จุดเริ่มต้น "ใครไม่อาย ผมอาย"

- ก่อนอื่น ผมออกตัวก่อนว่า ผมเองไม่ได้ฝักฝ่ายใดเป็นพิเศษ ผมเป็นแค่แฟนบอลไทยคนนึงที่ติดตามฟุตบอลไทยมาพักใหญ่ แต่ก็เป็นแค่การแข่งขัน การเตรียมทีม ดูบอลไทยลีกทั่วๆไป

- แต่หลังๆมาผมเห็นโพสต่างๆมากขึ้นเกี่ยวกับขั้วทางการเมืองของนายกสมาคมคนก่อนและคนปัจจุบัน ผมก็เลยลองหาข้อมูลคร่าวๆว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในเบื้องลึกเรื่องนี้ พอดีไปเจอบทความนี้ เลยเอามาลงเผื่อที่ว่า ใครจับต้นชนปลายไม่ถูกจะได้รู้ไปพร้อมๆกัน

- หากข้อมูลผิดพลาดประการ ต้องขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ



ประโยคคลาสสิค ที่เป็นชนักติดหลัง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จากอดีตจนถึงวันนี้ คือ "ใครไม่อาย ผมอาย" ที่กล่าวไว้ หลังทีมชาติไทยแพ้ญี่ปุ่น 4-0 ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ที่ไซตามะ คำถามคือ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไม พล.ต.อ. สมยศถึงกล่าวคำนี้ออกมาในวันนั้น เราจะไปอธิบายกันตั้งแต่แรก

- ย้อนกลับไปในปี 2014 ทีมชาติไทยที่มีเฮดโค้ชคือเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง หลังจากคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี จากนั้นไทยก็สานต่อความมั่นใจ ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกด้วยการคว้าแชมป์กลุ่มไปอย่า งดงาม เหนือ อิรัก, เวียดนาม และ ไต้หวัน โดยแข่ง 6 นัดไม่แพ้ใครเลย (ชนะ 4 เสมอ 2)

- ณ เวลานั้นความป็อปปูลาร์ของฟุตบอลไทยพุ่งกระฉูดมาก ตั๋วทีมชาติถูกแย่งกันซื้อ ขายกี่แมตช์ก็ Sold Out ตลอด บอลสโมสรก็ได้รับความนิยม ผู้คนเข้ามาดูอย่างคับคั่ง กระแสบอลไทยฟีเวอร์เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ขณะที่ทีมเยาวชนก็เล่นดี คว้าแชมป์ระดับอาเซียนทุกชุดที่ขวางหน้า ทั้ง U-19 และ U-22 (ซีเกมส์) อะไรๆ ก็ดูดีไปหมด

- อย่างไรก็ตาม ช่วงที่มีความสุขก็ไม่ได้จีรังยั่งยืน เพราะเมื่อทีมชาติไทยไปสู่ระดับเอเชียจริงๆ ได้ลงเล่นปะทะกับทีมใหญ่ ทั้งญี่ปุ่น, ซาอุดิอาระเบีย, ออสเตรเลีย, ยูเออี และ อิรัก (อีกรอบ) คราวนี้ไทยเอาชนะใครไม่ได้เลย ไทยเริ่มจากแพ้ซาอุฯ 1-0 ที่ริยาด ตามด้วยกลับมาแพ้ญี่ปุ่นที่ราชมังฯ 2-0 แล้วไปแพ้ยูเออี 3-1 ก่อนโดนอิรักถล่มยับ 4-0 ฮันนีมูนของซิโก้กับทีมชาติ ก็หมดลงตอนนี้เช่นกัน สาเหตุเพราะเขาเองก็ไม่เคยก้าวมาคุมทีมสู้กับคู่แข่งระดับเอเชียมาก่อน 

- การตัดสินใจทุกอย่างจึงผิดพลาด ซิโก้โดนวิจารณ์แหลกว่า ยึดแต่ระบบลูกรัก มีแต่ตัวเดิมๆ ไม่ยอมให้โอกาสนักเตะเก่งๆ ในไทยลีกคนอื่นๆ
รวมถึงแท็กติกก็เดาทางได้ง่าย เช่นนาที 70 จะส่งธนา ชะนะบุตรลงมาป่วน ซึ่งพอไม่มีความหลากหลาย ก็เลยต้านทานทีมใหญ่ไม่ไหว ผลงานในฟุตบอลโลกก็ประเด็นหนึ่ง

