ไร้กระบวนท่า
ระดับต้น คือ มีวิชากระบวนท่า (เช่น มีกระบวนท่า 72 กระบวนท่า) แต่ไม่ยึดติดกระบวนท่า พร้อมเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงได้ทุกช่วงของกระบวนท่า อุปมา มีกระบวนท่าเสมือนไม่มีกระบวนท่า (มีวิชากระบวนท่าแต่ยามออกใช้กลับลืมว่ารู้วิชากระบวนท่าเสีย) จุดอ่อนในกระบวนท่ามีแต่ถูกเปลี่ยนด้วยการพลิกแพลงก่อนกระบวนท่านั้นจะเผยจุดอ่อน เป็นอย่างนี้ทุกกระบวนท่าไป (เอี้ยก้วย บรรลุขั้นที่ ๘ ของวิชาไม้เท้าตีสุนัข พลิกแพลงพิศดารไม่จบสิ้น แต่กำลังภายในยังอ่อนอยู่)
ระดับกลาง คือ ไม่มีวิชากระบวนท่า (ไม่ใช่ไม่รู้วิชากระบวนท่า) แต่จงใจใช้แต่ท่าพื้นฐานเท่านั้น คือ ฟัน แทง ทิ่ม ปาด ฟาด เหวี่ยง ยก ปัด ...เป็นต้น เพราะมองทะลุแก่นกระบวนท่าทั้งปวงและกำลังฝึกปรือท่าพื้นฐานขั้นสูงทำให้ทรงพลังกว่าการออกกระบวนท่าที่ฟุ่มเฟือย จึงออกกระบี่อย่างรวบรัดหมดจด ดังนั้น ระดับนี้ ไร้กระบวนท่า ไร้กระบวนท่ายังเสมือนมีกระบวนท่า แต่เนื่องจากท่าพื้นฐาน ยังคงมีท่าและเป็นการออกท่าพื้นฐานที่ต่อเนื่องโดยไม่มีวิชากระบวนท่า แต่เมื่อออกติดต่อกัน ยังคงกลายเป็นกระบวนท่า (ไม่ใช่วิชากระบวนท่าแต่ยามออกใช้ยังคงมีกระบวนเพลง/กระบวนของท่าพื้นฐานที่ทรงพลังใช้ติดต่อกัน) แม้ไม่มีจุดอ่อนของกระบวนท่า แต่เนื่องจากท่าพื้นฐานแต่ละท่า ยังคงมีท่ารับมือ เช่น การฟัน ย่อมรับด้วยการฟันปัดก็ได้ การทิ่ม ย่อมรับด้วยการยกรับก็ได้ หรือเลือกที่จะหลบก็ได้ ย่อมยังอาจช่วงชิงจังหวะและรอจังหวะได้อยู่ หากว่าศัตรูมีพื้นฐานวิชาที่แน่นและกำลังฝึกปรือพื้นฐานที่ดี (เอี้ยก้วย ขั้นกระบี่หนัก เรียบง่ายรวบรัดทรงพลัง)
ระดับสูง ก้าวล้ำข้ามกระบวนท่า หมายถึง จะมีวิชากระบวนท่า/ไม่มีวิชากระบวนท่า ก็ตาม แต่อาศัยความเร็วที่เหนือกว่า หรือความทรงพลังที่เหนือกว่า พิชิตวิชากระบวนท่า/กระบวนท่าพื้นฐาน
สายเร็ว เน้นความเร็วที่ทรงพลัง หากทรงพลังน้อยกว่าไม่มาก หรือเท่ากัน หรือมากกว่า ย่อมอาศัยความเร็วชิงความได้เปรียบ กระทำโดยไม่สนใจกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม และเร็วจนจุดอ่อนในกระบวนท่าที่มีศัตรูแม้เห็นแต่ไม่อาจทำลายได้ทัน หรือเร็วจนไม่เห็นกระบวนท่าเลย ย่อมยากที่จะเห็นจุดอ่อน (ปราณที่แผ่พุ่งจากปลายกระบี่ไม้ของเอี้ยก้วย ถึงกับผ่าคลื่นทะเล เสียงกระบี่ไม้ดังราวกับเสียงโซนิคบูม)
สายหนัก เน้นความหนักของกำลังภายใน/กำลังภายนอก /ทั้งกำลังภายในและภายนอก ก่อเกิดพลัง เพียงอาศัยกำลังที่ทรงพลังกว่าสยบทุกกระบวนท่าของอีกฝ่าย (ร่างกายและปราณของเอี้ยก้วยหล่อหลอมจนเป็นดุจกระบี่เหล็กนิลดำเล่มหนึ่ง)
สายเร็ว vs สายหนัก ขึ้นอยู่กับว่าเร็วนั้นทรงพลังพอทำร้ายสายหนักได้หรือไม่ หรือสายหนัก นั้นยังเร็วพอที่จะจับสายเร็วได้หรือไม่
ระดับขั้นสุดยอด กระบวนท่า คล้ายมี คล้ายไม่มี เหนือล้ำด้วยเซ้นส์การต่อสู้และผลของการฝึกปรือไร้กระบวนท่าขั้นสูงที่ผ่านมาทั้งหมด บวกความเข้าใจด้านกระบวนท่าถึงระดับปรมาจารย์ (เช่น เพียงรับรู้กระบวนท่าเดียวของศัตรู ถึงกับคำนวณระดับพลังฝีมือของศัตรูได้อย่างแม่นยำ) เข้าสู่สภาวะ กระบวนท่า คล้ายมี คล้ายไม่มี ก้าวข้ามความเร็วหรือความหนักของศัตรู ด้วยการออกท่าที่สายตา รวมทั้งประสาทสัมผัสของศัตรูไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ของกระบวนท่า ย้ำว่า ขั้นนี้ ไม่ใช่สายเร็ว หรือสายหนัก แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ และการออกกระบวนท่า ที่ถึงแก่นปรัชญาของท่วงท่าการต่อสู้ จึงเกิดกระบวนท่า คล้ายมี คล้ายไม่มี ศัตรูย่อมไม่อาจรับรู้ได้ว่าจะถูกโจมตีอย่างไร ย่อมต้องเป็นฝ่ายรับสถานเดียว (เอี้ยก้วย ใช้กระบวนท่าเข้าขั้นนี้ ตอนพิชิตกิมลุ้น ทั้งนี้ ก่อนจะพิชิตได้มีการบรรยายว่า เอี้ยก้วยสามารถคิดใช้ฝ่ามือกำสรดพิชิตกิมลุ้นได้หลายครั้ง แต่เนื่องจากกระบวนท่าคลาดเคลื่อนไปเท่านั้น (ไม่นับตอนแรกที่เป็นการหยั่งเชิงและเริ่มสู้จริงจังด้วยฝ่ามือที่ฝึกปรือกับคลื่นทะเลมรสุมก่อน))
หากว่าเอี้ยก้วย คิดพิชิต 5 ยอดยุทธ์ที่เหลืออย่างจริงจัง และไม่จำกัดว่าจะใช้แค่ 4 กระบวนท่าฝ่ามือกำสรด หรือว่าหากว่า ท่านกิมย้งไม่ keep ระดับของ 5 ยอดยุทธ์ไว้ และวางพล็อตหลักที่ความรัก แต่เป็นนิยายกำลังภายในแบบสุดขั้ว เราคนอ่านอาจได้อ่านเรื่องที่สะท้อนความเดี่ยวดายแสวงพ่ายของต๊กโก้วคิ้วป่าย จากเรื่องของเอี้ยก้วย จอมยุทธ์อินทรี นั้นเองแหละ ที่ถ้าเอาจริงเสียแต่แรกและไม่ติดเงื่อนไขอารมณ์จากพล็อตความรัก ฝ่ามือกำสรด 5 ท่า ก็ไร้เทียมทานแบบเข้าขั้นไร้กระบวนท่าระดับขั้นสุดยอด คือ 17 ฝ่ามือกำสรด นี่ไม่มีเหตุให้ต้องใช้จนครบชุดเลย
ปล. ตามหลักการทั่วไป การคิดวิชาต่อสู้ขึ้นมาสักชุดหนึ่ง ย่อมร้อยเรียงหลักวิชาของกระบวนท่าวิชาแต่ละกระบวนท่าไว้อย่างเป็นระบบ ดังนั้น ตามหลักแล้ว ฝ่ามือกำสรดวิญญาณสลาย ยังมีระดับความลึกล้ำของการสอดประสานเชื่อมโยงของกระบวนท่าไว้อีกมากมาย แต่ด้วยความที่ ศัตรูมีคนเก่งเพียงแค่
กิมลุ้นคนเดียว แถม 5 ยอดยุทธ์ที่เหลือก็เป็นฝ่ายดี และชราภาพมากแล้ว ฝ่ามือกำสรดวิญญาณสลายก็คล้ายกระบี่ไม้ที่ต๊กโก้วคิ้วป่ายฝังอยู่ในสุสาน คือ แทบไม่ได้ใช้เลย
