เนื่องจากจขกท.ต้องการคะแนน MUGRAD 80+/100 คะแนน เพื่อปรับเปลี่ยนตำแหน่งในที่ทำงาน จึงต้องสอบ MUGRAD test ซึ่งก่อนสอบจขกท.พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์การสอบในโลก online ซึ่งก็มีอยู่ไม่มาก วันนี้จึงจะขอมาแชร์ประสบการณ์เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องใช้ MUGRAD ในอนาคตครับ
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่าจขกท.ไม่ได้เป็นคนเก่งภาษาอังกฤษมากครับ ทำได้ใช้ได้แค่การอ่านตำราวิชาการ นอกนั้นถือว่าต้องพัฒนาอีกมากครับ ภาษาอังกฤษจึงเป็นไม้เบื่อไม้เบากันมาตลอดชีวิต ครั้งนี้ก็ต้องไปสอบทั้งหมด 4 ครั้งครับ
MUGRAD จัดสอบที่บัณฑิตวิทยาลัย มหิดลศาลายาเป็นหลัก และมีที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเดือนละครั้ง วันพุธค่อนๆปลายเดือนครับ ถ้าสอบที่บัณฑิตวิทยาลัย เรื่องที่จอดคิดว่าไม่มีปัญหาครับ จอดหน้าคณะสิ่งแวดล้อมแล้วเดินไปนิดเดียวก็จะถึงที่สอบแล้วครับ มี trick ในการสมัครสอบนิดนึงครับ ถ้าสมัครสอบสนามมหิดล ศาลายาเร็วๆ จะได้สอบห้องที่นั่งสอบเดี่ยวๆเลยครับ (ห้องสีฟ้า) แต่ถ้าจองไปช้า จะได้สอบห้องนั่งสอบรวมครับ (ห้อง sound lab)
ข้อสอบแบ่งออกเป็น 4 part
1. Listening 20 คำถาม 20 คะแนน 30 นาท
2. Grammar 20 คำถาม 20 คะแนน 30 นาที
3. Reading and Vocabulary 40 คำถาม 40 คะแนน 60 นาที
4. Writing 1 essay 20 คะแนน 60+ นาที
(ถ้าเวลา part 2 และ/หรือ 3 เหลือจะบวกเพิ่มให้ part 4 ครับ)
Part 1 Listening
Part นี้ถือเป็น Part เก็บคะแนนของ MUGRAD เลยครับ เนื่องจากสามารถฟังได้ 2 ครั้ง (ห้ามกด double click) และคำถามจะไล่เรียงไปตามเนื้อหาที่โจทย์กำลังเล่าเลยครับ โจทย์มี 2 แบบคือ long conversation กับ task ครับ
Trick
- อ่านคำถามคร่าวๆเร็วๆก่อนแล้วค่อยไปฟังรอบ 1
- รอบ 2 ตั้งใจฟังในจุดที่รอบ 1 ยังไม่ได้คำตอบครับ
- ถ้าสอบหลายรอบจะได้โจทย์ซ้ำครับ จากการที่จขกท.สอบมา 4 ครั้ง รอบ 1 กับ 4 เหมือนกัน และ 2 กับ 3 เหมือนกัน 100% ครับ
Part 2 Grammar
Part นี้ถือเป็น Part ที่ข้อสอบยากง่ายในแต่ละรอบไม่เท่ากันเลยครับ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
- 10 ข้อแรกเป็น sentence completion
- 10 ข้อหลังเป็น error identification
การพัฒนาส่วนนี้คิดว่าควรศึกษา grammar แล้วฝึกทำข้อสอบที่มีเฉลยที่ถูกต้องครับ จขกท.ฝึกจากหนังสือ CUTEP กับตัวอย่างข้อสอบ TOEFL ITP ครับ คิดว่าพอใช้ได้อยู่ครับ และที่สอบมา 4 ครั้งมีข้อสอบซ้ำเช่นกัน คือ ข้อสอบครั้งที่ 1 กับ 4 เหมือนกัน 100% ครับ
Part 3 Reading and Vocabulary
Part นี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
- 30 ข้อแรกเป็น Reading comprehension ซึ่งมีทั้ง passage ที่ง่ายและยากครับ แต่โดยรวมโจทย์ค่อนข้างถามตรงไปตรงมา ถือเป็น part เก็บคะแนนครับ ที่สอบมา 4 ครั้งมี passage ที่ออกซ้ำบ่อยมาก 3 passage ออกไปถึง 3 ครั้งครับ
- 10 ข้อหลังเป็น Vocabulary part นี้ถือเป็น 1 ใน part ที่ยากที่สุดครับ เพราะบ่อยครั้งแม้เราจะแปลโจทย์ได้ แต่เราแปล choice ไม่ได้ หรือเราแปลบาง choice ได้ แต่แปลโจทย์ไม่ได้ โดยศัพท์เน้นไปทางศัพท์วิชาการครับ อย่างไรก็ตาม ข้อสอบครั้งที่ 1 กับ 4 ของจขกท.เหมือนกัน 100% ครับ
Part 4 Writing
