JJNY : เผยทอ.เตรียมอุทธรณ์ขอซื้อF-35A│เตรียมยื่นป.ป.ช.เอาผิด“อาคม-สันติ”│สัปดาห์นี้จับตาเงินเฟ้อ│นาซาติงจีนไม่แชร์ข้อมูล

รองประธานอนุฯไอซีที เผยกองทัพอากาศเตรียมยื่นอุทธรณ์ขอซื้อ F-35A ต่อกมธ.งบชุดใหญ่ 2 ส.ค.นี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3481841


 
รองประธานอนุฯไอซีที เผยกองทัพอากาศเตรียมยื่นอุทธรณ์ขอซื้อ F-35A ต่อกมธ.งบชุดใหญ่ 2 ส.ค.นี้ แฉมี ‘ลุง’ อาศัยในป่า ล็อบบี้กมธ.ฟากรบ.โหวตให้
 
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม เวลา 10.00 น.ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธาน  คณะอนุกรรมาธิการ(กมธ.) ครุภัณฑ์ ICT รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในกมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ที่มีนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานอนุกมธ.ฯ แถลงว่า ปี66 ยอดเงินที่เข้า อนุกมธ.ฯ​ ทั้งหมด 336,254 ล้านบาท ปรับลดไปทั้งสิ่น 4,093 ล้านบาท โดยในส่วนกระทรวงกลาโหมทั้งหมด 32,702 ล้านบาท ปรับลดไป 3,130 ล้านบาท โดยกองทัพบกปรับลดไป 2,000 ล้านบาท ถือว่ามากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเงินค่างวดงานที่กองทัพเบิกจ่ายไม่ได้ เนื่องจากมีปัญหาในการไปตรวจรับของจากต่างประเทศ และปัญหาการเดินทาง ทางกองทัพก็เลื่อนงวดงานให้ เช่นกองทัพบก เป็นค่างานประมาณ 1,700 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้กระทบอะไร ส่วนกองทัพเรือถูกปรับลด 200 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองกองทัพไม่ได้ มีการ อุทธรณ์แต่อย่างใด แต่มีปัญหาที่กองทัพอากาศ ที่ถูกกปรับลดไป 1 รายการคือโครงการจัดหาเครื่องบินโจมตีระยะที่ 1 จำนวน 738 ล้านบาท
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า การที่กองทัพกาศถกปรับลดงบประมาณไป เหมือนเลื่อนมากกว่าเพราะว่าขณะนี้ยังจะต้องรอเครื่องบินรบ F-35A ซึ่งเป็นเครื่องบินทางยุทธศาสตร์รุ่นใหม่ล่าสุด และการอนุมัติขายขึ้นอยู่กับสภาคองเกรสของสหรัฐ ที่ขณะนี้ทราบว่าขั้นตอนการอนุมัติจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20เดือน ถึงจะรู้ว่าสภาคองเกรส จะขายให้กับประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งไม่ช้าอยู่แล้วปี 67 ทางกองทัพเรือของบประมาณมาใหม่ก็ยังทัน ทั้งนี้งบประมาณในการจัดซื้อเครื่องบินรบ F-35A จำนวน 2ลำ มูลค่า 7,400 ล้านบาท เป็นเครื่องบินเปล่าๆที่ยังไม่มีอาวุธ แต่ที่กองทัพเรือตั้งไว้ 10เปอร์เซนต์ 2 ลำ จำนวน 738 ล้านบาท และทางเสนาธิการทหารอากาศ ก็เป็นคนพูดเองว่า F-35A ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไร เป็นการทดแทนเครื่องบิน หากไม่ผ่านงบปี 66 เสนอปีหน้าก็ยังทัน แสดงให้เห็นว่าการจัดซื้อเครื่องบินรบ F-35A ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไร
 
