วันศุกร์นี้ไม่รู้จะทำอะไรดี เห็นกระแสหนังอินเดียกำลังบูมอยู่นิดๆ ก็ขอรีวิวหนังที่ดูมาแล้ว โดยจัดอันดับตามลำดับหนังที่ทำรายได้สูงสุดในทั่วโลกมา (มีทั้งหมด 50 อันดับ แต่ตัดเฉพาะที่ดูมาแล้ว โดยจัดลำดับตามเดิม) ไม่อธิบายเยอะ ขอรีวิวเลยดีกว่าครับ (แน่นอนว่า ไม่มีคังคุไบ ไม่ใช่ไม่ดัง แต่ไม่ถึง 50 อันดับ)
สามารถดูอันดับหนังที่ทำรายได้สูงสุดได้ที่
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_highest-grossing_Indian_films
หมายเหตุ ท้ายกระทู้ จะมีรีวิวหนังบางเรื่องที่ยังไม่ได้ดูแต่น่าสนใจแบบรวมๆ
Baahubali (ทั้ง 2 ภาค) (2015-2017)
เป็นเรื่องราวของอาณาจักรสมมติในยุคอินเดียกลาง มีตัวเอก 2 รุ่น รุ่นพ่อคือ Amarendra เป็นเจ้าชายที่ไม่ได้อยู่สายสืบบัลลังก์แต่ได้รับความนิยมจากประชาชนมาก ถูกพระราชาริษยาและเกรงจะแย่งชิงบัลลังก์ จึงพยายามกลั่นแกล้งขวางทางต่างๆ จนท้ายที่สุดก็ต้องมาสังหาร รุ่นลูก Mahendra ก็กลับมากอบกู้บัลลังก์และช่วยเหลือแม่ที่ถูกพระราชาคุมขังและทรมานไว้ในวัง เรื่องนี้เปิดโลกทัศน์หนังอินเดียว่าไปไกลเกินกว่าแค่วิ่งไล่กันบนภูเขาแล้ว แต่ถึงกับจัดหนักจัดเต็มทั้ง SFX และฉากบู๊อลังการกันเลยทีเดียว บอกก่อนว่าหนังบู๊อินเดียเล่นโหดมาก ตายเป็นตายเลยทีเดียว
RRR (2022)
ผู้กำกับคนเดียวกับ Bahubaali เพิ่งดูเป็นเรื่องล่าสุด บางคนบอกว่าเรื่องนี้ดังได้เพราะคังคุไบ แต่ในอินเดีย เรื่องนี้ดังและโกยเงินกว่าคังคุไบมาก แถมคังคุไบกับราฮีมก็มาเล่นด้วยอีก เรื่องนี้เปลี่ยนจากพระเอก 2 รุ่น มาเป็นพระเอก 2 คน อ้างอิงจากนักสู้เพื่อเอกราชตัวจริงของอินเดีย แต่เนื้อหาในเรื่องนั้นเป็นเรื่องสมมติ โดยตัวเอกคนหนึ่งเป็นนักปฏิวัติแฝงตัวเข้ามาเป็นตำรวจ พยายามทำหน้าที่ทำงานให้ดีเพื่อหาทางเลื่อนตำแหน่งและกวาดอาวุธไปให้นักปฏิวัติด้วยกัน ส่วนอีกคนเป็นชนเผ่า Gond ซึ่งตามหาน้องตัวเองที่ถูกคนอังกฤษลักพาตัวไป พวกเขาเจอกัน กลายเป็นมิตรภาพยิ่งใหญ่ แต่เพื่อภารกิจของแต่ละคน ทำให้ต่างคนต่างเข้าใจผิด ผิดใจกัน แต่สุดท้ายก็กลับมาเข้าใจกันได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ Rajamouli กลับมาจัดเต็ม SFX บู๊ล้างผลาญอีกรอบเหมื่อนเคย
Bajrangi Bhaijaan (2015)
ฉายในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของ Salman Khan เพราะเพิ่งต้องโทษจำคุกจากคดีขับรถชนคน แต่หนังสวนทางกัน ทำรายได้ไปมหาศาลมากจนกลายเป็นหนังที่ทำรายได้มากที่สุดของปี เรื่องราวของพ่อหนุ่มผู้ศรัทธาในพระบาลังจี (หนุมาน) กับสาวน้อยมุสลิมปากีสถานที่พลัดหลงมาเจอกับพ่อหนุ่มอินเดียฮินดู งานนี้ Salman เลยต้องเดินทางจากนิวเดลีไปปากีสถานเพื่อคืนเด็กเลยทีเดียว โดยเขาเลือกฉีกบทประจำจากที่ชอบอัดคนเป็นว่าเล่น กลายเป็นโดนอัดแทน (โดยเฉพาะตอนอยู่ปากีสถาน) เรื่องนี้ใครชอบร้องไห้ตอนดูหนัง คงได้ร้องไห้กันจนแก้มเปียกเลยทีเดียว เพราะ Salman เล่นบทได้ทั้งแทบไร้เดียงสาและน่าสงสารมาก เรื่องนี้ได้รับเสียงบวกเยอะมาก จนคิดว่านอกจากแฟนคลับ Shahrukh Khan (มักถูกมองว่าเป็นคู่แข่ง Salman) แล้ว ไม่มีใครคัดค้านความเยี่ยมยอดของหนังเรื่องนี้ได้
PK (2014)
เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาในโลกเรา แต่เกิดเรื่องไม่คาดฝันและชีวิตของเขานำพาไปสู่เรื่องราวทางศาสนาและพระเจ้า เพราะเขาเชื่อว่าพระเจ้าจะนำทางให้เขากลับไปดาวของเขาได้ หนังเรื่องนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ (Controversy) ในระดับหนึ่งเพราะอ้างอิงและพาดพิงเรื่องศาสนา แต่โดยรวมถือว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดีในระดับหนึ่ง เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่ Sushant Singh Rajput เล่นอีกด้วย (Sushant Singh Rajput เสียชีวิตในปี 2020 ด้วยการทำอัตวินิบาตกรรม โดยแฟนหนังอินเดียเชื่อว่าเป็นเพราะเขาน้อยใจที่กลุ่มคนใหญ่คนโตใน Bollywood มองข้ามเขาและเลือกเอาแต่ลูกหลานของนักแสดงชื่อดัง) คำพูดที่เป็นที่จดจำของหนังเรื่องนี้คือ Wrong number (ผิดเบอร์) เนื่องจากมีตอนหนึ่งที่ PK บอกกับนักบวชว่าเขาติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ นักบวชจึงปัดไปว่าเขาอาจจะติดต่อผิดเบอร์
Enthiran (2010) และ 2.0 (2018)
มี 2 ภาค แต่แยกเนื้อหากัน ภาคแรก เป็นเรื่องราวของด็อกเตอร์ที่สร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในกองทัพอินเดียชื่อ Chitti ตอนแรกมันทำหน้าที่ได้ดี แต่ต่อมามันถูกความรักครอบงำและกลายเป็นว่ามันค่อยๆ เริ่มสร้างปัญหาให้กับเจ้านายของมัน จนกระทั่ง ดร. Bohra เข้ามาจัดการ ทำให้ความวุ่นวายเกิดขึ้น กลายเป็นหุ่นยนต์สังหารไป ส่วนภาค 2 ที่เกิดขึ้นมาหลังจากนั้น 8 ปี เป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนขึ้นหน่อย เพราะเป็นเรื่องราวผสมวิญญาณเข้าไปด้วย (ในเรื่องใช้คำว่า อะตอมลบ หรือ ออร่า) เป็นเรื่องราวของนักปักษีวิทยาคนหนึ่ง (แสดงโดย Akshay Kumar) ที่เกิดและโตมากับนก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพบว่านกกำลังถูกคลื่นมือถือรบกวนเพราะการแข่งขันสร้างคลื่นมือถืออย่างหนักของค่ายมือถือต่างๆ เขาเรียกร้อง ฟ้องศาล แต่ถูกเมินเฉยและถูกพิพากษายกฟ้อง เมื่อเขาไม่สามารถปกป้องนกได้ เขาจึงเลือกฆ่าตัวตาย ทำให้ออร่าในตัวเขารวมตัวกับนกที่ตายไปกลายเป็นความแค้นต่อผู้ใช้มือถือ ความโกลาหลได้เกิดขึ้นและเป็นหน้าที่ของ Chitti ที่จะมากำราบวิญญาณร้ายนี้ เรื่อง 2 เรื่องนี้เป็นอีกหนังขึ้นหิ้งของ Rajinikanth ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นโคตร Superstar ของวงการหนังทมิฬไป
Dhoom (2004), Dhoom 2 (2006) และ Dhoom 3 (2013)
มีแค่ภาค 3 ที่ติด 50 อันดับ แต่รีวิวให้ทั้ง 3 ภาคเลย ภาคแรกคนไทยน่าจะรู้จักกันเยอะเพราะทาทายังไปร้องเพลงให้ จุดเริ่มต้นมาจากนายตำรวจคนหนึ่ง (Abhishek Bacchan) กับนักบิดนอกกฎหมาย (Uday Chopra) ซึ่งมาจับมือกันปราบปรามผู้ร้ายในแต่ละภาค ซึ่งแต่ละคนก็เป็นอาชญากรฝีมือดี ภาคแรก รับบทโดย John Abraham ตะลุยกันในมุมไบ ภาค 2 รับบทโดย Hrithik Roshan (คอหนังอินเดียบ้านเราชอบเรียกว่า พี่ติ๊ก) ตะลุยกันที่บราซิล ภาค 3 รับบทโดย Aamir Khan คนเดียวกับที่เล่นเป็น PK (2014) ข้างบนโน้น ตะลุยกันที่ชิคาโก้ อเมริกา หนังภาค 3 ยังเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ Uday เพราะหลังจากพ่อเขา (Yash Chopra) เสียชีวิต เขาก็ไม่ได้เล่นหนังเรื่องไหนอีกเลย มีเพียงทำหน้าที่ Producer ให้หนังอเมริกันอยู่ 2 เรื่อง และก็ไม่ได้แทบไม่ได้ยุ่งกับวงการหนังอีกเลย
3 Idiots (2009)
หนังสร้างเรื่องของผู้กำกับ PK และบทนำก็เป็นของ Aamir Khan คนเดิม เป็นหนังที่ครองใจหลายคนมาก เป็นเรื่องราวของหนุ่มนักศึกษาวิศวะ 3 คน ที่เข้ามาตีแผ่เรื่องในวงการการศึกษาอินเดียและเรื่องในครอบครัวผ่านชีวิตของพวกเขา โดยมีศาสตราจารย์ (Boman Irani) คอยจับตาเล่นงานพวกเขาอยู่ตลอด เช่นเดียวกับจาตุ (Omi Vaidya) ที่คอยหาเรื่องเล่นงานพวกเขาด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็มีคำพูดติดปาก คือ "All is well"
Chennai Express (2013)
Shahrukh Khan เป็น 1 ในชื่อนักแสดงอินเดียที่คนไทยรู้จักมากที่สุด (ผมก็ชอบมากๆ) จนได้รับฉายา "เบิร์ดบอมเบย์" แต่น่าเศร้าที่ช่วงหลังๆ ยังสู้ King Khans อีก 2 คนอย่าง Salman และ Aamir ไม่ได้ เรื่องนี้ Shahrukh รับบทเป็นหนุ่มอินเดียเหนือ พบรักกับสาวอินเดียใต้ และได้ผจญภัยไปด้วยกันในดินแดนอินเดียใต้ เรื่องนี้จำไม่เนื้อหาในเรื่องค่อยได้เพราะไม่ได้ประทับอะไรมาก เสียงวิจารณ์มีทั้งบวกและลบ กระแสค่อนข้างเงียบ สวนทางกับชื่อเสียงของ Shahrukh ที่สร้างมาตั้งแต่ยุค 90 รวมถึงหนังที่กวาดรายได้ไปจำนวนหนึ่ง
