https://mgronline.com/live/detail/9540000130683
ฟ้าหลังฝนมักจะงดงามเสมอ มีคนบอกเอาไว้อย่างนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้หยาดฝนจะยังคงโปรยปรายลงสู่แผ่นดินไทยอยู่อย่างไม่ขาดสาย และอาจทำให้พี่น้องชาวไทยหลายต่อหลายคนหมดกำลังใจลงไปแล้วก็ตาม แต่ท่ามกลางกระแสธารแห่งความเศร้ายังคงมีดอกไม้งามผลิดอกออกใบโชยกลิ่นให้ได้ชื่นชม เช่นเดียวกับชีวิตหลังฝนของเธอคนนี้ที่อาจช่วยเยียวยาจิตใจใครหลายๆ คนที่กำลังแห้งเหี่ยวจากวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ให้กลับมาสดชื่นชุ่มฉ่ำอีกครั้งหนึ่งด้วยดอกบุหงาที่ “ชะเอม-ศิริพิชยา วิสิฐไวทยากุล” ปลูกเอาไว้ในตัวเอง
ตอนแรกนั้น “บุหงาหน้าฝน” เป็นเพียงชื่อละครเรื่องหนึ่งที่ทำให้ M-Lite เดินทางมาเจอกับนางเอกสาวหน้าคมคนนี้ แต่หลังจากพูดคุยกันไปได้สักพัก กลับยิ่งทำให้รู้สึกว่าชื่อของละครเรื่องแรกเรื่องนี้ช่างบ่งบอกตัวตนของเธอได้ดีจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวที่ดูสดใสร่าเริงตลอดเวลาอย่างชะเอมจะเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว แต่เธอผ่านพ้นมันมาแล้วจริงๆ โดยมีรอยยิ้มกว้างๆ และความคิดบวกๆ ตลอดบทสนทนาเป็นเครื่องช่วยยืนยัน เปรียบไปแล้วชะเอมจึงเป็นเหมือนดอกไม้งามที่พยายามผลิดอกสวยขึ้นมาสู้กับพายุฝนโหมกระหน่ำ และดูเหมือนว่ากลีบหอมๆ ของบุหงาดอกนี้จะเติบโตได้งดงามและน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
นี่แหละคือความเสียใจ!
เห็นได้ชัดว่าเธอกะพริบตาถี่ตลอดหัวข้อสนทนานี้ ถึงแม้ว่าคนเล่าจะยังคงพูดไปยิ้มไปได้อย่างปกติ แต่แววตาของชะเอมบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังลำดับความถึงอดีตที่แสนเจ็บปวด เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ ผู้ชายที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ
“หนูสนิทกับคุณพ่อมากค่ะ เพราะเราชอบทำอะไรฮาๆ เหมือนๆ กัน (หัวเราะ) ทุกครั้งที่มาถ่ายทำ คุณพ่อจะปลีกตัวจากงานทนายความตามมาดูแลตลอด ตื่นเช้ามาคุณพ่อจะทำโยเกิร์ต น้ำผักปั่นให้ แล้วไม่ได้ดูแลหนูคนเดียวด้วยนะ ดูแลทุกคนในบ้านเลยค่ะ คอยเตรียมเมนูสุขภาพให้ทุกคนกิน เวลาอยู่ในกอง คุณพ่อก็จะช่วยคอมเมนต์ ช่วยดูว่าหนูแสดงเป็นธรรมชาติไหม ตรงนี้เค้นไปหรือเปล่าลูก ลองรู้สึกออกมาจากข้างในก่อนไหมค่อยพูดออกมา คุณพ่อจะช่วยแนะนำตลอด พอวันที่หันไปไม่เจอคุณพ่อแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ เหมือนกับว่าทุกอย่างจบแล้ว หนูนั่งร้องไห้ที่บ้าน ร้องกับเพื่อน ไปมหาวิทยาลัยก็ร้องไห้ ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย”
สาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกเคว้งคว้างจนตั้งหลักไม่ทันขนาดนี้ คงเป็นเพราะเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งก็พบว่าคุณพ่อถูกทำร้าย นอนแน่นิ่งสลบอยู่หน้าบ้าน ผ่านพ้นไปเพียงแค่คืนเดียว คุณพ่อก็จากไปอย่างสงบโดยไม่ทันให้ใครสักคนในครอบครัวได้ร่ำลา
“ในกล้องวงจรปิดของเพื่อนบ้านจับภาพได้ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกันมา ตีหัวคุณพ่อแล้วก็หนีไป แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ทุกวันนี้ก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เลย แต่ปกติคุณพ่อเขาจะชอบออกมาเช็ดรถที่หน้าบ้านตอนตีห้าเป็นกิจวัตรอยู่แล้วค่ะ วันนั้นพอพี่สาวออกมาหน้าบ้านก็เห็นว่าคุณพ่อถูกทำร้ายแล้ว เลยรีบเอาตัวส่งโรงพยาบาล ในใจตอนนั้นไม่คิดว่าอาการจะหนักถึงขั้นเสียชีวิต แต่ด้วยความที่คุณพ่อป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบีและโรคนี้จะมีปัญหาเรื่องเลือดแข็งตัวช้า เลยทำให้เสียเลือดมากกว่าคนปกติ เข้าห้องไอซียู ผ่าตัดสมองตั้งแต่เช้าวันนั้นจนถึงตีสี่อีกวันหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยื้อไว้ไม่ได้” วินาทีนี้ดูเหมือนว่าการกะพริบตาถี่ๆ ของเธอจะช่วยอะไรไม่ได้มากแล้ว
ตอนนั้นชะเอมรู้สึกท้อแท้หมดหวังถึงขั้นคิดว่าเมื่อไม่มีคุณพ่ออยู่คอยเป็นกำลังใจ ก็ไม่อยากจะทำงานในวงการอีกต่อไปแล้ว แต่ในเมื่ออาชีพนักแสดงคือความฝันของเธอ จึงทำให้ชะเอมตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สับสนกับการตัดสินใจของตัวเองอยู่พักใหญ่เหมือนกัน
“กะจะเลิกทำงานในวงการเลยค่ะตอนนั้น พอคุณพ่อเสีย ไม่มีใครมาคอยดูแล คุณแม่ก็เป็นห่วง หนูเองก็ไม่อยากให้เป็นภาระของคุณแม่ด้วย เพราะท่านเป็นผอ.โรงเรียนอยู่ จะให้ตามมาดูแลตลอดก็ไม่สะดวก ก็เลยเลิกรับงานไปเลย ทำแค่กิจกรรมมหาวิทยาลัย เป็นลีดจุฬาฯ คิดว่าเรียนหนังสืออย่างเดียวละกัน ทั้งที่ใจลึกๆ จริงๆ ก็ยังอยากทำงานในวงการอยู่ แต่ถ้าจะให้ทำงานต่อเลยก็กลัวจะคิดถึงคุณพ่ออีก ไม่อยากตอบคำถามคนอื่นว่าคุณพ่อไปไหน เลยอยู่ในช่วงสับสนแล้วก็อึดอัดมากๆ เลยค่ะ”
ความทรงจำสีจางๆ
กว่าจะผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้เล่นเอาปางตายเหมือนกัน เพราะความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณพ่อล้วนแล้วแต่วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวชะเอมทั้งสิ้น จึงชวนให้สะกิดปมเศร้าในใจได้ตลอดเวลา แต่ท้ายที่สุดเธอก็สามารถแปลงความคิดถึงเหล่านั้นให้กลายเป็นรอยยิ้มที่มุมปากได้ เมื่อเรียนรู้ว่ายังมีความฝันให้มุ่งมั่นและยังมีคนข้างๆ ให้ดูแล เธอจึงกลับมาตั้งสติอีกครั้งหนึ่ง