- แต่อีกเรื่องที่เชื่อมโยงกันก็คือ ซิโก้มีความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยอยู่ก่อนแล้ว จากเรื่องผลประโยชน์ที่ขัดกัน

- ในยุคของวรวีร์ มะกูดี จะมีนโยบายการแต่งตั้งโค้ชที่มีความแปลกมาก นั่นคือสมาคมฯ จะจ่ายเงินก้อน เพื่อจ้างบริษัทของซิโก้ชื่อ สปอร์ต ฮีโร่ ให้มาทำงานให้ จากนั้นบริษัทสปอร์ต ฮีโร่ จะเป็นผู้จ่ายเงินให้ผู้ฝึกสอน ให้เบี้ยเลี้ยง และให้โบนัสต่างๆ กับผู้เล่นทีมชาติเอง รวมถึงดูแลสิทธิประโยชน์จากสปอนเซอร์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับทีมชาติด้วย ด้วยความที่บอลไทยบูมในช่วงนั้นพอดี ทำให้ในปี 2015 บริษัท สปอร์ต ฮีโร่ ที่ดูแลสิทธิประโยชน์ ทำรายได้มหาศาลถึง 44.8 ล้านบาทในปีเดียว ถือว่าทำเงิน ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอย่างมาก

- อย่างไรก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 เมื่อ พล.ต.อ.สมยศ ชนะเลือกตั้งได้เป็นนายกสมาคมคนใหม่ ขั้วอำนาจเปลี่ยน และทิศทางการบริหารก็เปลี่ยนไป จากเดิมสปอร์ต ฮีโร่เหมาหมดทำทุกอย่าง แต่คราวนี้ พล.ต.อ.สมยศ ต้องการจ้างซิโก้ ทำหน้าที่เป็นแค่ "เฮดโค้ช" อย่างเดียว ขณะที่เรื่องบริหารสิทธิประโยชน์ของทีมชาติ ไม่ต้องการสปอร์ต ฮีโร่อีกแล้ว คือจะทำการคัดเลือกบริษัทใหม่ไปเลย (ซึ่งสุดท้ายก็ไปได้ บริษัท แพลน บี มีเดีย มาทำหน้าที่นี้แทน)

- จุดเริ่มจากเรื่องผลประโยชน์ของบริษัทสปอร์ต ฮีโร่ ทำให้เกิดกระแสดราม่าแซะกันไปมาเป็นระยะ อย่างเช่น ก่อนฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนัดที่ 6 ที่ไทยจะเจอกับซาอุดิอาระเบีย ที่ราชมังฯ คุณเปิ้ล ภรรยาของซิโก้ ลงรูปซิโก้นั่งแท็กซี่ไปงานแถลงข่าวก่อนเกม แล้วเขียนแคปชั่นว่า "โค้ชซาอุฯ ไปเพรส คอนเฟอเรนซ์ แบบเดียวกับเราปะเนี่ย 555"

- สมาคมฯ โดนด่าเละ ว่าไม่เป็นมืออาชีพเลย คุณหมั่นไส้ซิโก้ขนาดที่ให้โค้ชทีมชาตินั่งแท็กซี่ไปเองเลยหรอ แต่ฝั่งสมาคมฯ ก็ตอบโต้กลับทันทีโดยระบุว่า มีรถลีมูซีนให้ผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยโดยปกติดี และไม่เข้าใจสาเหตุที่ซิโก้ต้องไปนั่งแท็กซี่เช่นกัน

- บรรยากาศของซิโก้ กับ พล.ต.อ.สมยศ ตึงเครียดกันมาหลายเดือน ในวัน 19 ธันวาคม 2016 ตอนทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซูซูกิคัพเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ทำให้มีนักข่าวไปถาม พล.ต.อ.สมยศว่าผลงานดีแบบนี้จะต่อสัญญากับซิโก้หรือไม่ พล.ต.อ. สมยศตอบว่า "เรื่องนี้ยังไม่ได้คิดนะครับ อะไรก็ตามแต่ที่นำไปสิ่งที่ดีกว่า เราพร้อมหรือยังที่จะก้าวข้ามอาเซียน ถ้าเราอยากอยู่แค่นี้ก็โอเคแค่นี้ แต่ถ้าอยากจะก้าวข้ามก็ต้องคิดใหม่ทำใหม่ อยากจะถามไปยังแฟนบอลชาวไทยว่าอยากจะเห็นสิ่งที่ดีกว่าหรืออยากจะอยู่กันแค่นี้"

