โทนี่ เฉ่งยับ 'บิ๊กตู่' เหลว สอบตกแก้วิกฤต ทำจีดีพีต่ำสุดอาเซียน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3510889
โทนี่ เฉ่งยับ ‘บิ๊กตู่’ เหลว สอบตกแก้วิกฤต ทำจีดีพีต่ำสุดอาเซียน ไม่ต้องยกคำสอน ทุกข์ใหญ่สุด คือ มีท่านเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 สิงหาคม เฟซบุ๊ก
CARE • แคร์ คิด เคลื่อน ไทย ได้ไลฟ์สด การพูดคุยกับ
โทนี่ วู้ดซัม หรือนายทักษิณ ชินวัตร ในหัวข้อ วิเคราะห์พายุการเมืองไทย หลัง 8 ปี ประยุทธ์
โดยระหว่างการไลฟ์สด นาย
ทักษิณ กล่าวว่า มีโอกาสได้หารือกับเพื่อนชาวเลบานอน จึงได้ทราบถึงปัญหาความขัดแย้งด้านการเมืองปัจจุบันในประเทศเลบานอน เนื่องจากในรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่า ประธานาธิบดีต้องนับถือศาสนาคริสต์ ตั้งนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะประธานาธิบดีไม่ยอม จึงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ กลุ่มการเมืองแตกเป็นหลายกลุ่ม เพราะเกี่ยวข้องกับศาสนามากเกินไป ทำให้พลาดโอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติ จากสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาล แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ กลายเป็นประเทศที่มีปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง
“หันมาที่บ้านเรา ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งใดๆ เพราะความขัดแย้งเหล่านี้จะทำให้ประเทศถดถอย อย่างอียิปต์ ที่ปกครองด้วยเผด็จการทหาร ซ้ำขัดแย้งด้านศาสนา เป็นกับดักให้ประเทศไม่สามารถเจริญก้าวหน้าได้มากเท่าที่ควร ดังนั้น จึงอยากให้เลิกขัดแย้ง ประเทศจะได้สงบ และพัฒนาได้ หากเราไม่ขัดแย้งกัน ทหารก็ไม่ออกมาเพ่นพ่าน มานั่งบริหารประเทศทั้งๆ ที่ทำไม่เป็น” นาย
ทักษิณกล่าว
นาย
ทักษิณกล่าวว่า จากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) พบว่าในไตรมาสที่ 2/2565 ไทยจีดีพีขยายตัวอยู่ที่ 2.5% ต่ำที่สุดในบรรดาประเทศหลักของอาเซียน โดยสิงคโปร์มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 4.8% อินโดนีเซียอยู่ที่ 5.4% ฟิลิปปินส์อยู่ที่ 7.4% เวียดนามอยู่ที่ 7.7% และมาเลเซียอยู่ที่ 8.9%
“มาเลเซีย สามารถขยายตัวได้ถึง 8.9% ทั้งที่การเมืองมีปัญหา เพราะภาคเอกชน ระบบราชการ รวมถึงระบบธนาคารยังแข็งแรง แต่ไทยทำไมถึงแย่ได้ขนาดนี้ ระบบพัง ภาคเอกชนส่วนใหญ่ก็อ่อนแอ แม้มีบางรายที่แข็งแรงก็ยังไม่สามารถรบราฆ่าฟันกับการค้าระหว่างประเทศได้ ธนาคารที่แรกเริ่มแข็งแรงอยู่ เข่าอ่อนบางแล้ว เพราะเจอหนี้เสีย ดังนั้น เราต้องพิจารณาตัวเอง คุณประยุทธ์จะบอกว่า ขยันเต็มที่ ทำงานเต็มที่ แต่จีดีพีขยายตัวที่ 2.5% นี้ เหมือนคนขยันแต่สอบตก วิธีของนักบริหาร ไม่ใช่นั่งท่องคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องมาเทศน์ให้ฟัง อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ใหญ่จริงๆ ตอนนี้ คือทุกข์ที่มีท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้น 4.72 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 27% จาก 5 เดือนก่อนหน้า จริงอยู่ที่น้ำมันขึ้นราคา เชื้อเพลิงขึ้นราคา แต่ขึ้น 5 บาท มาเก็บ 10 บาท มันใช่หรือ” นาย
ทักษิณกล่าว
อ.นิติจุฬาฯ ไขคำตอบ 5 ประเด็นสำคัญ วาระนายกฯครบ 8 ปี ฟันธง สิ้นสุด 24 ส.ค.นี้ ชัดเจน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3511015