“พอหันมามองคุณแม่ ก็คิดได้ว่าเขาน่าจะเป็นคนที่ทุกข์ใจกว่าเราอีก เขาอยู่กันมา 20 กว่าปี แถมมีลูกด้วยกันอีกสามคน แล้วต้องมาแยกจากกันกะทันหัน ถ้าเรายังมานั่งเศร้าอยู่อย่างนี้ก็เป็นภาระของคุณแม่เข้าไปอีก ในเมื่อเราเสียคุณพ่อไปแล้ว เราจะต้องไม่เสียคุณแม่ไปอีก (แววตาเข้มแข็ง) คิดว่าทำยังไงก็ได้ให้คุณแม่สบายใจ ก็เลยเริ่มคุยกันมากขึ้น คุณแม่เองก็รู้ว่าลึกๆ แล้วหนูยังอยากทำงานในวงการอยู่ พอดีว่าตอนนั้นมีเอ็มวีติดต่อเข้ามา หนูก็เลยลองรับดู แล้วก็ได้เจอพี่เมย์ ผู้จัดการของหนูทุกวันนี้ พี่เขาช่วยดูแลทุกอย่างเหมือนคนในครอบครัว คุณแม่เองก็ไว้ใจ หนูเลยได้กลับมาทำงานแบบเต็มตัวอีกครั้งค่ะ”
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ภาพความทรงจำของคุณพ่อจะยังไม่หายไปไหน แต่ชะเอมก็ไม่ได้มองมันอย่างเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามกลับนึกถึงและเล่าให้คนอื่นฟังได้ด้วยรอยยิ้มซึ้งๆ อย่างที่เธอมอบให้เราในตอนนี้ “ถึงแม้คุณพ่อจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว แต่ถ้าคุณพ่ออยู่ข้างบนแล้วมองมาที่หนูและเขาเห็นว่าเราทุกข์ใจ เขาก็คงไม่สบายใจ สู้เรากลับมาทำในสิ่งที่เราฝันให้มีความสุข ให้เหมือนตอนที่คุณพ่อยังอยู่ พ่อน่าจะมีความสุขกว่า พอคิดแบบนี้ก็มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ” เธอบอกอย่างนั้น
“ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงคุณพ่ออยู่ตลอดค่ะ โดยเฉพาะช่วงที่เหนื่อยมากๆ แต่ส่วนมากหนูจะชอบชวนคุณพ่อดูงานของหนูค่ะ ชวนทุกวันเลย (หัวเราะ) บอกพ่อว่าหนูได้เป็นนางเอกละครแล้วนะ พ่อดีใจไหม พ่ออย่าลืมดูนะ หรือตอนออกจากบ้านไปถ่ายละครต่างจังหวัด ก็จะบอกคุณพ่อว่าหนูต้องเดินทางไกลนะ พ่อช่วยดูแลหนูด้วยนะ คิดว่าตอนนี้เขาคงมีความสุขแล้วค่ะ เพราะเขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หนูอยากทำมาตลอด” นางเอกหน้าใหม่ยิ้มกว้างจนตาหยี จากนั้นจึงเริ่มแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ ของเธอและคุณพ่อให้เราได้รับรู้
“เวลาที่ท้อแท้หนูก็จะนึกถึงคำพูดที่คุณพ่อเคยสอน ท่านบอกว่าสิ่งหนึ่งที่จะทำให้หนูผ่านมันไปได้คือความสุข พ่อเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าอะไรที่หนูทำแล้วมีความสุข หนูมักจะทำได้ดี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการแสดง เวลามีงานเข้ามา คุณพ่อแค่มองตา เขาจะรู้แล้วว่างานนี้หนูอยากทำหรือเปล่า แล้วก็จะบอกตลอดว่าทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะลูก"
