ภาคีนักกฏหมาย-นายกองค์การนศ.หลายสถาบัน จ่อฟ้อง ผบ.สส. ลักไก่เพิ่มโทษพรก.ฉุกเฉิน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3517400
ภาคีนักกฏหมาย-นายกฯองค์การนศ.หลายสถาบัน จ่อฟ้อง ผบ.สส. ลักไก่เพิ่มโทษพรก.ฉุกเฉิน
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความแจ้งประกาศพร้อมฟ้องเลิกพรก.ฉุกเฉิน โดย ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ร่วมกับผู้นำนักศึกษาหลายมหาวิทยาลัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องให้เพิกถอนประกาศจาก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ที่อ้างอำนาจ พรก.ฉุกเฉิน แต่ “
ลักไก่” เพิ่มเงื่อนไข และเพิ่มโทษให้ผู้ชุมนุมโดยไม่มีอำนาจ
ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ระบุว่า วันที่ 22 สิงหาคม 2565 เวลา 10.00 น. ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นิสิตและนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย เช่น
เจนิสษา แสงอรุณ นายกองค์การบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
พสิน ยินดี ประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
สิรภพ อัตโตหิ องค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
วชิรวิทย์ เทศศรีเมือง องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ฯลฯ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผบ.สส. เป็นจำเลย ขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งเพิกถอนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ฉบับที่ 15 และขอให้ศาลเปิดไต่สวนเพื่อคุ้มครองชั่วคราว
สืบเนื่องจากวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 47 กำหนดให้การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ย่อมกระทําได้ โดยให้นําหลักเกณฑ์การจัดและการแจ้งการชุมนุม รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะมาใช้โดยอนุโลม โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กำหนดมาตรการขึ้นเป็นการเฉพาะ
“เพื่อคุ้มครองประชาชน รวมทั้งอำนวยความสะดวกและดูแลการชุมนุม…”
ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2565 พล.อ.
เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงออกประกาศฉบับที่ 15 ในข้อ 5 ระบุให้นำหลักเกณฑ์การแจ้งการจัดและการแจ้ง รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามกฎหมายชุมนุมสาธารณะหรือพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 (พ.ร.บ.ชุมนุมฯ)มาใช้ หากฝ่าฝืนให้รับโทษตามมาตรา 18 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คือ จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งที่โทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มีอัตราโทษที่ต่ำกว่าอยู่หลายมาตรา
การออกประกาศดังกล่าว จึงถือเป็นการออกคำสั่งเพิ่มทั้ง
“ข้อห้าม” และ
“หน้าที่” สำหรับผู้ชุมนุม เกินไปกว่าอำนาจที่ ผบ.สส. มีตามข้อกำหนดฉบับที่ 47 และยังเพิ่มบทลงโทษในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของพ.ร.บ.ชุมนุมฯ ให้สูงเท่ากับการฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งผบ.สส. ไม่มีอำนาจออกประกาศเช่นนี้