ขั้นไร้กระบวนท่า ระดับขั้นสุดยอด ของจอมยุทธ์อินทรี
ระดับต้น คือ มีวิชากระบวนท่า (เช่น มีกระบวนท่า 72 กระบวนท่า) แต่ไม่ยึดติดกระบวนท่า พร้อมเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงได้ทุกช่วงของกระบวนท่า อุปมา มีกระบวนท่าเสมือนไม่มีกระบวนท่า (มีวิชากระบวนท่าแต่ยามออกใช้กลับลืมว่ารู้วิชากระบวนท่าเสีย) จุดอ่อนในกระบวนท่ามีแต่ถูกเปลี่ยนด้วยการพลิกแพลงก่อนกระบวนท่านั้นจะเผยจุดอ่อน เป็นอย่างนี้ทุกกระบวนท่าไป (เอี้ยก้วย บรรลุขั้นที่ ๘ ของวิชาไม้เท้าตีสุนัข พลิกแพลงพิศดารไม่จบสิ้น แต่กำลังภายในยังอ่อนอยู่)
ระดับกลาง คือ ไม่มีวิชากระบวนท่า (ไม่ใช่ไม่รู้วิชากระบวนท่า) แต่จงใจใช้แต่ท่าพื้นฐานเท่านั้น คือ ฟัน แทง ทิ่ม ปาด ฟาด เหวี่ยง ยก ปัด ...เป็นต้น เพราะมองทะลุแก่นกระบวนท่าทั้งปวงและกำลังฝึกปรือท่าพื้นฐานขั้นสูงทำให้ทรงพลังกว่าการออกกระบวนท่าที่ฟุ่มเฟือย จึงออกกระบี่อย่างรวบรัดหมดจด ดังนั้น ระดับนี้ ไร้กระบวนท่า ไร้กระบวนท่ายังเสมือนมีกระบวนท่า แต่เนื่องจากท่าพื้นฐาน ยังคงมีท่าและเป็นการออกท่าพื้นฐานที่ต่อเนื่องโดยไม่มีวิชากระบวนท่า แต่เมื่อออกติดต่อกัน ยังคงกลายเป็นกระบวนท่า (ไม่ใช่วิชากระบวนท่าแต่ยามออกใช้ยังคงมีกระบวนเพลง/กระบวนของท่าพื้นฐานที่ทรงพลังใช้ติดต่อกัน) แม้ไม่มีจุดอ่อนของกระบวนท่า แต่เนื่องจากท่าพื้นฐานแต่ละท่า ยังคงมีท่ารับมือ เช่น การฟัน ย่อมรับด้วยการฟันปัดก็ได้ การทิ่ม ย่อมรับด้วยการยกรับก็ได้ หรือเลือกที่จะหลบก็ได้ ย่อมยังอาจช่วงชิงจังหวะและรอจังหวะได้อยู่ หากว่าศัตรูมีพื้นฐานวิชาที่แน่นและกำลังฝึกปรือพื้นฐานที่ดี (เอี้ยก้วย ขั้นกระบี่หนัก เรียบง่ายรวบรัดทรงพลัง)
ระดับสูง ก้าวล้ำข้ามกระบวนท่า หมายถึง จะมีวิชากระบวนท่า/ไม่มีวิชากระบวนท่า ก็ตาม แต่อาศัยความเร็วที่เหนือกว่า หรือความทรงพลังที่เหนือกว่า พิชิตวิชากระบวนท่า/กระบวนท่าพื้นฐาน
สายเร็ว เน้นความเร็วที่ทรงพลัง หากทรงพลังน้อยกว่าไม่มาก หรือเท่ากัน หรือมากกว่า ย่อมอาศัยความเร็วชิงความได้เปรียบ กระทำโดยไม่สนใจกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม และเร็วจนจุดอ่อนในกระบวนท่าที่มีศัตรูแม้เห็นแต่ไม่อาจทำลายได้ทัน หรือเร็วจนไม่เห็นกระบวนท่าเลย ย่อมยากที่จะเห็นจุดอ่อน (ปราณที่แผ่พุ่งจากปลายกระบี่ไม้ของเอี้ยก้วย ถึงกับผ่าคลื่นทะเล เสียงกระบี่ไม้ดังราวกับเสียงโซนิคบูม)
สายหนัก เน้นความหนักของกำลังภายใน/กำลังภายนอก /ทั้งกำลังภายในและภายนอก ก่อเกิดพลัง เพียงอาศัยกำลังที่ทรงพลังกว่าสยบทุกกระบวนท่าของอีกฝ่าย (ร่างกายและปราณของเอี้ยก้วยหล่อหลอมจนเป็นดุจกระบี่เหล็กนิลดำเล่มหนึ่ง)