Happy New Year (2014 film)
หลังจาก Chennai Express ฉายไม่กี่ปี Shahrukh Khan ส่งหนังเรื่องใหม่มาทันที ดำเนินเรื่องตามสไตล์หนังที่เจ้าตัวถนัด คือ เป็นคนฉลาด คิดรอบคอบ วางแผนเก่ง และเล่ห์เหลี่ยมเยอะ โดยเขาวางแผนแก้แค้นแทนพ่อตัวเองที่ถูกตัวร้าย (Jackie Shroff) กลั่นแกล้งจนตายไป เขาวางแผนอย่างเนียบเนียนโดยดึงเพื่อนๆ เข้ามาร่วมทีมเต้นเพื่อวางแผนแก้แค้น เรื่องนี้สนุกมากระดับหนึ่ง เพราะรวมดาวหลายคนไว้โดยเฉพาะ Deepika, Abhishek, Sonu Sood และ Boman ไว้ เป็นหนังที่น่าดูระดับหนึ่ง แต่อาจจะสะดุดกับความ Over ของความฉลาดของ Shahrukh Khan เล็กน้อย เพราะแกเล่นเป็นคนฉลาดรอบคอบมากในหลายเรื่อง แต่น่าเศร้าที่ยังแพ้หนังที่รับบทเป็นคนซื่อของ Aamir และ Salman
Kabali (2016)
หนังอีกเรื่องของ Rajinikanth ดังตูมตามมากทั้งในอินเดียและในมาเลเซีย (มีคนทมิฬอยู่เยอะ) ในไทยมีคนนำเข้ามาฉาย มีพากย์ไทยด้วย แต่ไม่เป็นกระแสเท่าไร แต่บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้สนุกมาก เรื่องนี้ Rajinikanth รับบทเป็นมาเฟียทมิฬที่กำลังตามหาลูกสาวและภรรยาที่พลัดพรากไปตอนที่เขาถูกจับติดคุกมาเลเซีย (โดยส่วนหนึ่งเป็นแผนของมาเฟียเชื้อสายจีน รับบทโดย เจ้าเหวินซวน) เรื่องนี้เดือดมาก เล่นกันจริงจังหนักหน่วงตามสไตล์หนังของ Rajinikanth
หนังเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ แต่ยังไม่ได้ดู และหนังที่น่าดูในตอนนี้
(เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เขียนตามความเข้าใจ อาจจะมีผิดพลาด)
1.Dangal เป็นเรื่องราวของพ่อที่เป็นอดีตนักมวยปล้ำที่ปลุกปั้นลูกสาวให้มาเป็นนักมวย (ยังไม่คิดจะดู)
2.K.G.F: Chapter 1&2 หนังภาษากันนาดา ภาคแรก 2018 ภาคสอง 2022 แซง RRR ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร (ยังไม่คิดจะดู)
3.Sultan คล้ายๆ Dangal (ยังไม่คิดจะดู)
4.Sanju ชีวประวัติของ Sanjay Dutt ลูกชายของนักแสดงหนังเรื่องธรณีกรรแสง เรื่องนี้อยากดูมากแต่แอบเศร้ามากจนไม่อยากดูตอนนี้
5.Laal Singh Chaddha Aamir Khan Remake จากเรื่อง Forest Gump (คนอินเดียชอบบอกว่า Aamir หน้าเหมือน Tom Hanks)
ขอบคุณที่รับชมครับ
รีวิวหนังอินเดียทำรายได้สูงสุดตลอดกาล (คัดเฉพาะเรื่องที่ดูแล้ว)
สามารถดูอันดับหนังที่ทำรายได้สูงสุดได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_highest-grossing_Indian_films
หมายเหตุ ท้ายกระทู้ จะมีรีวิวหนังบางเรื่องที่ยังไม่ได้ดูแต่น่าสนใจแบบรวมๆ
Baahubali (ทั้ง 2 ภาค) (2015-2017)
