£££ เมื่อตลาดเป็นขาลง เทรดเดอร์คริปโตเริ่มหันมาโจมตีกันเองเพื่อหวังให้อีกฝ่าย ‘พอร์ตแตก’ และรับโบนัสจากโปรโตคอล

UPDATE: เมื่อตลาดเป็นขาลง เทรดเดอร์คริปโตเริ่มหันมาโจมตีกันเองเพื่อหวังให้อีกฝ่าย ‘พอร์ตแตก’ และรับโบนัสจากโปรโตคอล
.
ด้วยตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่กำลังดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เทรดเดอร์เริ่มหันมาต่อสู้กันเองมากขึ้นเพื่อหากำไรในช่วงที่ยากลำบากนี้
.
ผู้ใช้นามแฝงว่า Omakase กล่าวว่า เทรดเดอร์ที่มีลักษณะคล้ายกับผู้ล่า (Shark Traders) พยายามมองหาข้อมูลของเทรดเดอร์รายอื่นๆ มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ใช้อัตราทดสูงๆ หลังจากนั้นเทรดเดอร์ผู้ล่าเหล่านี้จะพยายามโจมตีเทรดเดอร์เหล่านั้นเพื่อหวังให้ ‘พอร์ตแตก’ (Liquidation) และรับกำไรพิเศษ
.
“ในตลาดขาลง ซึ่งกำไรหายากขึ้น สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือเทรดเดอร์ใช้กลยุทธ์ที่แข็งกร้าวมากขึ้น และอาจจะไม่เป็นผลดีต่อคอมมูนิตี้ บรรยากาศตอนนี้กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้เล่นกับผู้เล่นด้วยกันเองมากขึ้น”
.
เทรดเดอร์อาจจะค้นพบว่าเทรดเดอร์คนอื่นอาจจะถูกบังคับปิดสถานะล้างพอร์ต เมื่อราคาของเหรียญลดลงต่ำกว่าระดับใดระดับหนึ่ง สมมติว่าลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ หลังจากนั้นเทรดเดอร์จะเข้าไปเปิดสถานะ Short เพื่อพยายามดึงให้ราคาต่ำลงกว่า 100 ดอลลาร์ และผลตอบแทนจากการทำให้เทรดเดอร์คนอื่นพอร์ตแตก ซึ่ง DeFi แอปพลิเคชันหลายรายมักจะมีผลตอบแทนส่วนนี้ให้
.
“โปรโตคอลหลายแห่งเสนอผลตอบแทน 10 - 15% จาก Liquidation Fee และการทำให้เทรดเดอร์ถูกล้างพอร์ตในจำนวนมากพอจะทำให้เทรดเดอร์อีกหลายรายถูกล้างพอร์ตไปตามๆ กัน ในขณะที่เทรดเดอร์ที่มุ่งหวังเช่นนี้ก็แค่เพียงถือสถานะ Short เพื่อทำกำไรต่อไปในช่วงที่ตลาดดิ่งลงอีกครั้ง”
.
นาธาน เวิร์สลีย์ ผู้ซึ่งใช้บอตจำนวนมากในการหาโอกาสทำกำไรจากการทำให้เทรดเดอร์รายอื่นถูกล้างพอร์ต กล่าวว่า ช่วงนี้การพอร์ตถูกล้างมีจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ไม่สามารถจะทำกำไรได้สม่ำเสมอ บางครั้งเราอาจไม่ได้เห็นการถูกล้างพอร์ตเลยตลอดทั้งสัปดาห์หรืออาจจะนานกว่านั้น แต่เมื่อการล้างพอร์ตเกิดขึ้นมันมักจะเกิดขึ้นจำนวนมากพร้อมๆ กัน
.
“โดยทั่วไปแล้วคุณจะต้องทำงานยาวนานโดยทำกำไรไม่ได้เลย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเวลา 1-2 วัน ที่คุณอาจทำกำไรได้ 1 ล้านดอลลาร์ในครั้งเดียว”
.
เวิร์สลีย์กล่าวต่อว่า หน้าที่ของการเป็นผู้ชำระบัญชี (Liquidator) คือปกป้องโปรโตคอล โดยการปิดสถานะของเทรดเดอร์ โดยโปรโตคอลจะให้ผลตอบแทนกับ Liquidator เพราะบล็อกเชนไม่สามารถที่จะดำเนินการเองได้
.
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ยืม Bitcoin มูลค่า 1,000 ดอลลาร์จากโปรโตคอล จากนั้น Liquidator จะจ่ายคืน Bitcoin มูลค่า 1,000 ดอลลาร์ให้กับโปรโตคอลแทนเทรดเดอร์รายนั้น ในขณะที่โปรโตคอลจะให้ Ethereum ที่ถูกวางเป็นหลักประกันกับ Liquidator บวกกับโบนัสอีก 100 ดอลลาร์ จากหลักประกันส่วนเกินของเทรดเดอร์ โดย Liquidator จะทำกำไรได้จากกรณีที่เทรดเดอร์ถูกล้างพอร์ต ขณะที่โปรโตคอลสามารถปิดความเสี่ยงจากหนี้เสีย
.
“โดยทั่วไปแล้วทุกคนควรจะระมัดระวังความเสี่ยง โดยหลีกเลี่ยงการใช้อัตราทด”

Standard Wealth

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่