Part นี้ก่อนอื่น ขึ้นอยู่กับดวงครับ เพราะโจทย์จะมีหัวข้อมาให้เรา 4 หัวข้อและให้เราเลือกเขียน 1 จาก 4 หัวข้อ ซึ่งเวลาจะนับตั้งแต่ช่วงเราตัดสินใจเลือกหัวข้อเลยครับ หัวข้อ essay ที่จขกท.เคยมีให้เลือกถือว่าหลากหลายมากๆครับ และก็ซ้ำกันน้อยเมื่อเทียบกับ 3 part ก่อนหน้าครับ หัวข้อที่ผ่านตาจขกท.มีดังนี้ครับ
Mode environment: Global warming
Mode technology: Social media and children's screen time, Developmental technology
Mode health: Weight reduction
Mode education: Distance learning
Part นี้แนะนำว่าสำคัญที่ขั้นตอนเลือกหัวข้อ ให้เลือกหัวข้อที่คิดว่าเราเขียนได้มากที่สุดครับ และต้องไปศึกษาการเขียน essay อย่างถูกวิธีก่อนไปสอบนะครับ (pattern: Introduction – Body- Conclusion) นอกจากนี้ต้องเขียนให้ครบตามเกณฑ์ 350-400 words นะครับ รอบ 1-2 จขกท.เขียนแบบลูกทุ่งให้ครบๆคำ ไม่ได้มี pattern ชัดเจนคะแนนไม่ดีเลยครับ หลังจากไปศึกษาเพิ่มเติมและมีคนช่วยตรวจง่านเขียนให้ คะแนนดีขึ้นมากเลยครับ
** Last trick สำหรับจขกท.รู้ตัวดีว่าภาษาอังกฤษคนเราพัฒนาได้เร็วมากในช่วงสั้นๆได้ยากครับ จขกท.ให้วิธีสอบทุก 1-2 สัปดาห์แล้วจดโจทย์ เช่น grammar หรือ vocab ที่ทำไม่ได้ออกมาหาคำตอบไว้ครับ ทำให้ไม่ทำผิดซ้ำในโจทย์เดิมครับ วิธีนี้คิดว่าเหมาะในคนที่สามารถสอบบ่อยได้และคะแนนอีกไม่มากจะผ่านเกณฑ์ครับ
** สุดท้ายนี้จขกท.ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังสอบภาษาอังกฤษอยู่ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการสอบนะครับ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเช่นสอบไม่ผ่านขอให้เกิดทิ้งความรู้สึกเสียดายได้ไวๆนะครับ ให้คิดว่าความเสียใจเป็นหนึ่งในกระบวนการพัฒนาตัวเองที่เราต้องผ่านไปให้ได้ครับ
[CR] REVIEW MUGRAD TEST ver. JULY 2022
ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่าจขกท.ไม่ได้เป็นคนเก่งภาษาอังกฤษมากครับ ทำได้ใช้ได้แค่การอ่านตำราวิชาการ นอกนั้นถือว่าต้องพัฒนาอีกมากครับ ภาษาอังกฤษจึงเป็นไม้เบื่อไม้เบากันมาตลอดชีวิต ครั้งนี้ก็ต้องไปสอบทั้งหมด 4 ครั้งครับ
MUGRAD จัดสอบที่บัณฑิตวิทยาลัย มหิดลศาลายาเป็นหลัก และมีที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเดือนละครั้ง วันพุธค่อนๆปลายเดือนครับ ถ้าสอบที่บัณฑิตวิทยาลัย เรื่องที่จอดคิดว่าไม่มีปัญหาครับ จอดหน้าคณะสิ่งแวดล้อมแล้วเดินไปนิดเดียวก็จะถึงที่สอบแล้วครับ มี trick ในการสมัครสอบนิดนึงครับ ถ้าสมัครสอบสนามมหิดล ศาลายาเร็วๆ จะได้สอบห้องที่นั่งสอบเดี่ยวๆเลยครับ (ห้องสีฟ้า) แต่ถ้าจองไปช้า จะได้สอบห้องนั่งสอบรวมครับ (ห้อง sound lab)
ข้อสอบแบ่งออกเป็น 4 part
1. Listening 20 คำถาม 20 คะแนน 30 นาท
2. Grammar 20 คำถาม 20 คะแนน 30 นาที
3. Reading and Vocabulary 40 คำถาม 40 คะแนน 60 นาที
4. Writing 1 essay 20 คะแนน 60+ นาที
(ถ้าเวลา part 2 และ/หรือ 3 เหลือจะบวกเพิ่มให้ part 4 ครับ)
Part 1 Listening
Part นี้ถือเป็น Part เก็บคะแนนของ MUGRAD เลยครับ เนื่องจากสามารถฟังได้ 2 ครั้ง (ห้ามกด double click) และคำถามจะไล่เรียงไปตามเนื้อหาที่โจทย์กำลังเล่าเลยครับ โจทย์มี 2 แบบคือ long conversation กับ task ครับ
Trick
- อ่านคำถามคร่าวๆเร็วๆก่อนแล้วค่อยไปฟังรอบ 1