อ.นิติจุฬาฯ ชำแหละ 5 ประเด็นสำคัญ วาระนายกฯครบ 8 ปี ฟันธง สิ้นสุด 24 ส.ค.นี้ ชัดเจน ชี้การนับเวลาต้องนับตั้งแต่การดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ปี 2557 ไม่สามารถนับระยะเวลาในปี 60 หรือปี 62 ได้ เพราะไม่สอดคล้องความจริง ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยความต่อเนื่องของการบริหารประเทศ
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความเผยแพร่ลงในเฟซบุ๊ก Ponson Liengboonlertchai แสดงความเห็นในประเด็นการถกเถียงทางวิชาการเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบแปดปี ต้องสิ้นสุดวาระตามกำหนดในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในหัวข้อเรื่อง ประยุทธ์กับประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า
ข่าวว่าจะมีการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นวาระ 8 ปี ของคุณประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีว่าครบวาระเมื่อไหร่ในวันที่ 17 ส.ค. อย่างไรก็ดี ยังคงมีการถกเถียงกันอยู่ว่าตกลงแล้ววาระ 8 ปีนั้นจะเริ่มต้นนับระยะเวลาเมื่อใด มีหลายท่านสอบถามผมว่ามีความเห็นเช่นไร เรื่องนี้มีประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเห็นว่าควรต้องอธิบายขยายความให้ทุกท่านได้เข้าใจถึงแนวคิดและหลักการทางรัฐธรรมนูญตามหลักวิชา ทั้งนี้ผมเองนั้น “อาจมีเหตุผลที่แตกต่างไปจากหลายท่าน” ที่ให้ความเห็นต่อสาธารณะอยู่ ณ ขณะนี้พอสมควร ซึ่งสามารถสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
1. วาระ 8 ปี ของนายกรัฐมนตรีคืออะไร มีที่มาและวัตถุประสงค์ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างไร?
– เรื่องนี้ในทางรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของ “การจำกัดวาระผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” (Term limits) ซึ่งกรณีที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ณ ปัจจุบัน เป็นเรื่องการจำกัดวาระการตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี (Prime ministerial term limits) ที่มีการบัญญัติไว้ใน ม.158 วรรคท้ายของรัฐธรรมนูญปี 60 (ฉบับปัจจุบัน) (แต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดวาระนายกฯ ห้ามดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี คือ รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ใน ม.171 วรรคท้าย)
– การกำหนดวาระนายกฯ ห้ามดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี ตามหลักการแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ ป้องกันการผูกขาดอำนาจทางการเมืองอันอาจนำไปสู่ผลกระทบต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม อันเป็นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น การแทรกแซงการทำหน้าที่ของสถาบันการเมือง หน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ, การละเมิดตัวบทกฎหมาย, การควบคุมผลการเลือกตั้ง, การเพิกเฉยต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ หรือการแสดงความคิดเห็นของประชาชน, สร้างอุปสรรคต่อบุคคลอื่นที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศในฐานะ “ทางเลือกใหม่” ในการบริหารประเทศสำหรับประชาชน ฯลฯ ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติ “เงื่อนไขทางเวลา” ในการใช้อำนาจบริหารไม่ให้ใช้เกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้
2. กรณีคุณประยุทธ์จะถือว่าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบวาระ 8 ปี เมื่อใด?
– ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับข้อถกเถียงในปัจจุบันว่าจะต้องนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของคุณประยุทธ์ในปีใดระหว่างปี 57, 60, หรือ 62 ซึ่งหากยึดตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วย “การจำกัดวาระผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” แล้วย่อมสามารถตอบได้ว่า จะต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป็นหลักว่า คุณประยุทธ์เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญเมื่อใด เพราะการทำหน้าที่ของบทบัญญัติการจำกัดวาระนั้นมุ่งพิจารณาจากความเป็นจริง (De facto) ของการใช้อำนาจอธิปไตยในฐานะสถาบันการเมืองทางรัฐธรรมนูญ (Constitutional institution) เป็นสำคัญ โดย ณ ที่นี้คือ การใช้อำนาจทางการเมืองในฐานะของฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญ
– ข้อเท็จจริงปรากฏเป็นที่ชัดเจน (Prima facie) และรับรู้กันเป็นการทั่วไปว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติแต่งตั้งคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ทั้งนี้ คุณประยุทธ์เองได้เข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการและมีการใช้อำนาจบริหารประเทศ “ตามกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี57” นับตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 57 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น วาระการดำรงตำแหน่งของคุณประยุทธ์ในฐานะ “นายกรัฐมนตรีที่มีการใช้อำนาจบริหารประเทศตามความเป็นจริงและรัฐธรรมนูญ” จึงเริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. ปี 57 และมาครบกำหนดระยะเวลา 8 ปีในวันที่ 24 ส.ค. ปี 65 ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญนั่นเอง
3. เหตุใดจึงไม่นับระยะเวลาในปี 60 หรือปี 62 เป็นระยะเวลาตั้งต้นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณประยุทธ์?
– คำถามนี้สามารถตอบได้โดยง่ายว่า ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งในปี 60 (ปีที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับซึ่งอาจมีเหตุผลมากกว่าการนับในปี 62) หรือปี 62 (ปีที่มีการเลือกตั้ง) ต่างก็จะเป็นการตีความบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและขัดแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น กล่าวคือ ก็เมื่อเป็นที่เห็นและรับรู้โดยประจักษ์ชัดว่า คุณประยุทธ์เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็น “นายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว ปี57)” ตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี57 จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะไปเริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งเอาในปี 60 หรือ 62 ซึ่ง “ไม่ใช่เวลาการดำรงตำแหน่งจริง” ของคุณประยุทธ์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความพยายามที่จะเข้าไปนับเวลาของคุณประยุทธ์ว่าเริ่มเป็นนายกฯ ในปี 60 และ 62 แล้วแต่กรณีนั้นก็เสมือนหนึ่งเรากำลังยืนกรานใน “ข้อเท็จ” ที่ว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ทั้งๆ ที่ “ข้อจริง” ที่รับรู้กันโดยทั่วไปนั้น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ทั้งหมดจึงสะท้อนว่า เป็นการตีความบังคับใช้กฎหมายที่ก่อให้เกิดผลอันแปลกประหลาดไม่สมเหตุสมผล (Absurdity) มิได้สอดคล้องกับความเป็นจริง ขัดต่อหลักการตีความรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องอย่างชัดเจน
4. การนับระยะเวลาเริ่มต้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณประยุทธ์ในปี 57 ตามข้อ 3. เป็นการบังคับใช้กฎหมายย้อนหลังหรือไม่?
– อาจเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมากที่มีผู้มองว่า การนับระยะเวลาตั้งแต่ปี 57 เป็นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญย้อนหลังไปจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งทางการเมือง (Retroactive term limits) ของคุณประยุทธ์ โดยผมคาดว่าความคิดเช่นนี้น่าจะมาจากความเข้าใจที่ว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี57 ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการจำกัดวาระ 8ปี ของนายกฯ จะมีก็แต่ในรัฐธรรมนูญ ปี60 ดังนั้น ถ้าจะเริ่มต้นนับวาระนายกฯ ของคุณประยุทธ์ อย่างน้อยก็ต้องนับใน ปี60 ไม่ใช่หรือ ซึ่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างที่เข้าใจกัน
– คงต้องอธิบายว่าจริงอยู่ที่เมื่อพลิกอ่านรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี57 ทั้งหมดแล้วจะไม่พบว่ามีข้อความเกี่ยวกับการจำกัดวาระ 8 ปีของนายกฯ แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐธรรมนูญจะไม่มีกฎเกณฑ์ดังกล่าวบังคับใช้ เพราะด้วย “ธรรมชาติของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว” ที่จะมีเนื้อหาสั้นๆ บทบัญญัติน้อย เงื่อนไข หรือข้อห้ามต่างๆ ในทางรัฐธรรมนูญ “ซึ่งรวมถึงการกำหนดวาระห้ามอยู่เกิน 8 ปี ของนายกฯ” จึงไม่มีการลงรายละเอียดแยกแยะเป็นรายมาตราอย่างชัดเจนเหมือนกับ “รัฐธรรมนูญฉบับปกติ” แต่ปรากฏตัวภายใต้ ม.5 ในฐานะ “ประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่เชื่อมโยงมาจากรัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ “ก่อตั้งประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย” ขึ้นว่า “นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยห้ามดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี” ในระบบการเมืองไทยนั่นเอง (พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ผู้คิดค้นและบัญญัติคำว่า “ประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ขึ้นครั้งแรกในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 ได้เคยอธิบายไว้ว่า “ประเพณีการปกครองฯ หมายถึง สิ่งที่บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับก่อนที่เคยได้บัญญัติเอาไว้ แล้วไม่ปรากฏในธรรมการปกครองที่ใช้บังคับในปัจจุบัน” ซึ่งคำอธิบายนี้สอดคล้องกับคำอธิบายของ ดร.หยุด แสงอุทัย ด้วยเช่นกัน)
JJNY : โทนี่เฉ่งยับ'ตู่'ทำจีดีพีต่ำสุดอาเซียน│อ.นิติจุฬาฯไขคำตอบ│'เสรีพิศุทธ์'จี้'ตู่'ยุบสภาลาออก│“ธีระชัย”ชี้ศก.ชะลอ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3510889
โทนี่ เฉ่งยับ ‘บิ๊กตู่’ เหลว สอบตกแก้วิกฤต ทำจีดีพีต่ำสุดอาเซียน ไม่ต้องยกคำสอน ทุกข์ใหญ่สุด คือ มีท่านเป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 สิงหาคม เฟซบุ๊ก CARE • แคร์ คิด เคลื่อน ไทย ได้ไลฟ์สด การพูดคุยกับ โทนี่ วู้ดซัม หรือนายทักษิณ ชินวัตร ในหัวข้อ วิเคราะห์พายุการเมืองไทย หลัง 8 ปี ประยุทธ์
โดยระหว่างการไลฟ์สด นายทักษิณ กล่าวว่า มีโอกาสได้หารือกับเพื่อนชาวเลบานอน จึงได้ทราบถึงปัญหาความขัดแย้งด้านการเมืองปัจจุบันในประเทศเลบานอน เนื่องจากในรัฐธรรมนูญระบุชัดเจนว่า ประธานาธิบดีต้องนับถือศาสนาคริสต์ ตั้งนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะประธานาธิบดีไม่ยอม จึงไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ กลุ่มการเมืองแตกเป็นหลายกลุ่ม เพราะเกี่ยวข้องกับศาสนามากเกินไป ทำให้พลาดโอกาสในการดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติ จากสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาล แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ กลายเป็นประเทศที่มีปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง
“หันมาที่บ้านเรา ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งใดๆ เพราะความขัดแย้งเหล่านี้จะทำให้ประเทศถดถอย อย่างอียิปต์ ที่ปกครองด้วยเผด็จการทหาร ซ้ำขัดแย้งด้านศาสนา เป็นกับดักให้ประเทศไม่สามารถเจริญก้าวหน้าได้มากเท่าที่ควร ดังนั้น จึงอยากให้เลิกขัดแย้ง ประเทศจะได้สงบ และพัฒนาได้ หากเราไม่ขัดแย้งกัน ทหารก็ไม่ออกมาเพ่นพ่าน มานั่งบริหารประเทศทั้งๆ ที่ทำไม่เป็น” นายทักษิณกล่าว
นายทักษิณกล่าวว่า จากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) พบว่าในไตรมาสที่ 2/2565 ไทยจีดีพีขยายตัวอยู่ที่ 2.5% ต่ำที่สุดในบรรดาประเทศหลักของอาเซียน โดยสิงคโปร์มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 4.8% อินโดนีเซียอยู่ที่ 5.4% ฟิลิปปินส์อยู่ที่ 7.4% เวียดนามอยู่ที่ 7.7% และมาเลเซียอยู่ที่ 8.9%
“มาเลเซีย สามารถขยายตัวได้ถึง 8.9% ทั้งที่การเมืองมีปัญหา เพราะภาคเอกชน ระบบราชการ รวมถึงระบบธนาคารยังแข็งแรง แต่ไทยทำไมถึงแย่ได้ขนาดนี้ ระบบพัง ภาคเอกชนส่วนใหญ่ก็อ่อนแอ แม้มีบางรายที่แข็งแรงก็ยังไม่สามารถรบราฆ่าฟันกับการค้าระหว่างประเทศได้ ธนาคารที่แรกเริ่มแข็งแรงอยู่ เข่าอ่อนบางแล้ว เพราะเจอหนี้เสีย ดังนั้น เราต้องพิจารณาตัวเอง คุณประยุทธ์จะบอกว่า ขยันเต็มที่ ทำงานเต็มที่ แต่จีดีพีขยายตัวที่ 2.5% นี้ เหมือนคนขยันแต่สอบตก วิธีของนักบริหาร ไม่ใช่นั่งท่องคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องมาเทศน์ให้ฟัง อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์ใหญ่จริงๆ ตอนนี้ คือทุกข์ที่มีท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ค่าไฟฟ้าที่ปรับขึ้น 4.72 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 27% จาก 5 เดือนก่อนหน้า จริงอยู่ที่น้ำมันขึ้นราคา เชื้อเพลิงขึ้นราคา แต่ขึ้น 5 บาท มาเก็บ 10 บาท มันใช่หรือ” นายทักษิณกล่าว
อ.นิติจุฬาฯ ไขคำตอบ 5 ประเด็นสำคัญ วาระนายกฯครบ 8 ปี ฟันธง สิ้นสุด 24 ส.ค.นี้ ชัดเจน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3511015
อ.นิติจุฬาฯ ชำแหละ 5 ประเด็นสำคัญ วาระนายกฯครบ 8 ปี ฟันธง สิ้นสุด 24 ส.ค.นี้ ชัดเจน ชี้การนับเวลาต้องนับตั้งแต่การดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่ปี 2557 ไม่สามารถนับระยะเวลาในปี 60 หรือปี 62 ได้ เพราะไม่สอดคล้องความจริง ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วยความต่อเนื่องของการบริหารประเทศ
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผศ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความเผยแพร่ลงในเฟซบุ๊ก Ponson Liengboonlertchai แสดงความเห็นในประเด็นการถกเถียงทางวิชาการเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบแปดปี ต้องสิ้นสุดวาระตามกำหนดในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในหัวข้อเรื่อง ประยุทธ์กับประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า
ข่าวว่าจะมีการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในประเด็นวาระ 8 ปี ของคุณประยุทธ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีว่าครบวาระเมื่อไหร่ในวันที่ 17 ส.ค. อย่างไรก็ดี ยังคงมีการถกเถียงกันอยู่ว่าตกลงแล้ววาระ 8 ปีนั้นจะเริ่มต้นนับระยะเวลาเมื่อใด มีหลายท่านสอบถามผมว่ามีความเห็นเช่นไร เรื่องนี้มีประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเห็นว่าควรต้องอธิบายขยายความให้ทุกท่านได้เข้าใจถึงแนวคิดและหลักการทางรัฐธรรมนูญตามหลักวิชา ทั้งนี้ผมเองนั้น “อาจมีเหตุผลที่แตกต่างไปจากหลายท่าน” ที่ให้ความเห็นต่อสาธารณะอยู่ ณ ขณะนี้พอสมควร ซึ่งสามารถสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
1. วาระ 8 ปี ของนายกรัฐมนตรีคืออะไร มีที่มาและวัตถุประสงค์ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างไร?
