คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ตอบในฐานะคนที่กำลังจะแต่งงานปลายปีนี้ค่ะ
งานแต่งไม่ใช่งานของคุณคนเดียวหรอกค่ะ ถ้าไม่อยากมีปัญหาให้รับฟังและปรับตามที่ผู้ใหญ่ต้องการบ้าง แต่ต้องอยู่ในงบประมาณและขอบเขตที่รับได้ ถ้าบ้านแฟนต้องการงานใหญ่กว่าที่เรารับได้ แฟนต้องคุยกับพ่อแม่เค้าให้จ่ายเอง
ถ้าไม่โอเคจะไปยืนรับแขก เรามีทางเลือกอะไรบ้าง ต้องให้แฟนไปคุยกับพ่อแม่เค้า ถ้าเค้าไม่ยอมเลยเราทำอะไรได้บ้าง ขัดใจเค้าไปเลย ไม่แต่งเลย เลิกกันไปเลย หรืออดทน 1 วัน เพื่ออนาคตที่สงบสุขกว่าฯลฯ
เรื่องแต่งแล้วพ่อแม่จะปล่อย อย่าคาดหวังว่าวันๆเดียวแล้วพ่อแม่จะเปลี่ยนเลยค่ะ พ่อแม่เป็นห่วงเหมือนเดิมแหละค่ะ ถ้าอะไรที่มันเกินไปเช่นติดกล้อง คุณก็ต้องพูดคุยตรงๆค่ะ จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่า
วิธีการพูดก็คือพูดสื่อสารกันตรงๆค่ะ แล้วปรับให้ทุกฝ่าย วิน-วินที่สุดค่ะ อยากโตแล้ว อยากใช้ชีวิตแล้ว ต้องมองโลกอย่างตรงไปตรงมา เพราะเราจะไม่ได้อย่างใจทุกอย่าง อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ประนีประนอมได้เพื่อความสงบสุขของชีวิต เราก็ทำ อะไรที่มันเกินไป เราก็ต้องยืดหยัดในจุดยืนของเราค่ะ
งานแต่งไม่ใช่งานของคุณคนเดียวหรอกค่ะ ถ้าไม่อยากมีปัญหาให้รับฟังและปรับตามที่ผู้ใหญ่ต้องการบ้าง แต่ต้องอยู่ในงบประมาณและขอบเขตที่รับได้ ถ้าบ้านแฟนต้องการงานใหญ่กว่าที่เรารับได้ แฟนต้องคุยกับพ่อแม่เค้าให้จ่ายเอง
ถ้าไม่โอเคจะไปยืนรับแขก เรามีทางเลือกอะไรบ้าง ต้องให้แฟนไปคุยกับพ่อแม่เค้า ถ้าเค้าไม่ยอมเลยเราทำอะไรได้บ้าง ขัดใจเค้าไปเลย ไม่แต่งเลย เลิกกันไปเลย หรืออดทน 1 วัน เพื่ออนาคตที่สงบสุขกว่าฯลฯ
เรื่องแต่งแล้วพ่อแม่จะปล่อย อย่าคาดหวังว่าวันๆเดียวแล้วพ่อแม่จะเปลี่ยนเลยค่ะ พ่อแม่เป็นห่วงเหมือนเดิมแหละค่ะ ถ้าอะไรที่มันเกินไปเช่นติดกล้อง คุณก็ต้องพูดคุยตรงๆค่ะ จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่า
วิธีการพูดก็คือพูดสื่อสารกันตรงๆค่ะ แล้วปรับให้ทุกฝ่าย วิน-วินที่สุดค่ะ อยากโตแล้ว อยากใช้ชีวิตแล้ว ต้องมองโลกอย่างตรงไปตรงมา เพราะเราจะไม่ได้อย่างใจทุกอย่าง อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ประนีประนอมได้เพื่อความสงบสุขของชีวิต เราก็ทำ อะไรที่มันเกินไป เราก็ต้องยืดหยัดในจุดยืนของเราค่ะ
แสดงความคิดเห็น
อยากใช้ชีวิตคู่จริงจังแล้ว แต่ไม่อยากจัดงานแต่งงาน
ก็แอบไปมาหาสู่กันบ้างเฉพาะเสาร์เว้นเสาร์ ก็เหมือนได้เริ่มเรียนรู้การอยู่ด้วยกันเบื้องต้น
ซักผ้า ทำกับข้าว การกิน การอยู่ การนอน ไม่ติดอะไร
พอจบมาทำงานก็แฟนจะมาหาทุกวันเสาร์ ไปเช้า-เย็นกลับ
ตอนนี้เรากับแฟนตกลงว่าอยากใช้ชีวิตด้วยกันแล้ว แต่ก็อยากจะแค่จดทะเบียนเฉยๆ
เรากับแฟนเหมือนกันคือไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบการรวมตัวกันเยอะๆ
แล้วไหนจะยังเรื่องค่าจัดเลี้ยง ค่าสถานที่ ค่าอาหาร ค่าดอกไม้ ค่าชุด ค่าใดๆ
พวกเรารู้สึกว่าเก็บเงินจัดงานไปเที่ยวไปใช้ชีวิตยังดีกว่ามากๆ จริงๆ
พ่อแม่เราไม่โอเค อยากให้จัดงาน อย่างน้อยก็เป็นงานภายในครอบครัวก็ได้
เราก็เลยไม่ติด ส่วนบ้านฝ่ายชาย อยากให้จัดงานใหญ่โตค่ะ
พวกเราไม่โอเค ต้องไปยืนต้อนรับใครต่อใครไม่รู้ คือไม่โอเคเลยจริงๆ
ซึ่งตอนนี้พวกเราอยากใช้ชีวิตแล้ว แต่บ้านเราถึงจะโอเคให้แต่ง แต่ก็ยังไม่อยากให้แต่งภายในปีนี้
อยากให้รออีกปี 2 ปี รอให้มีเงินเยอะกว่านี้ รอให้ทุกอย่างมั่นคง
สำหรับเรา เราไม่เข้าใจว่าให้รอทำไม คือแต่งตอนนี้ หรือแต่งอีกปี 2 ปี ถ้ามันจะมันคงในเวลานั้น
ก็แต่งกันแล้วช่วยกันเก็บช่วยกันหาให้มั่นคงได้ ทำไมต้องรอ
สินสอดบ้านเราเรียก 2 แสน ทอง 10 บาท
ซึ่งทางบ้านแฟนก็มีให้ค่ะ
เราอยากเข้าไปคุยกับที่บ้านว่าขอแต่งปีนี้ เพราะเรากับแฟนก็โตพอแล้ว อายุ 27 ทั้งคู่แล้วค่ะ
ตั้งแต่โตมาเราจะอยู่ในกรอบตลอด คือเวลาไปไหนต้องรายงานพ่อแม่
พ่อแม่ติดกล้องวงจรปิดทุกมุมของบ้าน มีแอพติดตามตัวเรา ติดตามแฟนเรา
กลับถึงบ้านต้องรายงาน ต้องวีดีโอคอลหาทุกวัน ทุกวันนี้อนุญาติให้ไปเที่ยวกันได้
แต่ห้ามค้างโดยเด็ดขาด (ข้างต้นสมัยเรียนก็คือแอบค้างค่ะ)
เรารู้สึกอึดอัดมากที่ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบใครๆ หรือแบบที่เราอยากใช้
เหมือนเรากำลังติดคุก เราเลยอยากแต่งให้จบๆ เพื่อที่จะได้ไปใช้ชีวิต
ทั้งของเราและของแฟนได้เต็มที่กว่านี้ ทุกวันนี้คือเจอกันแค่วันเสาร์ อยู่ด้วยกันแค่เสาร์ละ 9 ชม มานานละค่ะ
ก่อนหน้านี้เราเรียนต่างประเทศ 4 ปี ช่วงคบแฟนไม่ได้เจอกัน วีดีโอคุยทุกวัน
พอเรากลับมาเรียนต่อที่ไทย 1 ปี แฟนก็ไปต่อภาษาที่ต่างประเทศปีครึ่ง
เพิ่งจะได้กลับมาอยู่ไทยพร้อมกันไม่กี่ปี แต่พวกเราก็เป็นเพื่อนกัน รู้จักกันตั้งแต่ ป.5
เราคิดว่าเราเรียนรู้พอแล้ว คือตอนนี้เราควรเข้าไปคุยกับพ่อแม่เรายังไง
ว่าเราอยากแต่งงานแล้วปีนี้ และเราไม่อยากรอ
จะพูดยังไงให้เค้าคิดว่าเหตุผลเราดีพอ เราโตพอ ไม่ใช่เหตุผลเด็กๆ แบบชั้นอยากไปเที่ยว
ขอความกรุณาทุกท่านด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