- ฝั่งกองเชียร์ของซิโก้ ก็ไม่พอใจที่นายกสมาคม ใช้คำพูดสื่อว่าซิโก้ยังไงก็เก่งแค่ในระดับอาเซียน คือแทนที่ได้แชมป์มาคุณจะยกย่องโค้ชหน่อย แต่ดันใช้คำว่าพูดว่า "ถ้าเราอยากอยู่แค่นี้ก็โอเคแค่นี้" ซึ่งไม่ได้มีความหมายในทางบวกเลย

- คุณเปิ้ล ภรรยาของซิโก้เคยกล่าวว่า "สำหรับคนทำนา เมล็ดพันธุ์คือสิ่งที่มีค่า ทุกเมล็ดถูกหว่านออกจากกำมือ ทุกเมล็ดคือหัวใจ ถ้าใครเขาบอกว่าข้าวมันนิ่มไป ข้าวมันแข็งไป กินแล้วชอบหรือกินแล้วไม่อร่อย แนะนำว่าเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วซื้อข้าวถุงได้ตามใจชอบ ง่ายและสบายกว่าเยอะค่ะ เพราะอย่างไรซะคุณก็ไม่ใช่คนดำนา"

- ความหมายแฝงของเธอคือ คนที่บอกว่าไม่พอใจ ควรเปลี่ยนโค้ชอะไรนั่น ก็พูดง่ายสิ คุณไม่ได้เป็นคนปลุกปั้นทีมขึ้นมานี่นา
ผ่านไปนานหลายเดือน การคุยเรื่องต่อสัญญายังไม่คืบหน้า ฝั่งซิโก้ต้องการให้บริษัท สปอร์ต ฮีโร่ มีส่วนร่วมเหมือนยุคของวรวีร์ แต่ฝั่งสมยศก็ยอมไม่ได้ เพราะอยากให้การบริหารงาน การจ้างโค้ชเป็นมืออาชีพเหมือนนานาชาติ ทุกอย่างก็เลยคาราคาซังกันอยู่อย่างนี้ แถมมีการแซะกันไปแซะกันมาตลอด ในภาพรวมมันไม่ใช่บรรยากาศที่ดีนัก

- ปัญหาของซิโก้เกิดขึ้นจริงๆ ในปี 2017 เมื่อเขาพาทีมแพ้ซาอุดิอาระเบียเละคาบ้าน 3-0 ร่วงตกรอบบอลโลกอย่างเป็นทางการ ถึงตรงนี้ซิโก้จึงไม่มีเกราะไว้คอยป้องกันตัวอีกแล้ว คือก่อนหน้านี้จะมีดราม่าเรื่องบริษัทหรืออะไร ตราบใดที่เขายังมีผลงานดีในสนาม แฟนๆ ก็จะปกป้อง แต่คราวนี้ฟอร์มในสนามก็หลุดแบบกู่ไม่กลับ บอลตื้อตันอย่างมาก ทำให้กระแสสังคมเริ่มเทไปทางฝั่ง พล.ต.อ. สมยศมากขึ้น

- แต่ซิโก้ก็อธิบายอยู่เสมอว่า เกมฟุตบอลคุณจะหวังประสบความสำเร็จทันทีไม่ได้ ถ้าอยากให้ไทยไปไกลกว่านี้ ขั้นแรกทีมชาติต้องเอาชนะในการแข่งระดับอาเซียนได้ทุกครั้ง ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติก่อน แล้วเมื่อนักเตะคุ้นชินกับชัยชนะในอาเซียน ก็จะก้าวไปถึงระดับเอเชีย และโอกาสไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายค่อยว่ากันต่อจากนั้น