– เรื่องนี้ในทางรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของ “การจำกัดวาระผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” (Term limits) ซึ่งกรณีที่กำลังถกเถียงกันอยู่ ณ ปัจจุบัน เป็นเรื่องการจำกัดวาระการตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี (Prime ministerial term limits) ที่มีการบัญญัติไว้ใน ม.158 วรรคท้ายของรัฐธรรมนูญปี 60 (ฉบับปัจจุบัน) (แต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดวาระนายกฯ ห้ามดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี คือ รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 ใน ม.171 วรรคท้าย)
– การกำหนดวาระนายกฯ ห้ามดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี ตามหลักการแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ ป้องกันการผูกขาดอำนาจทางการเมืองอันอาจนำไปสู่ผลกระทบต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม อันเป็นการกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น การแทรกแซงการทำหน้าที่ของสถาบันการเมือง หน่วยงาน หรือองค์กรต่างๆ, การละเมิดตัวบทกฎหมาย, การควบคุมผลการเลือกตั้ง, การเพิกเฉยต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ หรือการแสดงความคิดเห็นของประชาชน, สร้างอุปสรรคต่อบุคคลอื่นที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศในฐานะ “ทางเลือกใหม่” ในการบริหารประเทศสำหรับประชาชน ฯลฯ ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงบัญญัติ “เงื่อนไขทางเวลา” ในการใช้อำนาจบริหารไม่ให้ใช้เกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้
2. กรณีคุณประยุทธ์จะถือว่าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบวาระ 8 ปี เมื่อใด?
– ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับข้อถกเถียงในปัจจุบันว่าจะต้องนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของคุณประยุทธ์ในปีใดระหว่างปี 57, 60, หรือ 62 ซึ่งหากยึดตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าด้วย “การจำกัดวาระผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” แล้วย่อมสามารถตอบได้ว่า จะต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป็นหลักว่า คุณประยุทธ์เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญเมื่อใด เพราะการทำหน้าที่ของบทบัญญัติการจำกัดวาระนั้นมุ่งพิจารณาจากความเป็นจริง (De facto) ของการใช้อำนาจอธิปไตยในฐานะสถาบันการเมืองทางรัฐธรรมนูญ (Constitutional institution) เป็นสำคัญ โดย ณ ที่นี้คือ การใช้อำนาจทางการเมืองในฐานะของฝ่ายบริหารตามรัฐธรรมนูญ
– ข้อเท็จจริงปรากฏเป็นที่ชัดเจน (Prima facie) และรับรู้กันเป็นการทั่วไปว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติแต่งตั้งคุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ทั้งนี้ คุณประยุทธ์เองได้เข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการและมีการใช้อำนาจบริหารประเทศ “ตามกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี57” นับตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 57 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น วาระการดำรงตำแหน่งของคุณประยุทธ์ในฐานะ “นายกรัฐมนตรีที่มีการใช้อำนาจบริหารประเทศตามความเป็นจริงและรัฐธรรมนูญ” จึงเริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. ปี 57 และมาครบกำหนดระยะเวลา 8 ปีในวันที่ 24 ส.ค. ปี 65 ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญนั่นเอง
3. เหตุใดจึงไม่นับระยะเวลาในปี 60 หรือปี 62 เป็นระยะเวลาตั้งต้นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณประยุทธ์?
