กมธ.ตปท.เรียกผู้เกี่ยวข้อง แจงปมปล่อยเมียนมารุกล้ำอธิปไตยไทย 7 ก.ค. จี้ ‘ตู่’ แสดงจุดยืนชัดเจน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3437039
‘กมธ.ต่างประเทศ’ จี้ ‘บิ๊กตู่’ แจงปมปล่อยเมียนมารุกล้ำอธิปไตยไทย จ่อเชิญผู้เกี่ยวข้องแจง กมธ. 7 ก.ค.นี้ ส่วน 8 ก.ค. ‘เพื่อไทย’ เล็งตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา ลั่นขอ ‘นายกฯ’ มาตอบด้วยตัวเอง อย่าส่งตัวแทนมา
เมื่อเวลา 14.04 น. วันที่ 5 กรกฎาคม นาย
ศราวุธ เพชรพนมพร ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ กล่าวว่า จากเหตุการณ์เครื่องบินรบเมียนมารุกล้ำน่านฟ้าไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทราบว่าก่อนเกิดเหตุ 1 วัน ทางไทยได้ส่งแม่ทัพภาคที่ 3 ไปร่วมประชุมที่เมียนมาในประเด็นการบริหารจัดการร่วมชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งก่อนหน้านั้นในพื้นที่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนกลุ่มน้อยและรัฐบาลเมียนมามาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เคยมีการรุกล้ำอธิปไตย แต่เมื่อแม่ทัพภาค 3 ไปประชุมดังกล่าวก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเราเปิดโอกาสให้เมียนมาเข้ามาใช้พื้นที่ยิงชนกลุ่มน้อยใช่หรือไม่
นาย
ศราวุธกล่าวต่อว่า อยากได้ความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรีที่บอกว่าเมียนมารับผิดชอบและขอโทษนั้น ทำไมประชาชนคนไทยยังไม่เห็นเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ทั้งที่เป็นเรื่องระดับชาติ ดังนั้น ตนและพรรคเพื่อไทยขอให้นายกรัฐมนตรีแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน เพราะการขอโทษต้องขอโทษอย่างเป็นทางการ แต่คนไทยยังไม่เคยได้ยิน ได้ยินแค่จากปากของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น รวมถึง ผบ.ทอ.บอกว่าเป็นการบินโค้งอ้อมเข้ามา เรื่องนี้เรารับไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องอธิปไตยของไทยไม่ใช่สนามหญ้าหน้าบ้านท่าน ต้องเคารพซึ่งกันและกัน ที่สำคัญมีคนไทยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย 1 คน
“วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ จะเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง กมธ.ต่างประเทศ และวันที่ 8 กรกฎาคม ผมได้รับมอบหมายจากพรรคเพื่อไทยให้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาเพื่อสอบถามเรื่องนี้กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ขอให้ท่านมาตอบคำถามด้วยตัวเอง อย่ามอบหมายให้ใครมาแทน” นาย
ศราวุธกล่าว
แฉยี่ปั๊วหากินกับสลากดิจิทัล กดซื้อหวยชุด แล้วนำมาขายต่อเลขละ 100-120 บาท - ข่าวสด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7145717
แฉยี่ปั๊วหากินกับสลากดิจิทัล กดซื้อหวยชุด นำมาขายต่อเลขละ 100-120 บาท ทำให้ถูกซื้อหมดในเวลารวดเร็ว ส่วนหวยใบยังคงราคาแพงเหมือนเดิม
เมื่อวันที่ 5 ก.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหล่าแม่ค้าพ่อค้าตามจุดต่างๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องสลากดิจิตอลและเทคนิคในการนำเลขชุด จากสลากดิจิทัลมาจำหน่ายต่อยอด ส่วนราคาหวยยี่ปั๊วปล่อยราคาแพงเหมือนเดิม
นาย