RRR (2022)
Bajrangi Bhaijaan (2015)
ฉายในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของ Salman Khan เพราะเพิ่งต้องโทษจำคุกจากคดีขับรถชนคน แต่หนังสวนทางกัน ทำรายได้ไปมหาศาลมากจนกลายเป็นหนังที่ทำรายได้มากที่สุดของปี เรื่องราวของพ่อหนุ่มผู้ศรัทธาในพระบาลังจี (หนุมาน) กับสาวน้อยมุสลิมปากีสถานที่พลัดหลงมาเจอกับพ่อหนุ่มอินเดียฮินดู งานนี้ Salman เลยต้องเดินทางจากนิวเดลีไปปากีสถานเพื่อคืนเด็กเลยทีเดียว โดยเขาเลือกฉีกบทประจำจากที่ชอบอัดคนเป็นว่าเล่น กลายเป็นโดนอัดแทน (โดยเฉพาะตอนอยู่ปากีสถาน) เรื่องนี้ใครชอบร้องไห้ตอนดูหนัง คงได้ร้องไห้กันจนแก้มเปียกเลยทีเดียว เพราะ Salman เล่นบทได้ทั้งแทบไร้เดียงสาและน่าสงสารมาก เรื่องนี้ได้รับเสียงบวกเยอะมาก จนคิดว่านอกจากแฟนคลับ Shahrukh Khan (มักถูกมองว่าเป็นคู่แข่ง Salman) แล้ว ไม่มีใครคัดค้านความเยี่ยมยอดของหนังเรื่องนี้ได้
PK (2014)
เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่เข้ามาในโลกเรา แต่เกิดเรื่องไม่คาดฝันและชีวิตของเขานำพาไปสู่เรื่องราวทางศาสนาและพระเจ้า เพราะเขาเชื่อว่าพระเจ้าจะนำทางให้เขากลับไปดาวของเขาได้ หนังเรื่องนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ (Controversy) ในระดับหนึ่งเพราะอ้างอิงและพาดพิงเรื่องศาสนา แต่โดยรวมถือว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดีในระดับหนึ่ง เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่ Sushant Singh Rajput เล่นอีกด้วย (Sushant Singh Rajput เสียชีวิตในปี 2020 ด้วยการทำอัตวินิบาตกรรม โดยแฟนหนังอินเดียเชื่อว่าเป็นเพราะเขาน้อยใจที่กลุ่มคนใหญ่คนโตใน Bollywood มองข้ามเขาและเลือกเอาแต่ลูกหลานของนักแสดงชื่อดัง) คำพูดที่เป็นที่จดจำของหนังเรื่องนี้คือ Wrong number (ผิดเบอร์) เนื่องจากมีตอนหนึ่งที่ PK บอกกับนักบวชว่าเขาติดต่อกับพระเจ้าไม่ได้ นักบวชจึงปัดไปว่าเขาอาจจะติดต่อผิดเบอร์
Enthiran (2010) และ 2.0 (2018)
มี 2 ภาค แต่แยกเนื้อหากัน ภาคแรก เป็นเรื่องราวของด็อกเตอร์ที่สร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในกองทัพอินเดียชื่อ Chitti ตอนแรกมันทำหน้าที่ได้ดี แต่ต่อมามันถูกความรักครอบงำและกลายเป็นว่ามันค่อยๆ เริ่มสร้างปัญหาให้กับเจ้านายของมัน จนกระทั่ง ดร. Bohra เข้ามาจัดการ ทำให้ความวุ่นวายเกิดขึ้น กลายเป็นหุ่นยนต์สังหารไป ส่วนภาค 2 ที่เกิดขึ้นมาหลังจากนั้น 8 ปี เป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนขึ้นหน่อย