– คำถามนี้สามารถตอบได้โดยง่ายว่า ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งในปี 60 (ปีที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับซึ่งอาจมีเหตุผลมากกว่าการนับในปี 62) หรือปี 62 (ปีที่มีการเลือกตั้ง) ต่างก็จะเป็นการตีความบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและขัดแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น กล่าวคือ ก็เมื่อเป็นที่เห็นและรับรู้โดยประจักษ์ชัดว่า คุณประยุทธ์เข้ามาดำรงตำแหน่งเป็น “นายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว ปี57)” ตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี57 จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะไปเริ่มนับวาระการดำรงตำแหน่งเอาในปี 60 หรือ 62 ซึ่ง “ไม่ใช่เวลาการดำรงตำแหน่งจริง” ของคุณประยุทธ์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความพยายามที่จะเข้าไปนับเวลาของคุณประยุทธ์ว่าเริ่มเป็นนายกฯ ในปี 60 และ 62 แล้วแต่กรณีนั้นก็เสมือนหนึ่งเรากำลังยืนกรานใน “ข้อเท็จ” ที่ว่า พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก ทั้งๆ ที่ “ข้อจริง” ที่รับรู้กันโดยทั่วไปนั้น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ทั้งหมดจึงสะท้อนว่า เป็นการตีความบังคับใช้กฎหมายที่ก่อให้เกิดผลอันแปลกประหลาดไม่สมเหตุสมผล (Absurdity) มิได้สอดคล้องกับความเป็นจริง ขัดต่อหลักการตีความรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องอย่างชัดเจน
4. การนับระยะเวลาเริ่มต้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณประยุทธ์ในปี 57 ตามข้อ 3. เป็นการบังคับใช้กฎหมายย้อนหลังหรือไม่?
– อาจเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างมากที่มีผู้มองว่า การนับระยะเวลาตั้งแต่ปี 57 เป็นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญย้อนหลังไปจำกัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งทางการเมือง (Retroactive term limits) ของคุณประยุทธ์ โดยผมคาดว่าความคิดเช่นนี้น่าจะมาจากความเข้าใจที่ว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี57 ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการจำกัดวาระ 8ปี ของนายกฯ จะมีก็แต่ในรัฐธรรมนูญ ปี60 ดังนั้น ถ้าจะเริ่มต้นนับวาระนายกฯ ของคุณประยุทธ์ อย่างน้อยก็ต้องนับใน ปี60 ไม่ใช่หรือ ซึ่งความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างที่เข้าใจกัน
– คงต้องอธิบายว่าจริงอยู่ที่เมื่อพลิกอ่านรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี57 ทั้งหมดแล้วจะไม่พบว่ามีข้อความเกี่ยวกับการจำกัดวาระ 8 ปีของนายกฯ แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐธรรมนูญจะไม่มีกฎเกณฑ์ดังกล่าวบังคับใช้ เพราะด้วย “ธรรมชาติของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว” ที่จะมีเนื้อหาสั้นๆ บทบัญญัติน้อย เงื่อนไข หรือข้อห้ามต่างๆ ในทางรัฐธรรมนูญ “ซึ่งรวมถึงการกำหนดวาระห้ามอยู่เกิน 8 ปี ของนายกฯ” จึงไม่มีการลงรายละเอียดแยกแยะเป็นรายมาตราอย่างชัดเจนเหมือนกับ “รัฐธรรมนูญฉบับปกติ” แต่ปรากฏตัวภายใต้ ม.5 ในฐานะ “ประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่เชื่อมโยงมาจากรัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ “ก่อตั้งประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย” ขึ้นว่า “นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยห้ามดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี” ในระบบการเมืองไทยนั่นเอง (พระยาอรรถการีย์นิพนธ์ผู้คิดค้นและบัญญัติคำว่า “ประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ขึ้นครั้งแรกในธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 ได้เคยอธิบายไว้ว่า “ประเพณีการปกครองฯ หมายถึง สิ่งที่บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับก่อนที่เคยได้บัญญัติเอาไว้ แล้วไม่ปรากฏในธรรมการปกครองที่ใช้บังคับในปัจจุบัน” ซึ่งคำอธิบายนี้สอดคล้องกับคำอธิบายของ ดร.หยุด แสงอุทัย ด้วยเช่นกัน)