“อนุกมธ.ฯทั้ง10 คน มีทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งรัฐบาลมีมากว่า ก็ไม่มีใครช่วยทหารอากาศสักคน ทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ ว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งงบฯปีนี้ ได้ตั้งปีหน้าก็ยังทัน งบปีนี้เอาไปช่วยประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอย่างอื่นก่อน ทั้งจากปัญหาของแพง โควิดที่กำลังแพร่ระบาดหนักอีกรอบก่อน และในวันที่ 2 ส.ค.เวลา 09.30 น.ทางกองทัพอากาศ ได้ยื่นอุทธรณ์การขอซื้อเครื่องบินรบ F-35A จำนวน 2 ลำต่อกมธ.งบฯชุดใหญ่ และขณะนี้มีลุงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในป่า กำลังโทรล็อบบี้กมธ.ฯ ฝั่งรัฐบาลให้ยกมือสวน มติของอนุฯครุภัณฑ์ เพื่อผ่านเครื่องบินรบ F-35A ให้ ซึ่งสวนกับนโยบายนายกฯที่ให้เหล่าทัพจัดซื้ออาวุธเท่าที่จำเป็น” นายยุทธพงศ์ กล่าว
 

 
“ยุทธพงศ์” เตรียมยื่น ป.ป.ช.พรุ่งนี้ เอาผิด “อาคม-สันติ” ม.157 โครงการท่อส่งน้ำสายหลักอีอีซี
https://www.matichon.co.th/politics/news_3481892

“ยุทธพงศ์” เตรียมยื่น ป.ป.ช.พรุ่งนี้ เอาผิด “อาคม-สันติ” ม.157 โครงการท่อส่งน้ำสายหลักอีอีซี ลั่นหนังม้วนยาว เปลี่ยนรบ.เมื่อไหร่ท่อส่งน้ำตามไปหลอกหลอนแน่
 
เมื่อวันที่ 31 ก.ค.เวลา 10.00 น.ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่า ความคืบหน้าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา เกี่ยวกับการคัดเลือกเอกชนในการบริหารโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบส่งน้ำสายหลักในภาคตระวันออก(ท่อส่งน้ำสายหลัก อีอีซี) ปรากฎว่าทางกรมธนารักษ์ ได้มีหนังสือลงวนที่ 26 ก.ค. ถึงกรรมการผู้จัดการบริษัทวงศ์สยาม ก่อสร้าง จำกัด เรื่องการลงนามในสัญญาท่อส่งน้ำสายหลักอีอีซี
 
โดยกรมธนารักษ์ได้กำหนดให้มีการลงนามในสัญญาโครงการในวันที่ 3 ส.ค.65 เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 8 อาาคาร 72ปี ซึ่งในการอภิปรายไม่วางใจ นายสันติ พร้อมพัฒน์​ รมช.คลัง ตอบไม่ได้เลย แต่หลังอภิปรายนผ่านไปไม่ได้สนเลยว่าคำชี้แจงตอบไม่ได้ ซึ่งตนถือว่าท่องส่งน้ำสายหลักอีอีซีเป็นมหากาฬการโกงครั้งนี้ซึ่งจะทำสำเร็จในอีก 2 วันข้างหน้า
 