- ตัวซิโก้ก็เข้าใจความผิดพลาดของตัวเองเช่นเดียวกัน และหวังว่าจะยกระดับทีมให้ดีขึ้นไปอีก ถ้าได้โอกาสคุมต่อ
28 มีนาคม 2017 ทีมชาติไทยลงแข่งฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนัดที่ 7 ไปเยือนญี่ปุ่นที่ไซตามะ และแพ้ขาดลอย 4-0 ด้วยทรงเกมที่ไม่ดีอีกแล้ว คนดูบอลก็พอรู้ว่าเรามีช่องว่างห่างจากญี่ปุ่นพอสมควร

- หลังจบเกมซิโก้ ให้สัมภาษณ์ที่กลายเป็นประเด็นใหญ่ว่า "ทีมที่เราเจอมันระดับเอเชีย เราต้องมองอีกกลุ่มด้วย วันนี้กาตาร์ลงทุนไม่รู้กี่พันล้าน ยังอยู่บ๊วยเหมือนกันนะ ทุกทีมรอบนี้หินหมด ต้องบอกตัวเอง ว่าพวกเขาแข็งแกร่งทั้งหมด"
"ฉะนั้นวันนี้เราต้องถามกลับไปกับทุกคนว่า พอใจกับเด็กชุดนี้ไหม ถ้าจะโละโค้ช โละทั้งทีมก็แล้วแต่ท่านนายก"

- เหมือนเป็นการโยนเผือกร้อนใส่ พล.ต.อ.สมยศ ว่าจะไล่ออกก็แล้วแต่ดุลยพินิจของท่านเถอะ ซึ่งหลังจากคำพูดของซิโก้ แค่ 1 วันเท่านั้น พล.ต.อ.สมยศ ออกมาตอบโต้อย่างดุเดือดทันทีในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน

- โดยเขาเริ่มต้นด้วยการชมซิโก้ แต่เนื้อหาต่อจากนั้น เป็นการวิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนล้วนๆ
พล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า "ผมไม่เคยพูดว่าคุณเกียรติศักดิ์ ไม่เก่ง ไม่ดี ผมชื่นชอบเขา ผมกล้าพูดเลยว่าโค้ชคนไทยทั้งหมดที่ผมสัมผัสมา คุณเกียรติศักดิ์เป็นโค้ชที่มีระเบียบวินัย กำกับดูแลนักฟุตบอลได้ นักกีฬาให้เกียรติ เคารพเชื่อฟัง นั่นคือสิ่งที่โค้ชพึงจะมี"

- "ผมต้องการเห็นทีมฟุตบอล ทีมชาติไทยอยู่อันดับต้นๆ ของเอเชีย ในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้าจะต้องไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ผมจะวางรากฐานให้คนที่จะมาสานงานต่อจากผมทำงานได้สะดวก อย่างมีระบบ มีแบบแผน"

- "คำถามที่บอกว่าจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าหัวใจคนไทยคิดอย่างไร คิดเหมือนผมไหม ถ้าบอกว่า อยู่กันไปแบบนี้ ไม่เป็นไร เป็นแชมป์ซูซูกิ แชมป์ซีเกมส์ ไประดับเอเชียแพ้ที 4-0, 3-0, 2-0 ไม่เป็นไร"

- "แต่สำหรับผม ผมอายครับ ผมทนไม่ได้ ผมรับไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้ ผมนะครับ ถ้าให้ผมงอมืองอตีน อยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ แล้วก็ปล่อยให้ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 3 ปีในช่วงที่ผมทำหน้าที่อยู่ ผมลาออกดีกว่า ถ้าเป็นแล้วทำดีไม่ได้ อย่าเป็น ให้คนอื่นเขาเป็น"
นี่เป็นประโยคที่รุนแรงมากๆ เพราะมันคือการอัดใส่ซิโก้โดยไม่ยั้ง ใครฟังก็เข้าใจได้ทันที โดย พล.ต.อ. สมยศยอมรับว่าเขารู้สึกอับอาย ที่ไทยแพ้ ซาอุฯ 3-0 ตามด้วยแพ้ญี่ปุ่น 4-0

เคตดิต : เพจ วิเคราะห์บอลจริงจัง

                                                                             ***** ต่อที่ความเห็นที่ 1 *****
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่