ผู้ฟ้องคดีนัดหมายที่จะแถลงข่าว และยื่นฟ้องคดีในเวลา 10.00 จากนั้นจะยื่นขอให้ศาลแพ่งไต่สวนเป็นการฉุกเฉินในวันเดียวกัน เพื่อออกคำสั่งเพื่อคุ้มครองชั่วคราวให้ประกาศผบ.สส. ฉบับนี้ไม่มีผลบังคับใช้ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ด้วย ซึ่งอาจมีการไต่สวนต่อ และออกคำสั่งในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน
หมดหนทางไปต่อ! โรงงานปิดฟ้าผ่า 100ชีวิตตกงาน บีบหัวใจผู้บริหารโบกมืออำลา
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7222346
หมดหนทางไปต่อ! โรงงานปิดฟ้าผ่า 100 ชีวิตตกงานทันที บีบหัวใจผู้บริหารโบกมืออำลา เผยเป็นโรงงานแห่งหนึ่งในอมตะชลบุรี
ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ หลายธุรกิจเจอกับปัญหาถาโถมเข้ามามากมาย ต้องเดือดร้อนทั้งเจ้าของธุรกิจและพนักงานที่ต้องทำงานหาเช้ากินค่ำ ยิ่งต้องมาเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องที่บีบหัวใจยิ่งนัก
ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก ข่าวสารชลบุรี-ระยอง เผยถึงโรงงานแห่งหนึ่งในอมตะชลบุรี เมื่อได้ประกาศปิดกิจการถาวร เนื่องจากไปต่อไม่ไหว ต้องเจอกับปัญหาขาดทุน
โดยระบุว่า หมดหนทางไปต่อ บริษัทในอมตะชลบุรี ประกาศขอปิดกิจการถาวรลง เนื่องจากไปต่อไม่ไหว ปมเหตุขาดทุนยับ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.65 ได้รับรายงานมาว่าบริษัทแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในอมตะชลบุรี ประกาศปิดกิจการถาวร เบื้องต้นได้รับรายงานมาว่าสาเหตุมาจากการขาดทุน และขาดสมดุลภายในบริษัท นำไปสู่การปิดกิจการ ส่งผลให้พนักงานหลักร้อยชีวิตต้องตกงานโดยทันที
เพจ ข่าวสารชลบุรี-ระยอง ยังเผยคลิปวิดีโอบีบหัวใจ นาทีทีมผู้บริหารของโรงงาน ยืนโบกมืออำลาครั้งสุดท้ายให้กับพนักงาน ก่อนที่บริษัทจะปิดกิจการลง
ขอบคุณที่มา เพจ
ข่าวสารชลบุรี-ระยอง
https://www.facebook.com/Newsofpagechonburirayong/posts/pfbid0eqaTaEv1Z47RJFUGu99ERCFFjuuxUZ4wEuFhj2SUT27YshqEjtrt5iYBxvph3BUWl
จตุพร-ทนายนกเขา ท้า ‘อย่ารีบยุบสภา’ ไหว้หลักเมืองเอาชัย ก่อนไล่บิ๊กตู่ หยุด 8ปี - หวั่นใช้ไม่กี่พยางค์เอื้ออยู่ต่อ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3517413
จตุพร-ทนายนกเขา ไหว้ศาลหลักเมือง ก่อนม็อบไล่บิ๊กตู่ หวั่นใช้ช่อง ม.160 (4) เอื้ออยู่ต่อ ท้า ‘อย่ารีบยุบสภา’ อยู่เป็นชนวนสร้างความเปลี่ยนแปลง
เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 20 สิงหาคม นาย
นิติธร ล้ำเหลือ หรือ
ทนายนกเขา และ นาย
จตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมคณะ “
ประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน” เดินทางเข้าสักการะศาลหลักเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนการชุมนุมใหญ่ “นับถอยหลัง 8 ปี ประยุทธ์” วันที่ 21-24 สิงหาคมนี้ ที่ลานคนเมือง
โดยคณะหลอมรวมประชาชน เริ่มจากการนำพวงมาลัย มาสักการะ
“เสาหลักเมือง” ซึ่งในทุกจังหวัดของไทยล้วนมีเสาหลักเมืองประจำจังหวัด เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนในเมืองนั้นๆ ในส่วนของ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร นับเป็นหลักชัยที่เคารพศรัทธาและที่พึ่งทางใจของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ที่นิยมกราบสักการะขอพร โดยเชื่อว่าหากได้มาขอพรเสาหลักเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะช่วยตัดเคราะห์ เสริมโชคชะตา เสริมความมั่นคงรุ่งเรืองในชีวิต และประสบความสำเร็จ