"เวลาอยู่ในกองถ่ายก็จะคิดถึงคุณพ่อบ่อยๆ เพราะตอนพ่ออยู่ เขาจะชอบนั่งฝั่งตรงข้ามกับที่หนูแต่งหน้าทำผม คอยส่งยิ้มให้ หนูจะเห็นคุณพ่ออยู่ในสายตาตลอด บางช่วงเขาก็จะไปนั่งหน้ามอนิเตอร์ คอยดูการแสดงของเรา คอยให้กำลังใจ ชูนิ้วโป้งให้ ทำท่าทุบหัวใจบ้าง (ทำให้ดู) เหมือนจะบอกเราว่าลูกทำได้อยู่แล้ว ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ” รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตื้นตันขณะเล่าให้ฟัง ไม่บอกก็รู้ว่าเธอกำลังคิดถึงหน้าของใครอยู่
ส่วนคนที่กำลังเสียใจหรือต้องผ่านความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรในตอนนี้ ชะเอมขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจ มอบความหวังดีส่งไปให้ พร้อมแนวคิดบวกๆ ตามแบบฉบับของเธอ
“ถ้าจะห้ามไม่ให้เสียใจ มันคงเป็นไปไม่ได้ หนูว่าคงต้องปล่อยให้เสียใจให้สุดๆ ไปเลย ให้มันจบไปเลยตรงนั้น จากนั้นอยากให้เปลี่ยนความคิดถึงเป็นกำลังใจ ให้คิดว่าคนที่จากไปเขายังอยู่ข้างเราเสมอ และเราจงใช้ชีวิตต่อไปตามความฝัน ความสุขของเรา เชื่อเถอะว่าถ้าเรามีความสุข เขาก็จะมีความสุขด้วย ทุกวันนี้หนูก็เชื่อตลอดว่าคุณพ่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูทำและท่านก็กำลังยิ้มอยู่ค่ะ” ถ้าเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกันกับที่ชะเอมยิ้มในตอนนี้ คุณพ่อคงมีความสุขน่าดูเลย
.."ชะเอม-ศิริพิชยา" บุหงาบานสะพรั่งท่ามกลางพายุฝน ..2554
ฟ้าหลังฝนมักจะงดงามเสมอ มีคนบอกเอาไว้อย่างนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้หยาดฝนจะยังคงโปรยปรายลงสู่แผ่นดินไทยอยู่อย่างไม่ขาดสาย และอาจทำให้พี่น้องชาวไทยหลายต่อหลายคนหมดกำลังใจลงไปแล้วก็ตาม แต่ท่ามกลางกระแสธารแห่งความเศร้ายังคงมีดอกไม้งามผลิดอกออกใบโชยกลิ่นให้ได้ชื่นชม เช่นเดียวกับชีวิตหลังฝนของเธอคนนี้ที่อาจช่วยเยียวยาจิตใจใครหลายๆ คนที่กำลังแห้งเหี่ยวจากวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ให้กลับมาสดชื่นชุ่มฉ่ำอีกครั้งหนึ่งด้วยดอกบุหงาที่ “ชะเอม-ศิริพิชยา วิสิฐไวทยากุล” ปลูกเอาไว้ในตัวเอง
ตอนแรกนั้น “บุหงาหน้าฝน” เป็นเพียงชื่อละครเรื่องหนึ่งที่ทำให้ M-Lite เดินทางมาเจอกับนางเอกสาวหน้าคมคนนี้ แต่หลังจากพูดคุยกันไปได้สักพัก กลับยิ่งทำให้รู้สึกว่าชื่อของละครเรื่องแรกเรื่องนี้ช่างบ่งบอกตัวตนของเธอได้ดีจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวที่ดูสดใสร่าเริงตลอดเวลาอย่างชะเอมจะเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว แต่เธอผ่านพ้นมันมาแล้วจริงๆ โดยมีรอยยิ้มกว้างๆ และความคิดบวกๆ ตลอดบทสนทนาเป็นเครื่องช่วยยืนยัน เปรียบไปแล้วชะเอมจึงเป็นเหมือนดอกไม้งามที่พยายามผลิดอกสวยขึ้นมาสู้กับพายุฝนโหมกระหน่ำ และดูเหมือนว่ากลีบหอมๆ ของบุหงาดอกนี้จะเติบโตได้งดงามและน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
นี่แหละคือความเสียใจ!
