขามาตลอดตั้งแต่ม.ต้น หมายถึง คุยเรื่องการพูด การทักข้อเสียคนเนี่ยละค่ะ แต่ก่อนแกก็ชอบทักคนอื่นด้วยเหมือนคนแก่(50+)ทั่วๆไป แต่เราคุยกับแม่บ่อยมากกกกก จนเขาก็รู้นะ เราว่าเขารู้ ว่าคำพูดไหนไม่ควรพูด เพราะเขาไม่ทักเพื่อนเรา หรือญาติพี่น้องเลย
เราก็ถามเขาไปว่า ทำไมไม่ทักเพื่อนหนูละที่อ้วนขึ้น ไม่ทักพี่สาวหนูละ(ญาติ)ว่าอ้วนขึ้น เพราะว่ารู้ใช่ไหมว่าเขาได้ยินละเขาจะไม่ชอบ แล้วประโยคที่ทักละ ถ้าสมมติเราไปทักคนอื่นจะทักว่าไง สมมติ "น้อง.. ขาใหญ่ขึ้นป่ะลูก" กับทักเรา "..ขาใหญ่ขึ้นนะลูก" ถามหน่อยว่าประโยคมันต่างกันตรงไหน ทำไมกับคนอื่นไม่กล้า กับลูกกล้าทัก
เราพูดกับเขาประมาณชั่วโมงนึง รวมถึงพูดกับเขาอีกว่า หนูพูดแบบนี้กับแม่มาตั้งแต่ม.3ละมั้ง พูดประโยคเดิม พูดแบบเดิม ว่าหนูเสียใจ ว่าร่างกายเราเรารุ้ดี แต่ไม่นึกว่าปี2 ก็ยังต้องพูดอยู่
เอาตรงๆเราก็ไม่คาดหวังว่าเขาจะเลิกพูดหรอก แค่ไม่คิดว่าจะกล้าทักตรงๆทั้งๆที่รู้ว่าเราไม่ชอบให้ทัก เราจะบอกว่าแต่ก่อนตอนม.ต้นที่เขามาทักเรา เราถึงกับโวยวาย ร้องไห้เสียใจจะเป็นจะตาย พอโตขึ้นก็เริ่มอธิบายด้วยเหตุผล แล้วก็อธิบายมาด้วยเหตุผลแบบนี้มาทุกๆครั้งที่เขาพูด ไม่เข้าใจทำไมเขาไม่เลิกทักสักที
กลับมาที่แม่เรา หลังจากที่เราพยายามพูดจนจบ แม่เราพูดกับเราว่า "แตะไม่ได้เลย" "เรื่องแค่นี้เองไม่นึกว่าหนูจะคิดขนาดนั้น" "จะไม่จบอีกหรอ" เขาพูดๆมาประมาณนี้ เราชามาก เขาไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ บอกก่อนนะคะว่า เราพยายามมองในมุมเขาที่สุดแล้วเท่าที่เรามองได้ เราพยายามคิดว่า ตอนเด็กๆเขาก็โดนทักแบบนี้ คนวัยนี้เขาทักกันแบบนี้ อะไรทำนองนี้ที่สุดแล้ว นั้นแหละค่ะเราถึงได้พยายามอธิบายในเหตุผลที่สุด โดยย้ำไปตลอดเลยว่า หนูเสียใจ หนูเสียใจ
ความคิดฝั่งแม่นะคะ
1 พูดเพราะหวังดี ไม่ใช่ลูกไม่พูดนะเนี่ย เขาบอกไม่อยากให้โตมาอ้วนเหมือนเขา เขาแก่แล้วลดยากนะ ลดไปก็ไม่สวย
ข้อนี้เราตอบแม่เราไปด้วยเหตุผลทั้ง 2ข้อด้านบนค่ะ
2 หนูอ่ะกินจนเกินลิมิตแล้ว เห็นเดี๋ยวก็กิน เดี๋ยวก็กิน ถ้าไม่ทักก็ไม่หยุดกิน
เรากินพวกชาบูไรงี้ ถี่อยู่ค่ะสำหรับคนในบ้าน ประมาณ อาทิตละครั้ง หรือสองอาทิตย์ครั้ง แล้วเราก็ติดกินขนมมาก ชอบกินหลังกินข้าว กินน้ำปั่นอเไรแบบนี้ เราก็ให้คำตอบไปว่า ถ้าหนูอ้วนขึ้นเพราะหนูกินแบบนี้ หนูก็ต้องยอมรับตัวเองให้ได้ เรามีมายเซ็ตที่คิดว่าก่อนจะกินอะไร ก็ต้องยอมรับผลที่กินเข้าไปให้ได้ และแน่นอนว่าเราก็รับตัวเองได้มาตลอด ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้อ้วนนะคะ แบบว่ามันก็มีพุง ต้นแขนต้นขาอะไรก็มี แต่ก็หุ่นวัยรุ่นทั่วๆไปอ่ะค่ะ
แล้วก็เริ่มทะเลาะเพราะแม่บอกจะเอายังไง จะให้กราบเลยไหมถึงจะพอใจ เป็นแม่นะทำไมจะพุดไม่ได้ ก็อีกพวกเซ็ตคำตอบก็คนแก่เวลาเด็กด่าอ่ะค่ะ เราก็เลยตอบแม่ว่า แค่พุดว่าขอโทษ ก็จบแล้ว แม่เราก็ขึ้นเลยต้องไปกราบด้วยไหม เป็นลูกเทวดาหรอ อะไรประมาณนี้
เราตอบแม่ไป (อันนี้ทะเลาะกันแล้วเรียบแล้ว ไม่คุยด้วยเสียงปกติแล้ว) ว่าขอโทษเฉยๆ แค่พูดว่าขอโทษเอง ยายก็ขอโทษแม่ได้ ตาก็ขอโทษแม่ได้ หนูก็ขอโทษแม่ได้ แล้วหนูก็ต้องขอโทษลูกหนูได้ มันก็แค่นี้เอง ประโยคที่อยากได้ยินมากที่สุดคือ ขอโทษ จะไม่พูดแบบนี้อีกนะ แค่นี้เอง แล้วถ้าเขาพูดอีก เราก็มานั่งคุยกัน บอกกันดีๆ เหมือนเดิมได้อีกนี่นา ก็เป็นแม่ลูกกันนี่ เราเข้าใจว่าเขาแก้ไม่หายอยู่แล้ว
เสียใจมาก เอาตรงๆทุกครั้งที่ทะเลาะกันเรื่องนี้ จุดจบมีอยู่สองทางคือ ก็ตึงใส่กัน กับปรับทุกข์อยู่ดีๆก็เปลี่ยนเรื่องคุย มีแค่นี้ละค่ะ แต่ไม่ว่าจบไปทางไหน เราก็เสียน้ำตาอยู่ดี ที่เสียใจไม่ใช่ที่เขาบูลลี่ แต่เสียใจที่เขายังไม่เข้าใจ จะอีกกี่ปีก็ไม่มีวันเข้าใจ แล้วก็ไม่คิดจะเข้าใจเลยซักนิดเดียว
ปล.ทุกวันนี้ยังใส่เสียผ้าสวยอยู่นะ แม่จะเอาหุ่นนางแบบเลยหรือไง เหนื่อยนะ แต่ไปเรียนก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว แค่ได้กินของอร่อยๆมันเป็นปัญหาขนาดนั้นเลยหรอ