เพราะเป็นเรื่องราวผสมวิญญาณเข้าไปด้วย (ในเรื่องใช้คำว่า อะตอมลบ หรือ ออร่า) เป็นเรื่องราวของนักปักษีวิทยาคนหนึ่ง (แสดงโดย Akshay Kumar) ที่เกิดและโตมากับนก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาพบว่านกกำลังถูกคลื่นมือถือรบกวนเพราะการแข่งขันสร้างคลื่นมือถืออย่างหนักของค่ายมือถือต่างๆ เขาเรียกร้อง ฟ้องศาล แต่ถูกเมินเฉยและถูกพิพากษายกฟ้อง เมื่อเขาไม่สามารถปกป้องนกได้ เขาจึงเลือกฆ่าตัวตาย ทำให้ออร่าในตัวเขารวมตัวกับนกที่ตายไปกลายเป็นความแค้นต่อผู้ใช้มือถือ ความโกลาหลได้เกิดขึ้นและเป็นหน้าที่ของ Chitti ที่จะมากำราบวิญญาณร้ายนี้ เรื่อง 2 เรื่องนี้เป็นอีกหนังขึ้นหิ้งของ Rajinikanth ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นโคตร Superstar ของวงการหนังทมิฬไป
Dhoom (2004), Dhoom 2 (2006) และ Dhoom 3 (2013)
มีแค่ภาค 3 ที่ติด 50 อันดับ แต่รีวิวให้ทั้ง 3 ภาคเลย ภาคแรกคนไทยน่าจะรู้จักกันเยอะเพราะทาทายังไปร้องเพลงให้ จุดเริ่มต้นมาจากนายตำรวจคนหนึ่ง (Abhishek Bacchan) กับนักบิดนอกกฎหมาย (Uday Chopra) ซึ่งมาจับมือกันปราบปรามผู้ร้ายในแต่ละภาค ซึ่งแต่ละคนก็เป็นอาชญากรฝีมือดี ภาคแรก รับบทโดย John Abraham ตะลุยกันในมุมไบ ภาค 2 รับบทโดย Hrithik Roshan (คอหนังอินเดียบ้านเราชอบเรียกว่า พี่ติ๊ก) ตะลุยกันที่บราซิล ภาค 3 รับบทโดย Aamir Khan คนเดียวกับที่เล่นเป็น PK (2014) ข้างบนโน้น ตะลุยกันที่ชิคาโก้ อเมริกา หนังภาค 3 ยังเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ Uday เพราะหลังจากพ่อเขา (Yash Chopra) เสียชีวิต เขาก็ไม่ได้เล่นหนังเรื่องไหนอีกเลย มีเพียงทำหน้าที่ Producer ให้หนังอเมริกันอยู่ 2 เรื่อง และก็ไม่ได้แทบไม่ได้ยุ่งกับวงการหนังอีกเลย
3 Idiots (2009)
หนังสร้างเรื่องของผู้กำกับ PK และบทนำก็เป็นของ Aamir Khan คนเดิม เป็นหนังที่ครองใจหลายคนมาก เป็นเรื่องราวของหนุ่มนักศึกษาวิศวะ 3 คน ที่เข้ามาตีแผ่เรื่องในวงการการศึกษาอินเดียและเรื่องในครอบครัวผ่านชีวิตของพวกเขา โดยมีศาสตราจารย์ (Boman Irani) คอยจับตาเล่นงานพวกเขาอยู่ตลอด เช่นเดียวกับจาตุ (Omi Vaidya) ที่คอยหาเรื่องเล่นงานพวกเขาด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็มีคำพูดติดปาก คือ "All is well"
Chennai Express (2013)