ต่อมา คณะหลอมรวมประชาชน ได้เข้าสักการะ
“เทพารักษ์ 5 องค์” ประจำศาลหลักเมือง ได้แก่ เจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และพระกาฬไชยศรี ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในซุ้มด้านทิศเหนือของศาลหลักเมือง ซึ่งมีความเชื่อว่า เป็นเทพารักษ์ที่ช่วยปกป้องคุ้มครอง และสร้างความร่มเย็นแก่ประเทศชาติและประชาชนทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน นาย
จตุพร ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก เชิญชวนพี่น้องประชาชนออกมาสำแดงพลัง ในวันที่ 21-24 สิงหาคมนี้ ให้ล้นทะลักลานคนเมือง
“พลังประชาชนจะกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ หยุด 8 ปี ไม่ให้อยู่ทำเนียบรัฐบาลได้อีกต่อไป” นายจตุพร ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา นาย
จตุพร และนาย
นิติธร ได้จัดรายการ Exclusive Talk ก่อนถึงวันนับถอยหลัง’ หยุด 8 ปี “ประยุทธ์” ที่สถานีพีซทีวี พร้อมถ่ายทอดสดผ่านทางแฟนเพจ โดยพูดคุยเกี่ยวกับการชุมนุมที่กำลังจะมาถึง โดยทั้ง 2 เชื่อว่า กรณี ม.158 ใน รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดระยะเวลาเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไม่เกิน 8 ปี จะเป็นชนวนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่
นาย
จตุพรกล่าวว่า ถ้าการบังคับใช้กฎหมายละเว้นการปฏิบัติกับคนบ้างคน โดยเฉพาะ พล.อ.
ประยุทธ์ แล้ว จะกลายเป็นชนวนสำคัญให้ประชาชนได้สำแดงพลังเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ในอนาคต ดังนั้น การยื่นตีความจะได้ผลการวินิจฉัยชี้ขาดออกมาทางใดก็ตาม คือ ยุบสภา ลาออก หรือช่วยเหลือปกป้องให้อยู่เป็นนายกรัฐมนตรีได้ต่อ ก็คงเกิดประโยชน์กับ พล.อ.
ประยุทธ์ ทั้งสิ้น แต่สำหรับประเทศ ประชาชนแล้ว ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
“พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปแบบถูกประชาชนจัดการ มาแบบไหนก็ต้องไปแบบนั้น แล้วประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไปง่ายๆ ประเทศจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อและท่ามกลางวิกฤตของประเทศ ทุกกลไกต้องปฎิบัติให้เกิดความเท่าเทียมกันทุกฝ่ายในหลักของกฎหมายบ้านเมือง ไม่ใช่มาละเว้นให้คนแค่คนเดียว” นาย
จตุพรกล่าว
นาย
จตุพร ยังชวนประชาชนออกมาสำแดงพลังในวันที่ 21-24 ส.ค.นี้ ให้ล้นหลามลานคนเมือง เพราะเชื่อและหวังว่า พลังประชาชนจะกดดัน พล.อ.
ประยุทธ์ ไม่ให้อยู่ทำเนียบรัฐบาลได้อีกต่อไป ดังนั้น ขอประชาชนอย่ายอมอยู่กับความสิ้นหวัง เพื่อรอให้เกิดความหวัง เนื่องจากเกือบ 8 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้รู้ว่า ความหวังไม่มีและไม่เคยเกิดขึ้นเป็นจริงสักครั้ง
ส่วนการถกเถียงโต้แย้งกรณีระยะเวลา 8 ปีของ พล.อ.
ประยุทธ์นั้น
นาย
จตุพรระบุว่า ทุกฝ่ายควรยึดหลักข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ มาแสดงความเห็นหาทางออกของวิกฤตบ้านเมืองกัน โดยละเว้นการใช้ความรู้สึกส่วนตัวออกมาโน้มน้าวปกป้องช่วยหาทางออกให้ พล.อ.
ประยุทธ์
สำหรับคณะหลอมรวมประชาชนแล้ว มีข้อสังเกตุว่า หากนายกฯ วันนี้เป็นคนอื่น ไม่ใช่ พล.อ.