ชาตรี ขุนอินทร์ นายกสมาคมผู้ค้าสลากคนพิการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้เหล่ายี่ปั๊ว รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าปลีกทั่วไป ต่างพากันใช้เทคนิคด้วยการกดซื้อสลากดิจิทัลเอาเฉพาะเลขชุด
โดยพากันกดซื้อกันตามกำลังทรัพย์ แล้วบันทึกไว้นำมาจำหน่ายในกลุ่มโซเซียลในราคาเลขละ 100-120 บาท ทำให้สลากดิจิทัลถูกซื้อหมดในเวลาอันรวดเร็ว โดยเลขชุดจะหมดก่อน นำสลากดิจิทัลที่กดซื้อมาจำหน่ายต่อในราคาที่แพง
ส่วนหวยเสรี หวยโค้วต้า เมื่อสลากดิจิทัลหมด เหล่ายี่ปั๊ว และพวกหวยออนไลน์ ก็จะกวาดซื้อจากพวกหวยเสรี หวยโควต้า ในราคาแพง และนำเข้าสู่ระบบออนไลน์ ส่วนยี่ปั๊วก็ขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าปลีกราคาแพง ทำให้ราคาหวยตกใบละ 100 บาท ถึง 110-120 บาท เหมือนเดิม
ด้านแม่ค้าขายหวยย่านถนนมหิดล อ.เมืองเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้สลากดิจิทัลนั้นเหล่าพ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งยี่ปั๊ว ก็พากันกดนำเลขชุดจากสลากดิจิทัล แล้วนำมาบันทึกลงในเพจ ในไลน์กลุ่ม จำหน่ายราคาเลขละ 100 บาทถึง 120 บาท ทำให้สลากดิจิทัลเลขชุดจะหมดรวดเร็ว พอสลากดิจิทัลหมด ก็จะเป็นทีของหวยปกติ
ค่าขนส่งแพง ถึงคิวนมสด-น้ำผลไม้ ประกาศปรับราคาอีก 2 บาท/กระป๋อง
https://www.matichon.co.th/economy/news_3437227
ค่าขนส่งแพง ถึงคิวนมสด-น้ำผลไม้ ประกาศปรับราคาอีก 2 บาท/กระป๋อง
วันที่ 5 กรกฎาคม แหล่งข่าวจากร้านค้าปลีกและค้าส่ง กล่าวว่า แนวโน้มราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคยังคงปรับขึ้น ตามต้นทุนขนส่ง ซึ่งที่ผ่านมามีทยอยปรับขึ้นหลายรายการ เช่น เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อยอดนิยมยี่ห้อหนึ่งขึ้นราคาต้นทุนขนส่ง 5 บาท/ลัง (จำนวน 50 ขวด) แต่ยังขายปลีกเท่าเดิม 12 บาท/ขวด ล่าสุด ได้รับแจ้งจากผู้ผลิตและจำหน่ายนมสดกระป๋องยี่ห้อยอดนิยมยี่ห้อหนึ่ง ว่าในเดือนสิงหาคม 2565 จะปรับขึ้นราคาต้นทุนและขายปลีกอีกประมาณ 1-2 บาท/กระป๋อง ยังมีน้ำผลไม้กล่องยี่ห้องหนึ่งจะปรับขึ้นเช่นกันแต่ยังไม่ได้แจ้งราคา
“หลังน้ำมันแพงขึ้น ส่วนใหญ่จะขอขึ้นราคาต้นทุนขนส่ง ทำให้ร้านค้ามีกำไรน้อยลง ขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่และมีสินค้าหลากหลาย เช่น ผงซักฟอก แชมพูสระผม หรืออื่นๆ จะมีการจัดโปรโมชั่นให้ร้านค้าซื้อของราคาถูกลง แบบเดือนเว้นเดือน สลับหมุนเวียนไป ทำให้สินค้าบางรายการที่พอหมดโปรโมชั่นราคาแพงขึ้น” แหล่งข่าวกล่าว
ส.ค.นี้ ส่อตกงานอีกหมื่นคน เครือข่ายลูกจ้างจ่อยื่นนายกฯ ช่วยต่อสัญญา พนง.ราชการ
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3437063
ส.ค.นี้ ส่อตกงานอีกหมื่นคน เครือข่ายลูกจ้างจ่อยื่นนายกฯ ช่วยต่อสัญญา พนง.ราชการ
วันนี้ (5 กรกฎาคม 2565) นาย
มนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) และประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) เปิดเผยว่า ล่าสุดได้รับร้องเรียนจากกลุ่มลูกจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ (สัญญา 1) ขอให้ช่วยเหลือพนักงานราชการเฉพาะกิจที่มีประมาณ 10,000 คนทั่วประเทศ เนื่องจากสัญญาจ้างกำลังจะหมดภายในเดือนสิงหาคมนี้ และเกรงว่าในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะซบเซา การหางานใหม่ทำได้ยาก อาจจะทำให้หลายคนต้องอยู่ในภาวะตกงาน
“เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้แทนจาก สพท. และ คปค. จึงได้ประชุมหารือถึงเรื่องนี้ร่วมกัน เพราะในสภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ การหางานใหม่ก็ยากลำบาก เพื่อช่วยเหลือกลุ่มลูกจ้างดังกล่าวประมาณ 10,000 คน ให้มีงานทำต่อไป จึงมีข้อสรุปจากที่ประชุมว่าจะเสนอให้รัฐบาลต่อสัญญาจ้างคนกลุ่มนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง หรืออาจจะต้องไม่กำหนดระยะเวลา” นาย
มนัส กล่าวและว่า โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างประสานงานเพื่อขอเข้าไปยื่นหนังสือต่อ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายในสัปดาห์หน้า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้
ประธานสภาองค์การลูกจ้างฯ กล่าวว่า จากการสอบถาม ลูกจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีวุฒิปริญญาตรี และได้ทำงานตามสัญญาจ้างในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งขณะนั้น รัฐบาลได้ออกหลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีงานทำ ในอัตราเดือนละ 18,000 บาท กระจายอยู่ในหลายกระทรวง อาทิ กระทรวงแรงงาน ประมาณ 700 คน กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น โดยสัญญาจ้างนี้ใช้งบประมาณจากรัฐบาลโดยตรง และกำลังจากหมดสัญญาในเดือนสิงหาคมนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้ได้มีการนำเข้าหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงงาน หรือหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร นาย
มนัส กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสนำเรื่องนี้หารือกับนาย
สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แล้ว ซึ่งรัฐมนตรีฯ เห็นด้วยที่ควรจะต้องเร่งให้การช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ให้มีงานทำต่อไป แต่เนื่องจากเป็นเรื่องของงบประมาณ ที่มาจากการสนับสนุนของรัฐบาลโดยตรง จึงจำเป็นต้องนำเรื่องนี้เสนอไปยังนายกฯ เพื่อให้รับทราบ และพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป
'เพื่อไทย' ฟาดรัฐบาล งบพีอาร์หลายพันล้าน เทียบ 'ชัชชาติ' ไม่ได้ ทำไม่เป็น หรือไร้ผลงาน?
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7146171
‘เพื่อไทย’ ฟาดรัฐบาล งบพีอาร์หลายพันล้าน เทียบ ‘ชัชชาติ’ ไม่ได้ ถามกลับแรง ประชาสัมพันธ์ไม่เป็น หรือไม่มีผลงานกันแน่ ชี้ประชาชนต้องการคนทำงานจริง
วันที่ 5 ก.ค.65 น.ส.
อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์ว่าพูดคุยกับ นาย
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.กรณีการจัดการสายสื่อสาร พร้อมระบุว่ารัฐบาลทำงานมาตลอด แต่ยอมรับว่าประชาสัมพันธ์สู้นายชัชชาติไม่ได้ว่า สะท้อนแนวคิดการทำงานแบบน้ำเต็มแก้วของนายชัยวุฒิและรัฐบาลชุดนี้ ที่ชอบพูดเสมอว่า รัฐบาลพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีผลงานมากมาย แต่อ่อนด้อยการประชาสัมพันธ์ ประชาชนจึงไม่ทราบ
ปัญหาการบริหารที่ผ่านมาของรัฐบาล หากมองแค่การอ่อนประชาสัมพันธ์คงเป็นการมองปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุแห่งปัญหาคือผลงานของรัฐบาลและของรมว.ดิจิทัล หากมีผลงานที่ประชาชนจับต้องได้ ต่อให้ไม่ต้องทำการประชาสัมพันธ์ก็จะมีการพูดถึงปากต่อปากโดยประชาชน ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
แต่ รัฐบาลพล.อ.