สายเร็ว vs สายหนัก ขึ้นอยู่กับว่าเร็วนั้นทรงพลังพอทำร้ายสายหนักได้หรือไม่ หรือสายหนัก นั้นยังเร็วพอที่จะจับสายเร็วได้หรือไม่
ระดับขั้นสุดยอด กระบวนท่า คล้ายมี คล้ายไม่มี เหนือล้ำด้วยเซ้นส์การต่อสู้และผลของการฝึกปรือไร้กระบวนท่าขั้นสูงที่ผ่านมาทั้งหมด บวกความเข้าใจด้านกระบวนท่าถึงระดับปรมาจารย์ (เช่น เพียงรับรู้กระบวนท่าเดียวของศัตรู ถึงกับคำนวณระดับพลังฝีมือของศัตรูได้อย่างแม่นยำ) เข้าสู่สภาวะ กระบวนท่า คล้ายมี คล้ายไม่มี ก้าวข้ามความเร็วหรือความหนักของศัตรู ด้วยการออกท่าที่สายตา รวมทั้งประสาทสัมผัสของศัตรูไม่อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ของกระบวนท่า ย้ำว่า ขั้นนี้ ไม่ใช่สายเร็ว หรือสายหนัก แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ และการออกกระบวนท่า ที่ถึงแก่นปรัชญาของท่วงท่าการต่อสู้ จึงเกิดกระบวนท่า คล้ายมี คล้ายไม่มี ศัตรูย่อมไม่อาจรับรู้ได้ว่าจะถูกโจมตีอย่างไร ย่อมต้องเป็นฝ่ายรับสถานเดียว (เอี้ยก้วย ใช้กระบวนท่าเข้าขั้นนี้ ตอนพิชิตกิมลุ้น ทั้งนี้ ก่อนจะพิชิตได้มีการบรรยายว่า เอี้ยก้วยสามารถคิดใช้ฝ่ามือกำสรดพิชิตกิมลุ้นได้หลายครั้ง แต่เนื่องจากกระบวนท่าคลาดเคลื่อนไปเท่านั้น (ไม่นับตอนแรกที่เป็นการหยั่งเชิงและเริ่มสู้จริงจังด้วยฝ่ามือที่ฝึกปรือกับคลื่นทะเลมรสุมก่อน))
หากว่าเอี้ยก้วย คิดพิชิต 5 ยอดยุทธ์ที่เหลืออย่างจริงจัง และไม่จำกัดว่าจะใช้แค่ 4 กระบวนท่าฝ่ามือกำสรด หรือว่าหากว่า ท่านกิมย้งไม่ keep ระดับของ 5 ยอดยุทธ์ไว้ และวางพล็อตหลักที่ความรัก แต่เป็นนิยายกำลังภายในแบบสุดขั้ว เราคนอ่านอาจได้อ่านเรื่องที่สะท้อนความเดี่ยวดายแสวงพ่ายของต๊กโก้วคิ้วป่าย จากเรื่องของเอี้ยก้วย จอมยุทธ์อินทรี นั้นเองแหละ ที่ถ้าเอาจริงเสียแต่แรกและไม่ติดเงื่อนไขอารมณ์จากพล็อตความรัก ฝ่ามือกำสรด 5 ท่า ก็ไร้เทียมทานแบบเข้าขั้นไร้กระบวนท่าระดับขั้นสุดยอด คือ 17 ฝ่ามือกำสรด นี่ไม่มีเหตุให้ต้องใช้จนครบชุดเลย
ปล. ตามหลักการทั่วไป การคิดวิชาต่อสู้ขึ้นมาสักชุดหนึ่ง ย่อมร้อยเรียงหลักวิชาของกระบวนท่าวิชาแต่ละกระบวนท่าไว้อย่างเป็นระบบ ดังนั้น ตามหลักแล้ว ฝ่ามือกำสรดวิญญาณสลาย ยังมีระดับความลึกล้ำของการสอดประสานเชื่อมโยงของกระบวนท่าไว้อีกมากมาย แต่ด้วยความที่ ศัตรูมีคนเก่งเพียงแค่
กิมลุ้นคนเดียว แถม 5 ยอดยุทธ์ที่เหลือก็เป็นฝ่ายดี และชราภาพมากแล้ว ฝ่ามือกำสรดวิญญาณสลายก็คล้ายกระบี่ไม้ที่ต๊กโก้วคิ้วป่ายฝังอยู่ในสุสาน คือ แทบไม่ได้ใช้เลย