Shahrukh Khan เป็น 1 ในชื่อนักแสดงอินเดียที่คนไทยรู้จักมากที่สุด (ผมก็ชอบมากๆ) จนได้รับฉายา "เบิร์ดบอมเบย์" แต่น่าเศร้าที่ช่วงหลังๆ ยังสู้ King Khans อีก 2 คนอย่าง Salman และ Aamir ไม่ได้ เรื่องนี้ Shahrukh รับบทเป็นหนุ่มอินเดียเหนือ พบรักกับสาวอินเดียใต้ และได้ผจญภัยไปด้วยกันในดินแดนอินเดียใต้ เรื่องนี้จำไม่เนื้อหาในเรื่องค่อยได้เพราะไม่ได้ประทับอะไรมาก เสียงวิจารณ์มีทั้งบวกและลบ กระแสค่อนข้างเงียบ สวนทางกับชื่อเสียงของ Shahrukh ที่สร้างมาตั้งแต่ยุค 90 รวมถึงหนังที่กวาดรายได้ไปจำนวนหนึ่ง
Happy New Year (2014 film)
หลังจาก Chennai Express ฉายไม่กี่ปี Shahrukh Khan ส่งหนังเรื่องใหม่มาทันที ดำเนินเรื่องตามสไตล์หนังที่เจ้าตัวถนัด คือ เป็นคนฉลาด คิดรอบคอบ วางแผนเก่ง และเล่ห์เหลี่ยมเยอะ โดยเขาวางแผนแก้แค้นแทนพ่อตัวเองที่ถูกตัวร้าย (Jackie Shroff) กลั่นแกล้งจนตายไป เขาวางแผนอย่างเนียบเนียนโดยดึงเพื่อนๆ เข้ามาร่วมทีมเต้นเพื่อวางแผนแก้แค้น เรื่องนี้สนุกมากระดับหนึ่ง เพราะรวมดาวหลายคนไว้โดยเฉพาะ Deepika, Abhishek, Sonu Sood และ Boman ไว้ เป็นหนังที่น่าดูระดับหนึ่ง แต่อาจจะสะดุดกับความ Over ของความฉลาดของ Shahrukh Khan เล็กน้อย เพราะแกเล่นเป็นคนฉลาดรอบคอบมากในหลายเรื่อง แต่น่าเศร้าที่ยังแพ้หนังที่รับบทเป็นคนซื่อของ Aamir และ Salman
Kabali (2016)
หนังอีกเรื่องของ Rajinikanth ดังตูมตามมากทั้งในอินเดียและในมาเลเซีย (มีคนทมิฬอยู่เยอะ) ในไทยมีคนนำเข้ามาฉาย มีพากย์ไทยด้วย แต่ไม่เป็นกระแสเท่าไร แต่บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้สนุกมาก เรื่องนี้ Rajinikanth รับบทเป็นมาเฟียทมิฬที่กำลังตามหาลูกสาวและภรรยาที่พลัดพรากไปตอนที่เขาถูกจับติดคุกมาเลเซีย (โดยส่วนหนึ่งเป็นแผนของมาเฟียเชื้อสายจีน รับบทโดย เจ้าเหวินซวน) เรื่องนี้เดือดมาก เล่นกันจริงจังหนักหน่วงตามสไตล์หนังของ Rajinikanth
หนังเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ แต่ยังไม่ได้ดู และหนังที่น่าดูในตอนนี้
(เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เขียนตามความเข้าใจ อาจจะมีผิดพลาด)
1.Dangal เป็นเรื่องราวของพ่อที่เป็นอดีตนักมวยปล้ำที่ปลุกปั้นลูกสาวให้มาเป็นนักมวย (ยังไม่คิดจะดู)
2.K.G.F: Chapter 1&2 หนังภาษากันนาดา ภาคแรก 2018 ภาคสอง 2022 แซง RRR ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร (ยังไม่คิดจะดู)
3.Sultan คล้ายๆ Dangal (ยังไม่คิดจะดู)
4.Sanju ชีวประวัติของ Sanjay Dutt ลูกชายของนักแสดงหนังเรื่องธรณีกรรแสง เรื่องนี้อยากดูมากแต่แอบเศร้ามากจนไม่อยากดูตอนนี้
5.Laal Singh Chaddha Aamir Khan Remake จากเรื่อง Forest Gump (คนอินเดียชอบบอกว่า Aamir หน้าเหมือน Tom Hanks)
ขอบคุณที่รับชมครับ