ประยุทธ์ กลับใช้เงินภาษีของประชาชนประชาสัมพันธ์นโยบายของภาครัฐต่อปีไม่ต่ำกว่า 2,400 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 2565 เฉพาะกรมประชาสัมพันธ์ได้งบประมาณ 2,423 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2566 ได้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 70 ล้านบาทเป็น 2,493 ล้านบาท ยังไม่รวมการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลผ่านกระทรวงและหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งประชาชนเจ้าของภาษีมีสิทธิที่จะตั้งคำถาม ว่าเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินคุ้มค่าหรือไม่
น.ส.
อรุณี กล่าวต่อว่า ขณะที่ทีมงานถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กเพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามการทำงานของผู้ว่าฯ กทม. ใช้ช่างภาพ 1 คน กับโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องเท่านั้น โดยโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ใช้ราคาเฉลี่ย 20,000 บาท หากจะคำนวนเป็นเม็ดเงินต่อปี เมื่อรวมกับเงินเดือนแอดมิน ค่าโทรศัพท์และค่าเดินทาง ในการถ่ายทอดสดการลงพื้นที่ของผู้ว่าฯ กทม.คาดว่าไม่เกิน 7-8 แสนบาทต่อปี ประสิทธิผลที่ได้แตกต่างกันอย่างลิบลับ
แต่สิ่งที่ประชาชนเห็นคือการทุ่มเทแก้ไขปัญหา บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนอย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา ประสบความสำเร็จ น่าจะเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนอยากได้รับจากรัฐบาลมากกว่าการได้เห็นเพียงแค่การประชาสัมพันธ์เท่านั้น อดสงสัยไม่ได้ว่ารัฐประชาสัมพันธ์ไม่เป็น หรือไม่มีผลงานให้ประชาสัมพันธ์กันแน่
แทนที่ รมว.ดิจิทัลฯ และรัฐบาลจะเรียนรู้และแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง เรียนรู้จากความสำเร็จ รวมทั้งรูปแบบการทำงานของผู้อื่น ไม่ใช่การห่วงจัดอีเวนท์เน้นภาพส่งสื่อแล้วจบไป เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการ คือคนที่ลงมือทำงานจริงจัง
JJNY : 6in1 กมธ.เรียกแจง│แฉยี่ปั๊ว│ถึงคิวนมสด-น้ำผลไม้│ส.ค.ส่อตกงานอีกหมื่น│พ.ท.ฟาดรบ.งบพีอาร์│‘โรม’เชื่อสภาโหวตหาร100
https://www.matichon.co.th/politics/news_3437039
‘กมธ.ต่างประเทศ’ จี้ ‘บิ๊กตู่’ แจงปมปล่อยเมียนมารุกล้ำอธิปไตยไทย จ่อเชิญผู้เกี่ยวข้องแจง กมธ. 7 ก.ค.นี้ ส่วน 8 ก.ค. ‘เพื่อไทย’ เล็งตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา ลั่นขอ ‘นายกฯ’ มาตอบด้วยตัวเอง อย่าส่งตัวแทนมา
เมื่อเวลา 14.04 น. วันที่ 5 กรกฎาคม นายศราวุธ เพชรพนมพร ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ กล่าวว่า จากเหตุการณ์เครื่องบินรบเมียนมารุกล้ำน่านฟ้าไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ทราบว่าก่อนเกิดเหตุ 1 วัน ทางไทยได้ส่งแม่ทัพภาคที่ 3 ไปร่วมประชุมที่เมียนมาในประเด็นการบริหารจัดการร่วมชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งก่อนหน้านั้นในพื้นที่มีปัญหาความขัดแย้งระหว่างชนกลุ่มน้อยและรัฐบาลเมียนมามาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เคยมีการรุกล้ำอธิปไตย แต่เมื่อแม่ทัพภาค 3 ไปประชุมดังกล่าวก็เกิดเหตุการณ์ขึ้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเราเปิดโอกาสให้เมียนมาเข้ามาใช้พื้นที่ยิงชนกลุ่มน้อยใช่หรือไม่