ประยุทธ์ การถกเถียงข้อเท็จจริงตาม รัฐธรรมนูญก็ยังนำมาบังคับใช้กับทุกคน และทุกคนที่เป็นนายกฯ ต้องปฏิบัติอย่างเที่ยงตรงตามเจตนารมณ์ ห้ามผูกขาดอำนาจ หยุดใช้อำนาจแทรกแซงองค์กร หน่วยงานเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับฝ่ายตัวเอง ดังนั้น พวกตนออกมาเรียกร้องจึงไม่มีเบื้องหลัง หรือบาดหมางเป็นส่วนตัวกับกลุ่มอำนาจและตัวของ พล.อ.ประยุทธ์
“ผมย้ำว่า การดำรงอยู่เป็นนายกฯ ต่อไปของ พล.อ.ประยุทธ์ คือชนวนของการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ ขออย่าได้รีบลาออก อย่ายุบสภา ขอได้อยู่ต่อไป แต่ยังหวั่นว่าจะลาออกก่อนครบเวลา 8 ปี เพราะจะส่งให้ผลเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้หมดสิ้น ขอ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วยอยู่ต่อด้วย เพื่อให้เป็นต้นเหตุการเปลี่ยนแปลง” นาย
จตุพรกล่าว
ในกรณีค่าไฟแพงนั้น นาย
จตุพรกล่าวว่า มีหลายเรื่องที่คนไทยไม่ควรเสียเงินไปช่วยกลุ่มกิจการที่ไม่ได้ผลิตไฟฟ้า สิ่งนี้เป็นปัญหาหมักหมมของประเทศมานาน ดังนั้น การเรียกร้อง 8 ปี จึงเป็นการกดดันให้เกิดมโนสำนึกของประเทศในเรื่องอื่นๆ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมด้วย
ด้าน นาย
นิติธรชี้ว่า การชุมนุมกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป จะเป็นการตื่นตัวทางการเมืองที่ถูกกดทับมานาน แต่หนักหน่วงในช่วงเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีข้อกังขาถึงความเป็นธรรมทางกฎหมายใช้ได้กับทุกคนหรือไม่ อีกอย่างเมื่อเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยต้องออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งประชาชนจะไว้ใจได้หรือไม่
ในข้อกฎหมายกำหนดระยะเวลานายกฯ ไม่เกิน 8 ปีนั้น รัฐธรรมนูญ 2560 ตาม ม.264 ได้กำหนดวันเริ่มนับเวลา 8 ปีไว้ชัดเจน และสิ่งสำคัญของมาตรานี้ได้แปรความหมายถึงการปฏิรูปทางการเมืองด้วย เพราะเวลารวมไม่เกิน 8 ปีแสดงถึงการห้ามผูกขาดอำนาจ หยุดอำนาจไม่ให้แทรกแซง หรือไปกดทับ กดข่มองค์กรอื่นๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและฝ่ายตัวเอง
ดังนั้น เมื่อมีความแตกต่างทั้ง 2 ฝ่ายได้ถกเถียง โต้แย้งในเรื่องระยะเวลาเป็นนายกฯ แล้ว จึงเท่ากับทุกฝ่ายได้กดดันให้มีการวินิจฉัยตามความต้องการของฝ่ายตนเอง แต่ที่สุดแล้วผลการตีความจะออกมาอย่างไรย่อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศขึ้น โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเบี้ยตัวหนึ่งในการจุดชนวน ดังนั้น ปรากฎการณ์นายกฯ ไม่เกิน 8 ปีจะออกมาอย่างไร ประชาชนต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เพื่อนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดของประเทศ
“ผมกังวลว่า จะมีการใช้ช่องทางเล็กๆ ด้วยข้อความไม่กี่พยางค์ใน รัฐธรรมนูญมาเป็นทางออกในการตีความให้เป็นประโยชน์กับ พล.อ.ประยุทธ์ เช่น ใช้ข้อความตาม ม.160 มีข้อย่อย (4) ระบุถึง ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเป็นนามธรรม แต่อาจนำมาเป็นประโยชน์ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ได้ ซึ่งผมเชื่อว่า คงใช้ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาได
JJNY : จ่อฟ้องผบ.สส.ลักไก่เพิ่มโทษพรก.ฉุกเฉิน│โรงงานปิดฟ้าผ่า 100ชีวิตตกงาน│ท้า ‘อย่ารีบยุบสภา’│ก.ก.-พท.ขอลดงบฯสธ.อีก