“ผมไม่รู้ว่าพล.อ.ประยทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ทำอะไรอยู่ นายอาคม เติมวิทยาไพสิฐ รมวคลัง และพล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ปล่อยไปได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องชัดเจน น่าเกลียดว่ามีการจัดฉากหนีการประมูล หนีการประกวดราคา ไปอ้างเหตุผลบ้าๆบอๆ ว่าเป็นงานที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญพิเศษเลยเชิญเฉพาะ 5 ราย ทั้งๆที่รู้ว่างานนี้ ไม่ได้ต้องการผู้เชี่ยวชาญพิเศษอะไร แค่ซื้อน้ำดิบจากกรมชลประทาน ลูกบาศก์เมตระ 50 สตางค์ ไปขายเป็นน้ำดิบลูกบาศก์เมตรละ 11 บาท เพียงแค่ผ่านท่อเท่านั้น ไม่ได้ขายเป็นน้ำประปา แต่อภิปรายฯไปนายสันติก็ไม่สนใจ ผมคิดว่าดีแล้วชาวบ้านเห็นชัดๆเลยว่างานนี้โกงกันแบบหน้าด้านๆ และพล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานอีซีซี ก็รู้ว่าแบบนี้ไม่ใช่ แต่กลับปล่อยผ่านให้บริษัทอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีความน่าเชื่อถือว่ารับงานแบบจัดฉาก ที่ผิดหวังมากคือ รมว.คลัง ที่บอกว่าโปร่งใสมือสะอาด กลับไม่สนใจ ปล่อยให้นายสันติ ดำเนินการทั้งหมด ดังนั้นข้าราชการทุกคนที่ร่วมด้วยเตรียมตัวเข้าปิ้งได้เเลย ผมจะยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ให้หมด คุณไม่ต้องห่วงเปลี่ยนรัฐบาลเมื่อไหร่ท่องส่งน้ำจะตามไปหลอกหลอนคุณแน่” นายยุทธพงศ์ กล่าว
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนรมว.มหาดไทย ที่กำกับดูแลการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคถือหุ้นในบริษัทอีสท์ วอเตอร์ ร้อยละ 40 ท่านปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้ได้อย่างไร เพราะอีสท์ วอเตอร์ ถือว่าเป็นสมบัติของชาติส่วนหนึ่ง ตอนนี้ก็เสียหายหมด ถ้าอีสท์ วอเตอร์แจ๊งไป การประปาส่วนภูมิภาคก็เสียหายไปด้วย และตนทราบมาว่าตอนนี้มีแผนต่อไปคือจะมีคนในรัฐบาลไปฮุบอีสท์ วอเตอร์ มาประเคนให้วงศ์สยามฯ ค่อยดูเลยแล้วกันงานนี้หนังม้วนยาวแน่ ดังนั้นตนจะไปยื่นเรื่องท่อส่งนำ้สายหลักอีอีซี ต่อป.ป.ช. เอาผิด 1.นายอาคม 2.นายสันติ 3.คณะกรรมการที่ราชพัสดุ และ4.คณะกรรมการคัดเลือกฯ ในวันที่ 1 ส.ค.เวลา 10.00 น.ที่สำนักงานป.ป.ช.สนามบินน้ำ โดยยื่นข้อหาเข้าข่ายการปฏิบัติ หรือเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอย่างร้ายแรง มีความผิดตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และคามผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้ว เพราะไม่เปิดให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า คณะกรรมการที่ราชพัสดุมีความผิดเพราะมีมติให้กรมธนารักษ์คักเลือกเอกชนดำเนินการโครงการ โดยหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามพ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชนปี 2562 และคณะกรรมการที่ราชพัสดุมีมติให้คัดเลือกโดยไม่ใช้วิธีการประมูลแข่งขัน ซึ่งมีนายอาคมเป็นประธานตามกฎหมาย และมอบให้นายสันติดำเนินการ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนอย่างเห็นได้ชัด สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน
 

 
ค่าเงินบาทผันผวน สัปดาห์นี้จับตาเงินเฟ้อ-ทิศทางเงินทุนต่างชาติ
https://siamrath.co.th/n/369616
 
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานเงินบาทในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ แต่ยังคงมีแรงกดดันด้านอ่อนค่า โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นช่วงสั้นๆ ต้นสัปดาห์ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ที่อ่อนแอกดดันเงินดอลลาร์ ให้อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงในช่วงต่อมาตามทิศทางค่าเงินหยวน แรงซื้อเงินดอลลาร์ ของผู้นำเข้าในช่วงสิ้นเดือน และแรงขายสุทธิพันธบัตรไทยของต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์ ทยอยฟื้นตัวขึ้นในช่วงก่อนการประชุมเฟด (ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง) และยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลัง IMF ปรับลดตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2565-2566 ลงมาที่ 3.2% และ 2.9% ตามลำดับ
โดยตลอดสัปดาห์ เงินบาทแกว่งตัวผันผวนอยู่ในกรอบประมาณ 36.62-36.88 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงระหว่างรอติดตามผลการประชุมเฟด เพื่อประเมินแนวโน้มและขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ในช่วงที่เหลือของปี
 
ในวันพุธที่ 27 ก.ค.65 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 36.80 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับ 36.70 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (22 ก.ค.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 25-27 ก.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 4,376 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรไทย 1,921 ล้านบาท
 
สัปดาห์ถัดไป (1-5 ส.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 36.00-37.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ค. ของไทย
 
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือน ก.ค.ยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงานเดือน มิ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษและธนาคารกลางออสเตรเลีย รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิต/ภาคบริการเดือน ก.ค.ของจีน อังกฤษ และยูโรโซนด้วยเช่นกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่