นายศราวุธกล่าวต่อว่า อยากได้ความชัดเจนจากนายกรัฐมนตรีที่บอกว่าเมียนมารับผิดชอบและขอโทษนั้น ทำไมประชาชนคนไทยยังไม่เห็นเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ ทั้งที่เป็นเรื่องระดับชาติ ดังนั้น ตนและพรรคเพื่อไทยขอให้นายกรัฐมนตรีแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน เพราะการขอโทษต้องขอโทษอย่างเป็นทางการ แต่คนไทยยังไม่เคยได้ยิน ได้ยินแค่จากปากของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น รวมถึง ผบ.ทอ.บอกว่าเป็นการบินโค้งอ้อมเข้ามา เรื่องนี้เรารับไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องอธิปไตยของไทยไม่ใช่สนามหญ้าหน้าบ้านท่าน ต้องเคารพซึ่งกันและกัน ที่สำคัญมีคนไทยเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย 1 คน
“วันที่ 7 กรกฎาคมนี้ จะเชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง กมธ.ต่างประเทศ และวันที่ 8 กรกฎาคม ผมได้รับมอบหมายจากพรรคเพื่อไทยให้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาเพื่อสอบถามเรื่องนี้กับนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ขอให้ท่านมาตอบคำถามด้วยตัวเอง อย่ามอบหมายให้ใครมาแทน” นายศราวุธกล่าว
แฉยี่ปั๊วหากินกับสลากดิจิทัล กดซื้อหวยชุด แล้วนำมาขายต่อเลขละ 100-120 บาท - ข่าวสด
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7145717
แฉยี่ปั๊วหากินกับสลากดิจิทัล กดซื้อหวยชุด นำมาขายต่อเลขละ 100-120 บาท ทำให้ถูกซื้อหมดในเวลารวดเร็ว ส่วนหวยใบยังคงราคาแพงเหมือนเดิม
เมื่อวันที่ 5 ก.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหล่าแม่ค้าพ่อค้าตามจุดต่างๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องสลากดิจิตอลและเทคนิคในการนำเลขชุด จากสลากดิจิทัลมาจำหน่ายต่อยอด ส่วนราคาหวยยี่ปั๊วปล่อยราคาแพงเหมือนเดิม
นายชาตรี ขุนอินทร์ นายกสมาคมผู้ค้าสลากคนพิการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้เหล่ายี่ปั๊ว รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าปลีกทั่วไป ต่างพากันใช้เทคนิคด้วยการกดซื้อสลากดิจิทัลเอาเฉพาะเลขชุด
โดยพากันกดซื้อกันตามกำลังทรัพย์ แล้วบันทึกไว้นำมาจำหน่ายในกลุ่มโซเซียลในราคาเลขละ 100-120 บาท ทำให้สลากดิจิทัลถูกซื้อหมดในเวลาอันรวดเร็ว โดยเลขชุดจะหมดก่อน นำสลากดิจิทัลที่กดซื้อมาจำหน่ายต่อในราคาที่แพง
ส่วนหวยเสรี หวยโค้วต้า เมื่อสลากดิจิทัลหมด เหล่ายี่ปั๊ว และพวกหวยออนไลน์ ก็จะกวาดซื้อจากพวกหวยเสรี หวยโควต้า ในราคาแพง และนำเข้าสู่ระบบออนไลน์ ส่วนยี่ปั๊วก็ขายให้กับพ่อค้าแม่ค้าปลีกราคาแพง ทำให้ราคาหวยตกใบละ 100 บาท ถึง 110-120 บาท เหมือนเดิม
ด้านแม่ค้าขายหวยย่านถนนมหิดล อ.เมืองเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ขณะนี้สลากดิจิทัลนั้นเหล่าพ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งยี่ปั๊ว ก็พากันกดนำเลขชุดจากสลากดิจิทัล แล้วนำมาบันทึกลงในเพจ ในไลน์กลุ่ม จำหน่ายราคาเลขละ 100 บาทถึง 120 บาท ทำให้สลากดิจิทัลเลขชุดจะหมดรวดเร็ว พอสลากดิจิทัลหมด ก็จะเป็นทีของหวยปกติ
ค่าขนส่งแพง ถึงคิวนมสด-น้ำผลไม้ ประกาศปรับราคาอีก 2 บาท/กระป๋อง
https://www.matichon.co.th/economy/news_3437227
ค่าขนส่งแพง ถึงคิวนมสด-น้ำผลไม้ ประกาศปรับราคาอีก 2 บาท/กระป๋อง
วันที่ 5 กรกฎาคม แหล่งข่าวจากร้านค้าปลีกและค้าส่ง กล่าวว่า แนวโน้มราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคยังคงปรับขึ้น ตามต้นทุนขนส่ง ซึ่งที่ผ่านมามีทยอยปรับขึ้นหลายรายการ เช่น เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อยอดนิยมยี่ห้อหนึ่งขึ้นราคาต้นทุนขนส่ง 5 บาท/ลัง (จำนวน 50 ขวด) แต่ยังขายปลีกเท่าเดิม 12 บาท/ขวด ล่าสุด ได้รับแจ้งจากผู้ผลิตและจำหน่ายนมสดกระป๋องยี่ห้อยอดนิยมยี่ห้อหนึ่ง ว่าในเดือนสิงหาคม 2565 จะปรับขึ้นราคาต้นทุนและขายปลีกอีกประมาณ 1-2 บาท/กระป๋อง ยังมีน้ำผลไม้กล่องยี่ห้องหนึ่งจะปรับขึ้นเช่นกันแต่ยังไม่ได้แจ้งราคา