https://www.matichon.co.th/politics/news_3517400
ภาคีนักกฏหมาย-นายกฯองค์การนศ.หลายสถาบัน จ่อฟ้อง ผบ.สส. ลักไก่เพิ่มโทษพรก.ฉุกเฉิน
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความแจ้งประกาศพร้อมฟ้องเลิกพรก.ฉุกเฉิน โดย ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ร่วมกับผู้นำนักศึกษาหลายมหาวิทยาลัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องให้เพิกถอนประกาศจาก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ที่อ้างอำนาจ พรก.ฉุกเฉิน แต่ “ลักไก่” เพิ่มเงื่อนไข และเพิ่มโทษให้ผู้ชุมนุมโดยไม่มีอำนาจ
ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ระบุว่า วันที่ 22 สิงหาคม 2565 เวลา 10.00 น. ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก นิสิตและนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัย เช่น เจนิสษา แสงอรุณ นายกองค์การบริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, พสิน ยินดี ประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สิรภพ อัตโตหิ องค์การบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วชิรวิทย์ เทศศรีเมือง องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ฯลฯ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องผบ.สส. เป็นจำเลย ขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งเพิกถอนประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ฉบับที่ 15 และขอให้ศาลเปิดไต่สวนเพื่อคุ้มครองชั่วคราว
สืบเนื่องจากวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีออกข้อกำหนดนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 47 กำหนดให้การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชนที่ย่อมกระทําได้ โดยให้นําหลักเกณฑ์การจัดและการแจ้งการชุมนุม รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะมาใช้โดยอนุโลม โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) กำหนดมาตรการขึ้นเป็นการเฉพาะ “เพื่อคุ้มครองประชาชน รวมทั้งอำนวยความสะดวกและดูแลการชุมนุม…”
ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2565 พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงออกประกาศฉบับที่ 15 ในข้อ 5 ระบุให้นำหลักเกณฑ์การแจ้งการจัดและการแจ้ง รวมทั้งหน้าที่ของผู้จัดและผู้ชุมนุมตามกฎหมายชุมนุมสาธารณะหรือพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 (พ.ร.บ.ชุมนุมฯ)มาใช้ หากฝ่าฝืนให้รับโทษตามมาตรา 18 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คือ จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งที่โทษสำหรับการไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มีอัตราโทษที่ต่ำกว่าอยู่หลายมาตรา
การออกประกาศดังกล่าว จึงถือเป็นการออกคำสั่งเพิ่มทั้ง “ข้อห้าม” และ “หน้าที่” สำหรับผู้ชุมนุม เกินไปกว่าอำนาจที่ ผบ.สส. มีตามข้อกำหนดฉบับที่ 47 และยังเพิ่มบทลงโทษในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของพ.ร.บ.ชุมนุมฯ ให้สูงเท่ากับการฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งผบ.สส. ไม่มีอำนาจออกประกาศเช่นนี้