- รอบ 2 ตั้งใจฟังในจุดที่รอบ 1 ยังไม่ได้คำตอบครับ
- ถ้าสอบหลายรอบจะได้โจทย์ซ้ำครับ จากการที่จขกท.สอบมา 4 ครั้ง รอบ 1 กับ 4 เหมือนกัน และ 2 กับ 3 เหมือนกัน 100% ครับ
Part 2 Grammar
Part นี้ถือเป็น Part ที่ข้อสอบยากง่ายในแต่ละรอบไม่เท่ากันเลยครับ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
- 10 ข้อแรกเป็น sentence completion
- 10 ข้อหลังเป็น error identification
การพัฒนาส่วนนี้คิดว่าควรศึกษา grammar แล้วฝึกทำข้อสอบที่มีเฉลยที่ถูกต้องครับ จขกท.ฝึกจากหนังสือ CUTEP กับตัวอย่างข้อสอบ TOEFL ITP ครับ คิดว่าพอใช้ได้อยู่ครับ และที่สอบมา 4 ครั้งมีข้อสอบซ้ำเช่นกัน คือ ข้อสอบครั้งที่ 1 กับ 4 เหมือนกัน 100% ครับ
Part 3 Reading and Vocabulary
Part นี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน
- 30 ข้อแรกเป็น Reading comprehension ซึ่งมีทั้ง passage ที่ง่ายและยากครับ แต่โดยรวมโจทย์ค่อนข้างถามตรงไปตรงมา ถือเป็น part เก็บคะแนนครับ ที่สอบมา 4 ครั้งมี passage ที่ออกซ้ำบ่อยมาก 3 passage ออกไปถึง 3 ครั้งครับ
- 10 ข้อหลังเป็น Vocabulary part นี้ถือเป็น 1 ใน part ที่ยากที่สุดครับ เพราะบ่อยครั้งแม้เราจะแปลโจทย์ได้ แต่เราแปล choice ไม่ได้ หรือเราแปลบาง choice ได้ แต่แปลโจทย์ไม่ได้ โดยศัพท์เน้นไปทางศัพท์วิชาการครับ อย่างไรก็ตาม ข้อสอบครั้งที่ 1 กับ 4 ของจขกท.เหมือนกัน 100% ครับ
Part 4 Writing
Part นี้ก่อนอื่น ขึ้นอยู่กับดวงครับ เพราะโจทย์จะมีหัวข้อมาให้เรา 4 หัวข้อและให้เราเลือกเขียน 1 จาก 4 หัวข้อ ซึ่งเวลาจะนับตั้งแต่ช่วงเราตัดสินใจเลือกหัวข้อเลยครับ หัวข้อ essay ที่จขกท.เคยมีให้เลือกถือว่าหลากหลายมากๆครับ และก็ซ้ำกันน้อยเมื่อเทียบกับ 3 part ก่อนหน้าครับ หัวข้อที่ผ่านตาจขกท.มีดังนี้ครับ
Mode environment: Global warming
Mode technology: Social media and children's screen time, Developmental technology
Mode health: Weight reduction
Mode education: Distance learning
Part นี้แนะนำว่าสำคัญที่ขั้นตอนเลือกหัวข้อ ให้เลือกหัวข้อที่คิดว่าเราเขียนได้มากที่สุดครับ และต้องไปศึกษาการเขียน essay อย่างถูกวิธีก่อนไปสอบนะครับ (pattern: Introduction – Body- Conclusion) นอกจากนี้ต้องเขียนให้ครบตามเกณฑ์ 350-400 words นะครับ รอบ 1-2 จขกท.เขียนแบบลูกทุ่งให้ครบๆคำ ไม่ได้มี pattern ชัดเจนคะแนนไม่ดีเลยครับ หลังจากไปศึกษาเพิ่มเติมและมีคนช่วยตรวจง่านเขียนให้ คะแนนดีขึ้นมากเลยครับ
** Last trick สำหรับจขกท.รู้ตัวดีว่าภาษาอังกฤษคนเราพัฒนาได้เร็วมากในช่วงสั้นๆได้ยากครับ จขกท.ให้วิธีสอบทุก 1-2 สัปดาห์แล้วจดโจทย์ เช่น grammar หรือ vocab ที่ทำไม่ได้ออกมาหาคำตอบไว้ครับ ทำให้ไม่ทำผิดซ้ำในโจทย์เดิมครับ วิธีนี้คิดว่าเหมาะในคนที่สามารถสอบบ่อยได้และคะแนนอีกไม่มากจะผ่านเกณฑ์ครับ
** สุดท้ายนี้จขกท.ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังสอบภาษาอังกฤษอยู่ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการสอบนะครับ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นเช่นสอบไม่ผ่านขอให้เกิดทิ้งความรู้สึกเสียดายได้ไวๆนะครับ ให้คิดว่าความเสียใจเป็นหนึ่งในกระบวนการพัฒนาตัวเองที่เราต้องผ่านไปให้ได้ครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้