“หลังน้ำมันแพงขึ้น ส่วนใหญ่จะขอขึ้นราคาต้นทุนขนส่ง ทำให้ร้านค้ามีกำไรน้อยลง ขณะที่ผู้ผลิตรายใหญ่และมีสินค้าหลากหลาย เช่น ผงซักฟอก แชมพูสระผม หรืออื่นๆ จะมีการจัดโปรโมชั่นให้ร้านค้าซื้อของราคาถูกลง แบบเดือนเว้นเดือน สลับหมุนเวียนไป ทำให้สินค้าบางรายการที่พอหมดโปรโมชั่นราคาแพงขึ้น” แหล่งข่าวกล่าว
ส.ค.นี้ ส่อตกงานอีกหมื่นคน เครือข่ายลูกจ้างจ่อยื่นนายกฯ ช่วยต่อสัญญา พนง.ราชการ
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3437063
ส.ค.นี้ ส่อตกงานอีกหมื่นคน เครือข่ายลูกจ้างจ่อยื่นนายกฯ ช่วยต่อสัญญา พนง.ราชการ
วันนี้ (5 กรกฎาคม 2565) นายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) และประธานเครือข่ายประกันสังคมคนทำงาน (คปค.) เปิดเผยว่า ล่าสุดได้รับร้องเรียนจากกลุ่มลูกจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ (สัญญา 1) ขอให้ช่วยเหลือพนักงานราชการเฉพาะกิจที่มีประมาณ 10,000 คนทั่วประเทศ เนื่องจากสัญญาจ้างกำลังจะหมดภายในเดือนสิงหาคมนี้ และเกรงว่าในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะซบเซา การหางานใหม่ทำได้ยาก อาจจะทำให้หลายคนต้องอยู่ในภาวะตกงาน
“เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้แทนจาก สพท. และ คปค. จึงได้ประชุมหารือถึงเรื่องนี้ร่วมกัน เพราะในสภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ การหางานใหม่ก็ยากลำบาก เพื่อช่วยเหลือกลุ่มลูกจ้างดังกล่าวประมาณ 10,000 คน ให้มีงานทำต่อไป จึงมีข้อสรุปจากที่ประชุมว่าจะเสนอให้รัฐบาลต่อสัญญาจ้างคนกลุ่มนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง หรืออาจจะต้องไม่กำหนดระยะเวลา” นายมนัส กล่าวและว่า โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างประสานงานเพื่อขอเข้าไปยื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ทำเนียบรัฐบาล ภายในสัปดาห์หน้า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้
ประธานสภาองค์การลูกจ้างฯ กล่าวว่า จากการสอบถาม ลูกจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีวุฒิปริญญาตรี และได้ทำงานตามสัญญาจ้างในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งขณะนั้น รัฐบาลได้ออกหลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มีงานทำ ในอัตราเดือนละ 18,000 บาท กระจายอยู่ในหลายกระทรวง อาทิ กระทรวงแรงงาน ประมาณ 700 คน กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น โดยสัญญาจ้างนี้ใช้งบประมาณจากรัฐบาลโดยตรง และกำลังจากหมดสัญญาในเดือนสิงหาคมนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้ได้มีการนำเข้าหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงงาน หรือหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร นายมนัส กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีโอกาสนำเรื่องนี้หารือกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แล้ว ซึ่งรัฐมนตรีฯ เห็นด้วยที่ควรจะต้องเร่งให้การช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ให้มีงานทำต่อไป แต่เนื่องจากเป็นเรื่องของงบประมาณ ที่มาจากการสนับสนุนของรัฐบาลโดยตรง จึงจำเป็นต้องนำเรื่องนี้เสนอไปยังนายกฯ เพื่อให้รับทราบ และพิจารณาสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป
'เพื่อไทย' ฟาดรัฐบาล งบพีอาร์หลายพันล้าน เทียบ 'ชัชชาติ' ไม่ได้ ทำไม่เป็น หรือไร้ผลงาน?