เห็นได้ชัดว่าเธอกะพริบตาถี่ตลอดหัวข้อสนทนานี้ ถึงแม้ว่าคนเล่าจะยังคงพูดไปยิ้มไปได้อย่างปกติ แต่แววตาของชะเอมบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังลำดับความถึงอดีตที่แสนเจ็บปวด เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ ผู้ชายที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ
“หนูสนิทกับคุณพ่อมากค่ะ เพราะเราชอบทำอะไรฮาๆ เหมือนๆ กัน (หัวเราะ) ทุกครั้งที่มาถ่ายทำ คุณพ่อจะปลีกตัวจากงานทนายความตามมาดูแลตลอด ตื่นเช้ามาคุณพ่อจะทำโยเกิร์ต น้ำผักปั่นให้ แล้วไม่ได้ดูแลหนูคนเดียวด้วยนะ ดูแลทุกคนในบ้านเลยค่ะ คอยเตรียมเมนูสุขภาพให้ทุกคนกิน เวลาอยู่ในกอง คุณพ่อก็จะช่วยคอมเมนต์ ช่วยดูว่าหนูแสดงเป็นธรรมชาติไหม ตรงนี้เค้นไปหรือเปล่าลูก ลองรู้สึกออกมาจากข้างในก่อนไหมค่อยพูดออกมา คุณพ่อจะช่วยแนะนำตลอด พอวันที่หันไปไม่เจอคุณพ่อแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ เหมือนกับว่าทุกอย่างจบแล้ว หนูนั่งร้องไห้ที่บ้าน ร้องกับเพื่อน ไปมหาวิทยาลัยก็ร้องไห้ ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย”
สาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกเคว้งคว้างจนตั้งหลักไม่ทันขนาดนี้ คงเป็นเพราะเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งก็พบว่าคุณพ่อถูกทำร้าย นอนแน่นิ่งสลบอยู่หน้าบ้าน ผ่านพ้นไปเพียงแค่คืนเดียว คุณพ่อก็จากไปอย่างสงบโดยไม่ทันให้ใครสักคนในครอบครัวได้ร่ำลา
“ในกล้องวงจรปิดของเพื่อนบ้านจับภาพได้ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกันมา ตีหัวคุณพ่อแล้วก็หนีไป แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ทุกวันนี้ก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เลย แต่ปกติคุณพ่อเขาจะชอบออกมาเช็ดรถที่หน้าบ้านตอนตีห้าเป็นกิจวัตรอยู่แล้วค่ะ วันนั้นพอพี่สาวออกมาหน้าบ้านก็เห็นว่าคุณพ่อถูกทำร้ายแล้ว เลยรีบเอาตัวส่งโรงพยาบาล ในใจตอนนั้นไม่คิดว่าอาการจะหนักถึงขั้นเสียชีวิต แต่ด้วยความที่คุณพ่อป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบีและโรคนี้จะมีปัญหาเรื่องเลือดแข็งตัวช้า เลยทำให้เสียเลือดมากกว่าคนปกติ เข้าห้องไอซียู ผ่าตัดสมองตั้งแต่เช้าวันนั้นจนถึงตีสี่อีกวันหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยื้อไว้ไม่ได้” วินาทีนี้ดูเหมือนว่าการกะพริบตาถี่ๆ ของเธอจะช่วยอะไรไม่ได้มากแล้ว
ตอนนั้นชะเอมรู้สึกท้อแท้หมดหวังถึงขั้นคิดว่าเมื่อไม่มีคุณพ่ออยู่คอยเป็นกำลังใจ ก็ไม่อยากจะทำงานในวงการอีกต่อไปแล้ว แต่ในเมื่ออาชีพนักแสดงคือความฝันของเธอ จึงทำให้ชะเอมตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สับสนกับการตัดสินใจของตัวเองอยู่พักใหญ่เหมือนกัน