ผู้ฟ้องคดีนัดหมายที่จะแถลงข่าว และยื่นฟ้องคดีในเวลา 10.00 จากนั้นจะยื่นขอให้ศาลแพ่งไต่สวนเป็นการฉุกเฉินในวันเดียวกัน เพื่อออกคำสั่งเพื่อคุ้มครองชั่วคราวให้ประกาศผบ.สส. ฉบับนี้ไม่มีผลบังคับใช้ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ด้วย ซึ่งอาจมีการไต่สวนต่อ และออกคำสั่งในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน
หมดหนทางไปต่อ! โรงงานปิดฟ้าผ่า 100ชีวิตตกงาน บีบหัวใจผู้บริหารโบกมืออำลา
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7222346
หมดหนทางไปต่อ! โรงงานปิดฟ้าผ่า 100 ชีวิตตกงานทันที บีบหัวใจผู้บริหารโบกมืออำลา เผยเป็นโรงงานแห่งหนึ่งในอมตะชลบุรี
ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ หลายธุรกิจเจอกับปัญหาถาโถมเข้ามามากมาย ต้องเดือดร้อนทั้งเจ้าของธุรกิจและพนักงานที่ต้องทำงานหาเช้ากินค่ำ ยิ่งต้องมาเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องที่บีบหัวใจยิ่งนัก
ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก ข่าวสารชลบุรี-ระยอง เผยถึงโรงงานแห่งหนึ่งในอมตะชลบุรี เมื่อได้ประกาศปิดกิจการถาวร เนื่องจากไปต่อไม่ไหว ต้องเจอกับปัญหาขาดทุน
โดยระบุว่า หมดหนทางไปต่อ บริษัทในอมตะชลบุรี ประกาศขอปิดกิจการถาวรลง เนื่องจากไปต่อไม่ไหว ปมเหตุขาดทุนยับ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.65 ได้รับรายงานมาว่าบริษัทแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในอมตะชลบุรี ประกาศปิดกิจการถาวร เบื้องต้นได้รับรายงานมาว่าสาเหตุมาจากการขาดทุน และขาดสมดุลภายในบริษัท นำไปสู่การปิดกิจการ ส่งผลให้พนักงานหลักร้อยชีวิตต้องตกงานโดยทันที
เพจ ข่าวสารชลบุรี-ระยอง ยังเผยคลิปวิดีโอบีบหัวใจ นาทีทีมผู้บริหารของโรงงาน ยืนโบกมืออำลาครั้งสุดท้ายให้กับพนักงาน ก่อนที่บริษัทจะปิดกิจการลง
ขอบคุณที่มา เพจ ข่าวสารชลบุรี-ระยอง
https://www.facebook.com/Newsofpagechonburirayong/posts/pfbid0eqaTaEv1Z47RJFUGu99ERCFFjuuxUZ4wEuFhj2SUT27YshqEjtrt5iYBxvph3BUWl
จตุพร-ทนายนกเขา ท้า ‘อย่ารีบยุบสภา’ ไหว้หลักเมืองเอาชัย ก่อนไล่บิ๊กตู่ หยุด 8ปี - หวั่นใช้ไม่กี่พยางค์เอื้ออยู่ต่อ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3517413
จตุพร-ทนายนกเขา ไหว้ศาลหลักเมือง ก่อนม็อบไล่บิ๊กตู่ หวั่นใช้ช่อง ม.160 (4) เอื้ออยู่ต่อ ท้า ‘อย่ารีบยุบสภา’ อยู่เป็นชนวนสร้างความเปลี่ยนแปลง
เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. วันที่ 20 สิงหาคม นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมคณะ “ประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน” เดินทางเข้าสักการะศาลหลักเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนการชุมนุมใหญ่ “นับถอยหลัง 8 ปี ประยุทธ์” วันที่ 21-24 สิงหาคมนี้ ที่ลานคนเมือง
โดยคณะหลอมรวมประชาชน เริ่มจากการนำพวงมาลัย มาสักการะ “เสาหลักเมือง” ซึ่งในทุกจังหวัดของไทยล้วนมีเสาหลักเมืองประจำจังหวัด เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนในเมืองนั้นๆ ในส่วนของ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร นับเป็นหลักชัยที่เคารพศรัทธาและที่พึ่งทางใจของผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ ที่นิยมกราบสักการะขอพร โดยเชื่อว่าหากได้มาขอพรเสาหลักเมืองและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะช่วยตัดเคราะห์ เสริมโชคชะตา เสริมความมั่นคงรุ่งเรืองในชีวิต และประสบความสำเร็จ