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7146171
‘เพื่อไทย’ ฟาดรัฐบาล งบพีอาร์หลายพันล้าน เทียบ ‘ชัชชาติ’ ไม่ได้ ถามกลับแรง ประชาสัมพันธ์ไม่เป็น หรือไม่มีผลงานกันแน่ ชี้ประชาชนต้องการคนทำงานจริง
วันที่ 5 ก.ค.65 น.ส.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์ว่าพูดคุยกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.กรณีการจัดการสายสื่อสาร พร้อมระบุว่ารัฐบาลทำงานมาตลอด แต่ยอมรับว่าประชาสัมพันธ์สู้นายชัชชาติไม่ได้ว่า สะท้อนแนวคิดการทำงานแบบน้ำเต็มแก้วของนายชัยวุฒิและรัฐบาลชุดนี้ ที่ชอบพูดเสมอว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีผลงานมากมาย แต่อ่อนด้อยการประชาสัมพันธ์ ประชาชนจึงไม่ทราบ
ปัญหาการบริหารที่ผ่านมาของรัฐบาล หากมองแค่การอ่อนประชาสัมพันธ์คงเป็นการมองปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุแห่งปัญหาคือผลงานของรัฐบาลและของรมว.ดิจิทัล หากมีผลงานที่ประชาชนจับต้องได้ ต่อให้ไม่ต้องทำการประชาสัมพันธ์ก็จะมีการพูดถึงปากต่อปากโดยประชาชน ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
แต่ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้เงินภาษีของประชาชนประชาสัมพันธ์นโยบายของภาครัฐต่อปีไม่ต่ำกว่า 2,400 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 2565 เฉพาะกรมประชาสัมพันธ์ได้งบประมาณ 2,423 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2566 ได้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 70 ล้านบาทเป็น 2,493 ล้านบาท ยังไม่รวมการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลผ่านกระทรวงและหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งประชาชนเจ้าของภาษีมีสิทธิที่จะตั้งคำถาม ว่าเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินคุ้มค่าหรือไม่
น.ส.อรุณี กล่าวต่อว่า ขณะที่ทีมงานถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กเพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามการทำงานของผู้ว่าฯ กทม. ใช้ช่างภาพ 1 คน กับโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องเท่านั้น โดยโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ใช้ราคาเฉลี่ย 20,000 บาท หากจะคำนวนเป็นเม็ดเงินต่อปี เมื่อรวมกับเงินเดือนแอดมิน ค่าโทรศัพท์และค่าเดินทาง ในการถ่ายทอดสดการลงพื้นที่ของผู้ว่าฯ กทม.คาดว่าไม่เกิน 7-8 แสนบาทต่อปี ประสิทธิผลที่ได้แตกต่างกันอย่างลิบลับ
แต่สิ่งที่ประชาชนเห็นคือการทุ่มเทแก้ไขปัญหา บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนอย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา ประสบความสำเร็จ น่าจะเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนอยากได้รับจากรัฐบาลมากกว่าการได้เห็นเพียงแค่การประชาสัมพันธ์เท่านั้น อดสงสัยไม่ได้ว่ารัฐประชาสัมพันธ์ไม่เป็น หรือไม่มีผลงานให้ประชาสัมพันธ์กันแน่
แทนที่ รมว.ดิจิทัลฯ และรัฐบาลจะเรียนรู้และแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง เรียนรู้จากความสำเร็จ รวมทั้งรูปแบบการทำงานของผู้อื่น ไม่ใช่การห่วงจัดอีเวนท์เน้นภาพส่งสื่อแล้วจบไป เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการ คือคนที่ลงมือทำงานจริงจัง