“กะจะเลิกทำงานในวงการเลยค่ะตอนนั้น พอคุณพ่อเสีย ไม่มีใครมาคอยดูแล คุณแม่ก็เป็นห่วง หนูเองก็ไม่อยากให้เป็นภาระของคุณแม่ด้วย เพราะท่านเป็นผอ.โรงเรียนอยู่ จะให้ตามมาดูแลตลอดก็ไม่สะดวก ก็เลยเลิกรับงานไปเลย ทำแค่กิจกรรมมหาวิทยาลัย เป็นลีดจุฬาฯ คิดว่าเรียนหนังสืออย่างเดียวละกัน ทั้งที่ใจลึกๆ จริงๆ ก็ยังอยากทำงานในวงการอยู่ แต่ถ้าจะให้ทำงานต่อเลยก็กลัวจะคิดถึงคุณพ่ออีก ไม่อยากตอบคำถามคนอื่นว่าคุณพ่อไปไหน เลยอยู่ในช่วงสับสนแล้วก็อึดอัดมากๆ เลยค่ะ”
ความทรงจำสีจางๆ
กว่าจะผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้เล่นเอาปางตายเหมือนกัน เพราะความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณพ่อล้วนแล้วแต่วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวชะเอมทั้งสิ้น จึงชวนให้สะกิดปมเศร้าในใจได้ตลอดเวลา แต่ท้ายที่สุดเธอก็สามารถแปลงความคิดถึงเหล่านั้นให้กลายเป็นรอยยิ้มที่มุมปากได้ เมื่อเรียนรู้ว่ายังมีความฝันให้มุ่งมั่นและยังมีคนข้างๆ ให้ดูแล เธอจึงกลับมาตั้งสติอีกครั้งหนึ่ง
“พอหันมามองคุณแม่ ก็คิดได้ว่าเขาน่าจะเป็นคนที่ทุกข์ใจกว่าเราอีก เขาอยู่กันมา 20 กว่าปี แถมมีลูกด้วยกันอีกสามคน แล้วต้องมาแยกจากกันกะทันหัน ถ้าเรายังมานั่งเศร้าอยู่อย่างนี้ก็เป็นภาระของคุณแม่เข้าไปอีก ในเมื่อเราเสียคุณพ่อไปแล้ว เราจะต้องไม่เสียคุณแม่ไปอีก (แววตาเข้มแข็ง) คิดว่าทำยังไงก็ได้ให้คุณแม่สบายใจ ก็เลยเริ่มคุยกันมากขึ้น คุณแม่เองก็รู้ว่าลึกๆ แล้วหนูยังอยากทำงานในวงการอยู่ พอดีว่าตอนนั้นมีเอ็มวีติดต่อเข้ามา หนูก็เลยลองรับดู แล้วก็ได้เจอพี่เมย์ ผู้จัดการของหนูทุกวันนี้ พี่เขาช่วยดูแลทุกอย่างเหมือนคนในครอบครัว คุณแม่เองก็ไว้ใจ หนูเลยได้กลับมาทำงานแบบเต็มตัวอีกครั้งค่ะ”
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ภาพความทรงจำของคุณพ่อจะยังไม่หายไปไหน แต่ชะเอมก็ไม่ได้มองมันอย่างเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามกลับนึกถึงและเล่าให้คนอื่นฟังได้ด้วยรอยยิ้มซึ้งๆ อย่างที่เธอมอบให้เราในตอนนี้ “ถึงแม้คุณพ่อจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว แต่ถ้าคุณพ่ออยู่ข้างบนแล้วมองมาที่หนูและเขาเห็นว่าเราทุกข์ใจ เขาก็คงไม่สบายใจ สู้เรากลับมาทำในสิ่งที่เราฝันให้มีความสุข ให้เหมือนตอนที่คุณพ่อยังอยู่ พ่อน่าจะมีความสุขกว่า พอคิดแบบนี้ก็มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ” เธอบอกอย่างนั้น
“ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงคุณพ่ออยู่ตลอดค่ะ โดยเฉพาะช่วงที่เหนื่อยมากๆ แต่ส่วนมากหนูจะชอบชวนคุณพ่อดูงานของหนูค่ะ ชวนทุกวันเลย (หัวเราะ) บอกพ่อว่าหนูได้เป็นนางเอกละครแล้วนะ พ่อดีใจไหม พ่ออย่าลืมดูนะ หรือตอนออกจากบ้านไปถ่ายละครต่างจังหวัด ก็จะบอกคุณพ่อว่าหนูต้องเดินทางไกลนะ พ่อช่วยดูแลหนูด้วยนะ คิดว่าตอนนี้เขาคงมีความสุขแล้วค่ะ เพราะเขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หนูอยากทำมาตลอด” นางเอกหน้าใหม่ยิ้มกว้างจนตาหยี จากนั้นจึงเริ่มแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ ของเธอและคุณพ่อให้เราได้รับรู้
“เวลาที่ท้อแท้หนูก็จะนึกถึงคำพูดที่คุณพ่อเคยสอน ท่านบอกว่าสิ่งหนึ่งที่จะทำให้หนูผ่านมันไปได้คือความสุข พ่อเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าอะไรที่หนูทำแล้วมีความสุข หนูมักจะทำได้ดี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการแสดง เวลามีงานเข้ามา คุณพ่อแค่มองตา เขาจะรู้แล้วว่างานนี้หนูอยากทำหรือเปล่า แล้วก็จะบอกตลอดว่าทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะลูก"
"เวลาอยู่ในกองถ่ายก็จะคิดถึงคุณพ่อบ่อยๆ เพราะตอนพ่ออยู่ เขาจะชอบนั่งฝั่งตรงข้ามกับที่หนูแต่งหน้าทำผม คอยส่งยิ้มให้ หนูจะเห็นคุณพ่ออยู่ในสายตาตลอด บางช่วงเขาก็จะไปนั่งหน้ามอนิเตอร์ คอยดูการแสดงของเรา คอยให้กำลังใจ ชูนิ้วโป้งให้ ทำท่าทุบหัวใจบ้าง (ทำให้ดู) เหมือนจะบอกเราว่าลูกทำได้อยู่แล้ว ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ” รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตื้นตันขณะเล่าให้ฟัง ไม่บอกก็รู้ว่าเธอกำลังคิดถึงหน้าของใครอยู่
ส่วนคนที่กำลังเสียใจหรือต้องผ่านความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรในตอนนี้ ชะเอมขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจ มอบความหวังดีส่งไปให้ พร้อมแนวคิดบวกๆ ตามแบบฉบับของเธอ
“ถ้าจะห้ามไม่ให้เสียใจ มันคงเป็นไปไม่ได้ หนูว่าคงต้องปล่อยให้เสียใจให้สุดๆ ไปเลย ให้มันจบไปเลยตรงนั้น จากนั้นอยากให้เปลี่ยนความคิดถึงเป็นกำลังใจ ให้คิดว่าคนที่จากไปเขายังอยู่ข้างเราเสมอ และเราจงใช้ชีวิตต่อไปตามความฝัน ความสุขของเรา เชื่อเถอะว่าถ้าเรามีความสุข เขาก็จะมีความสุขด้วย ทุกวันนี้หนูก็เชื่อตลอดว่าคุณพ่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูทำและท่านก็กำลังยิ้มอยู่ค่ะ” ถ้าเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกันกับที่ชะเอมยิ้มในตอนนี้ คุณพ่อคงมีความสุขน่าดูเลย