ต่อมา คณะหลอมรวมประชาชน ได้เข้าสักการะ “เทพารักษ์ 5 องค์” ประจำศาลหลักเมือง ได้แก่ เจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง และพระกาฬไชยศรี ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในซุ้มด้านทิศเหนือของศาลหลักเมือง ซึ่งมีความเชื่อว่า เป็นเทพารักษ์ที่ช่วยปกป้องคุ้มครอง และสร้างความร่มเย็นแก่ประเทศชาติและประชาชนทั่วประเทศ
ขณะเดียวกัน นายจตุพร ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก เชิญชวนพี่น้องประชาชนออกมาสำแดงพลัง ในวันที่ 21-24 สิงหาคมนี้ ให้ล้นทะลักลานคนเมือง
“พลังประชาชนจะกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ หยุด 8 ปี ไม่ให้อยู่ทำเนียบรัฐบาลได้อีกต่อไป” นายจตุพร ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา นายจตุพร และนายนิติธร ได้จัดรายการ Exclusive Talk ก่อนถึงวันนับถอยหลัง’ หยุด 8 ปี “ประยุทธ์” ที่สถานีพีซทีวี พร้อมถ่ายทอดสดผ่านทางแฟนเพจ โดยพูดคุยเกี่ยวกับการชุมนุมที่กำลังจะมาถึง โดยทั้ง 2 เชื่อว่า กรณี ม.158 ใน รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดระยะเวลาเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมไม่เกิน 8 ปี จะเป็นชนวนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่
นายจตุพรกล่าวว่า ถ้าการบังคับใช้กฎหมายละเว้นการปฏิบัติกับคนบ้างคน โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว จะกลายเป็นชนวนสำคัญให้ประชาชนได้สำแดงพลังเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ในอนาคต ดังนั้น การยื่นตีความจะได้ผลการวินิจฉัยชี้ขาดออกมาทางใดก็ตาม คือ ยุบสภา ลาออก หรือช่วยเหลือปกป้องให้อยู่เป็นนายกรัฐมนตรีได้ต่อ ก็คงเกิดประโยชน์กับ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งสิ้น แต่สำหรับประเทศ ประชาชนแล้ว ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา
“พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปแบบถูกประชาชนจัดการ มาแบบไหนก็ต้องไปแบบนั้น แล้วประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไปง่ายๆ ประเทศจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อและท่ามกลางวิกฤตของประเทศ ทุกกลไกต้องปฎิบัติให้เกิดความเท่าเทียมกันทุกฝ่ายในหลักของกฎหมายบ้านเมือง ไม่ใช่มาละเว้นให้คนแค่คนเดียว” นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร ยังชวนประชาชนออกมาสำแดงพลังในวันที่ 21-24 ส.ค.นี้ ให้ล้นหลามลานคนเมือง เพราะเชื่อและหวังว่า พลังประชาชนจะกดดัน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ให้อยู่ทำเนียบรัฐบาลได้อีกต่อไป ดังนั้น ขอประชาชนอย่ายอมอยู่กับความสิ้นหวัง เพื่อรอให้เกิดความหวัง เนื่องจากเกือบ 8 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้รู้ว่า ความหวังไม่มีและไม่เคยเกิดขึ้นเป็นจริงสักครั้ง
ส่วนการถกเถียงโต้แย้งกรณีระยะเวลา 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น
นายจตุพรระบุว่า ทุกฝ่ายควรยึดหลักข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ มาแสดงความเห็นหาทางออกของวิกฤตบ้านเมืองกัน โดยละเว้นการใช้ความรู้สึกส่วนตัวออกมาโน้มน้าวปกป้องช่วยหาทางออกให้ พล.อ.ประยุทธ์
