.
หนึ่งในข้อสงสัยสำหรับมือใหม่หัดขับ หรือแม้กระทั่งมือเก๋าที่ขับรถมาหลายปีบางคนยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับว่า ประกันรถแต่ละชั้นนั้นแตกต่างกันยังไง ประกันชั้น 1 คุ้มครองอะไร ประกันชั้น 3 แตกต่างกันขนาดไหน แล้วประกันชั้น 2+ 3+ คืออะไร วันนี้เราจะมาตอบข้อสงสัย สรุปให้ทุกคนกัน!
ก่อนอื่นทุกคนคงไม่เข้าใจว่า แล้วทำไมจะต้องรู้ว่าแตกต่างกันยังไง? ผมบอกเลยครับว่าสำคัญ เพราะถ้ารู้จักประกันรถแต่ละชั้นว่าคุ้มครองอะไรบ้าง ไม่คุ้มครองอะไรบ้าง เราสามารถเลือกให้เข้ากับการขับขี่ได้ ยิ่งกับยุคเศรษฐกิจแบบนี้แล้ว ยิ่งสำคัญกับคนที่อยากประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องประกันอีกด้วย!
งั้นผมเริ่มเลยแล้วกันครับ ผมจะแบ่งออกเป็น 3 ข้อหลักง่ายๆ ก่อนนะครับ นั่นก็คือ
ข้อที่ 1 คือ เรื่องของคู่กรณี ได้แก่ รถ ทรัพย์สิน หรือตัวคน
ข้อที่ 2 คือ เรื่องของรถเรา ไม่ว่าจะรถเสียหาย สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม
ข้อที่ 3 คือ เรื่องของคนในรถเรา ได้แก่ ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร ให้ค่าอุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาล ประกันตัวผู้ขับขี่
โดยประกันรถไม่ว่าจะชั้นไหน สิ่งที่จะคุ้มครองเสมอคือคู่กรณี แต่สิ่งที่แตกต่างกันจะเป็นในเรื่องของรถของเรา หรือรถคันเอาประกันภัยนั่นเอง
เอาล่ะครับ ผมจะมาขยายความประกันแต่ละชั้นให้ เรามาเริ่มต้นด้วยประกันรถที่มีความคุ้มครองน้อยที่สุด อย่าง
ประกันรถยนต์ชั้น 3 ตัวประกันชั้น 3 เนี่ยจะคุ้มครองแค่คู่กรณีกับคนในรถเท่านั้น ส่วนเรื่องรถของเราจะหาย จะไหม้ จะท่วม ก็ไม่คุ้มครองนะครับ สำหรับใครที่ไม่เคยทำประกันรถมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ไม่เคยคิดจะทำเลยสักครั้ง ควรทำ
ประกันรถชั้น 3 เอาไว้ครับ เพราะอย่างน้อยถ้าคุณไปชนรถคันอื่น หรือพุ่งไปใส่ร้านอาหารข้างทาง คุณก็ยังมีคนที่ช่วยแบกรับความเสี่ยงค่าซ่อมของคู่กรณีนะครับ
มาต่อกันที่
ประกันรถยนต์ชั้น 1 ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 ครอบคลุมทุกอย่าง ใช่แล้วล่ะครับ เพราะประกันที่ครอบคลุมครบทุกกรณีก็คือประกันรถยนต์ชั้น 1 ซึ่งครบทุกกรณีในความหมายของผมก็คือคุ้มครองทั้ง 3 ข้อที่กล่าวไว้ด้านบนนะครับ ถึงอย่างนั้นประกันชั้น 1 ก็มีข้อเสียครับ นั่นก็คือ แม้จะมากับความคุ้มครองที่ครบถ้วน แต่เบี้ยค่อนข้างสูงมากกกกกกครับ
ส่วนถ้าใครเป็นสายเซียนแต่อยากประหยัด จะทำประกันชั้น 1 ให้เสียค่าเบี้ยแพงๆ ไปทำไมครับ ผมแนะนำ
ประกันรถยนต์ชั้น 2 พลัส หรือ
ประกันรถยนต์ชั้น 3 พลัส ดีกว่า 2 ตัวนี้จะต่างกับประกันรถยนต์ชั้น 1 นิดเดียวครับ สิ่งที่หายไปคือแค่เรื่องของน้ำท่วม ส่วนเรื่องอุบัติเหตุเนี่ย จะให้ในกรณีรถชนรถเท่านั้น ตัดไปแค่นี้แต่เบี้ยก็จะถูกลงเกินครึ่งเลยครับ เหลือเพียงหลักพัน แถมยังเลือกซื้อตามทุนประกันได้อีกด้วย ซึ่งเหมาะมากกับคนที่มีความกังวลเรื่องการชนรถคันอื่นอยู่ แต่ไม่ซีเรียสเรื่องรถเป็นรอยนิดๆ หน่อยๆ จากการเฉี่ยวเสา เฉี่ยวฟุตบาธ การทำประกันรถชั้น 2+ หรือ 3+ ถือว่าคุ้มค่า เวิร์คมาก สำหรับคนที่กำลังมองหาช่องทางเซฟค่าใช้จ่ายช่วงนี้
การทำความเข้าใจประกันรถแต่ละชั้น แตกต่างกันยังไงนั้นเป็นเรื่องสำคัญนะครับ เพราะคุณจะได้ประกันรถที่เหมาะกับการใช้งานของตนเองมากที่สุด และคุ้มค่ากับทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป
และถ้าหากกำลังมองหาประกันรถยนต์ ที่มีให้เลือกครบทุกความต้องการ แนะนำเลยครับ ซื้อออนไลน์กับ TIPINSURE ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เริ่มต้นเพียง 6,399 บาท/ปี หรือประกันรถยนต์ชั้น 3+ เริ่มต้นเพียง 5,399 บาท/ปี ลองเช็คราคาได้เลยที่
https://bit.ly/3NmBzt4 ด้วยความห่วงใยจากทิพยประกันภัยครับผม
ปล. ผมแปะภาพสรุปความคุ้มครองมาให้ แคปเก็บกันไว้ได้เล้ยยย
[Advertorial]
[BR] ไขข้อสงสัย EP.9 เศรษฐกิจแบบนี้ ใครอยากประหยัดค่าประกันรถต้องอ่าน!
หนึ่งในข้อสงสัยสำหรับมือใหม่หัดขับ หรือแม้กระทั่งมือเก๋าที่ขับรถมาหลายปีบางคนยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับว่า ประกันรถแต่ละชั้นนั้นแตกต่างกันยังไง ประกันชั้น 1 คุ้มครองอะไร ประกันชั้น 3 แตกต่างกันขนาดไหน แล้วประกันชั้น 2+ 3+ คืออะไร วันนี้เราจะมาตอบข้อสงสัย สรุปให้ทุกคนกัน!
ก่อนอื่นทุกคนคงไม่เข้าใจว่า แล้วทำไมจะต้องรู้ว่าแตกต่างกันยังไง? ผมบอกเลยครับว่าสำคัญ เพราะถ้ารู้จักประกันรถแต่ละชั้นว่าคุ้มครองอะไรบ้าง ไม่คุ้มครองอะไรบ้าง เราสามารถเลือกให้เข้ากับการขับขี่ได้ ยิ่งกับยุคเศรษฐกิจแบบนี้แล้ว ยิ่งสำคัญกับคนที่อยากประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องประกันอีกด้วย!
งั้นผมเริ่มเลยแล้วกันครับ ผมจะแบ่งออกเป็น 3 ข้อหลักง่ายๆ ก่อนนะครับ นั่นก็คือ
ข้อที่ 1 คือ เรื่องของคู่กรณี ได้แก่ รถ ทรัพย์สิน หรือตัวคน
ข้อที่ 2 คือ เรื่องของรถเรา ไม่ว่าจะรถเสียหาย สูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม
ข้อที่ 3 คือ เรื่องของคนในรถเรา ได้แก่ ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร ให้ค่าอุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาล ประกันตัวผู้ขับขี่
โดยประกันรถไม่ว่าจะชั้นไหน สิ่งที่จะคุ้มครองเสมอคือคู่กรณี แต่สิ่งที่แตกต่างกันจะเป็นในเรื่องของรถของเรา หรือรถคันเอาประกันภัยนั่นเอง
เอาล่ะครับ ผมจะมาขยายความประกันแต่ละชั้นให้ เรามาเริ่มต้นด้วยประกันรถที่มีความคุ้มครองน้อยที่สุด อย่างประกันรถยนต์ชั้น 3 ตัวประกันชั้น 3 เนี่ยจะคุ้มครองแค่คู่กรณีกับคนในรถเท่านั้น ส่วนเรื่องรถของเราจะหาย จะไหม้ จะท่วม ก็ไม่คุ้มครองนะครับ สำหรับใครที่ไม่เคยทำประกันรถมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ไม่เคยคิดจะทำเลยสักครั้ง ควรทำประกันรถชั้น 3 เอาไว้ครับ เพราะอย่างน้อยถ้าคุณไปชนรถคันอื่น หรือพุ่งไปใส่ร้านอาหารข้างทาง คุณก็ยังมีคนที่ช่วยแบกรับความเสี่ยงค่าซ่อมของคู่กรณีนะครับ
มาต่อกันที่ ประกันรถยนต์ชั้น 1 ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 ครอบคลุมทุกอย่าง ใช่แล้วล่ะครับ เพราะประกันที่ครอบคลุมครบทุกกรณีก็คือประกันรถยนต์ชั้น 1 ซึ่งครบทุกกรณีในความหมายของผมก็คือคุ้มครองทั้ง 3 ข้อที่กล่าวไว้ด้านบนนะครับ ถึงอย่างนั้นประกันชั้น 1 ก็มีข้อเสียครับ นั่นก็คือ แม้จะมากับความคุ้มครองที่ครบถ้วน แต่เบี้ยค่อนข้างสูงมากกกกกกครับ
ส่วนถ้าใครเป็นสายเซียนแต่อยากประหยัด จะทำประกันชั้น 1 ให้เสียค่าเบี้ยแพงๆ ไปทำไมครับ ผมแนะนำ ประกันรถยนต์ชั้น 2 พลัส หรือ ประกันรถยนต์ชั้น 3 พลัส ดีกว่า 2 ตัวนี้จะต่างกับประกันรถยนต์ชั้น 1 นิดเดียวครับ สิ่งที่หายไปคือแค่เรื่องของน้ำท่วม ส่วนเรื่องอุบัติเหตุเนี่ย จะให้ในกรณีรถชนรถเท่านั้น ตัดไปแค่นี้แต่เบี้ยก็จะถูกลงเกินครึ่งเลยครับ เหลือเพียงหลักพัน แถมยังเลือกซื้อตามทุนประกันได้อีกด้วย ซึ่งเหมาะมากกับคนที่มีความกังวลเรื่องการชนรถคันอื่นอยู่ แต่ไม่ซีเรียสเรื่องรถเป็นรอยนิดๆ หน่อยๆ จากการเฉี่ยวเสา เฉี่ยวฟุตบาธ การทำประกันรถชั้น 2+ หรือ 3+ ถือว่าคุ้มค่า เวิร์คมาก สำหรับคนที่กำลังมองหาช่องทางเซฟค่าใช้จ่ายช่วงนี้
การทำความเข้าใจประกันรถแต่ละชั้น แตกต่างกันยังไงนั้นเป็นเรื่องสำคัญนะครับ เพราะคุณจะได้ประกันรถที่เหมาะกับการใช้งานของตนเองมากที่สุด และคุ้มค่ากับทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป
และถ้าหากกำลังมองหาประกันรถยนต์ ที่มีให้เลือกครบทุกความต้องการ แนะนำเลยครับ ซื้อออนไลน์กับ TIPINSURE ประกันรถยนต์ชั้น 2+ เริ่มต้นเพียง 6,399 บาท/ปี หรือประกันรถยนต์ชั้น 3+ เริ่มต้นเพียง 5,399 บาท/ปี ลองเช็คราคาได้เลยที่ https://bit.ly/3NmBzt4 ด้วยความห่วงใยจากทิพยประกันภัยครับผม
ปล. ผมแปะภาพสรุปความคุ้มครองมาให้ แคปเก็บกันไว้ได้เล้ยยย
[Advertorial]
BR - Business Review : กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวจากผู้สนับสนุน