สำหรับคณะหลอมรวมประชาชนแล้ว มีข้อสังเกตุว่า หากนายกฯ วันนี้เป็นคนอื่น ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ การถกเถียงข้อเท็จจริงตาม รัฐธรรมนูญก็ยังนำมาบังคับใช้กับทุกคน และทุกคนที่เป็นนายกฯ ต้องปฏิบัติอย่างเที่ยงตรงตามเจตนารมณ์ ห้ามผูกขาดอำนาจ หยุดใช้อำนาจแทรกแซงองค์กร หน่วยงานเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับฝ่ายตัวเอง ดังนั้น พวกตนออกมาเรียกร้องจึงไม่มีเบื้องหลัง หรือบาดหมางเป็นส่วนตัวกับกลุ่มอำนาจและตัวของ พล.อ.ประยุทธ์
“ผมย้ำว่า การดำรงอยู่เป็นนายกฯ ต่อไปของ พล.อ.ประยุทธ์ คือชนวนของการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ ขออย่าได้รีบลาออก อย่ายุบสภา ขอได้อยู่ต่อไป แต่ยังหวั่นว่าจะลาออกก่อนครบเวลา 8 ปี เพราะจะส่งให้ผลเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้หมดสิ้น ขอ พล.อ.ประยุทธ์ ช่วยอยู่ต่อด้วย เพื่อให้เป็นต้นเหตุการเปลี่ยนแปลง” นายจตุพรกล่าว
ในกรณีค่าไฟแพงนั้น นายจตุพรกล่าวว่า มีหลายเรื่องที่คนไทยไม่ควรเสียเงินไปช่วยกลุ่มกิจการที่ไม่ได้ผลิตไฟฟ้า สิ่งนี้เป็นปัญหาหมักหมมของประเทศมานาน ดังนั้น การเรียกร้อง 8 ปี จึงเป็นการกดดันให้เกิดมโนสำนึกของประเทศในเรื่องอื่นๆ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมด้วย
ด้าน นายนิติธรชี้ว่า การชุมนุมกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ ออกไป จะเป็นการตื่นตัวทางการเมืองที่ถูกกดทับมานาน แต่หนักหน่วงในช่วงเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีข้อกังขาถึงความเป็นธรรมทางกฎหมายใช้ได้กับทุกคนหรือไม่ อีกอย่างเมื่อเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผลการวินิจฉัยต้องออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งประชาชนจะไว้ใจได้หรือไม่
ในข้อกฎหมายกำหนดระยะเวลานายกฯ ไม่เกิน 8 ปีนั้น รัฐธรรมนูญ 2560 ตาม ม.264 ได้กำหนดวันเริ่มนับเวลา 8 ปีไว้ชัดเจน และสิ่งสำคัญของมาตรานี้ได้แปรความหมายถึงการปฏิรูปทางการเมืองด้วย เพราะเวลารวมไม่เกิน 8 ปีแสดงถึงการห้ามผูกขาดอำนาจ หยุดอำนาจไม่ให้แทรกแซง หรือไปกดทับ กดข่มองค์กรอื่นๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองและฝ่ายตัวเอง
ดังนั้น เมื่อมีความแตกต่างทั้ง 2 ฝ่ายได้ถกเถียง โต้แย้งในเรื่องระยะเวลาเป็นนายกฯ แล้ว จึงเท่ากับทุกฝ่ายได้กดดันให้มีการวินิจฉัยตามความต้องการของฝ่ายตนเอง แต่ที่สุดแล้วผลการตีความจะออกมาอย่างไรย่อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศขึ้น โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเบี้ยตัวหนึ่งในการจุดชนวน ดังนั้น ปรากฎการณ์นายกฯ ไม่เกิน 8 ปีจะออกมาอย่างไร ประชาชนต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เพื่อนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดของประเทศ
“ผมกังวลว่า จะมีการใช้ช่องทางเล็กๆ ด้วยข้อความไม่กี่พยางค์ใน รัฐธรรมนูญมาเป็นทางออกในการตีความให้เป็นประโยชน์กับ พล.อ.ประยุทธ์ เช่น ใช้ข้อความตาม ม.160 มีข้อย่อย (4) ระบุถึง ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเป็นนามธรรม แต่อาจนำมาเป็นประโยชน์ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ได้ ซึ่งผมเชื่อว่า คงใช้ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาได