ไม่น่าจะมีปัญหาแล้วสำหรับดีล นาวิน นูเญซ ที่สร้างความตื่นเต้นดีใจให้กับเหล่าเดอะค๊อปทั่วโลกอย่างมาก เพราะด้วยความรู้สึกแล้ว นี่เป็นการซื้อ "บิ๊กดีล" ครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ย้อนกลับไปในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะ แทบทุกปีผมมักจะได้ยินเสียงก่นด่าจากแฟนบอลว่า FSG ทำทีมขี้เหนียว หรือถึงขั้นว่าเป็นปลิงเลยก็มี
ซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไปโดยตัดความรู้สึกออก มันไม่ใช่แบบนั้นเลยนะครับ
ฤดูกาล 21/22 - 87ล้านยูโร (ขาย27)
20/21 - 83 ล้านยูโร (ขาย17)
19/20 - ซื้อตลาดหน้าหนาวแค่ทาคุมิ และมีเซป ฟานเดนเบิกสำหรับทีมเยาชน รวมกันราวๆ 10ล้านยูโร จำได้ว่าโดนด่าเยอะมาก แต่สุดท้ายเราได้แชมป์ที่รอมากกว่า30ปี
18/19 - 183 ล้านยูโร (ขาย41ล้านยูโร)
17/18 - 174 ล้านยูโร (ขาย184.5ล้านยูโร) ส่วนใหญ่เป็นค่าตัวจากคูติญโญ่
และถ้าจะย้อนให้ลึกลงไปอีก จะพบว่า FSG ลงทุนสำหรับการซื้อผู้เล่นใหม่เข้าสู่ทีม ในระดับ 70ล้านยูโรขึ้นไปทั้งสิ้น ติดต่อกันมานับ10ปี ตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์ทีม
ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะบอกว่า มันก็ไม่ได้เยอะ ดูอย่างทีมคู่แข่งของเราสิ แมนซิตี้ซื้อกองหลังระดับตัวสำรองหมายเลข4อย่างอาเก้มาได้ในราคา 50 ล้านเลยนะ
แม้จะโหดร้าย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือเรื่องจริงและทั้งหมดทั้งมวลมันมาจากนโยบายการบริหารทีมทั้งสิ้น แต่มันก็มีเหตุผลของมัน
FSG เป็นกลุ่มธุรกิจที่ลงทุนในกิจการประเภทกีฬา แตกต่างกับเจ้าของสโมสรทีมอื่นบางทีมที่ไม่ได้มีเหตุผลหลักในเรื่องของความเป็นธุรกิจ
ในมุมมองของ FSG กฏพื้นฐานที่สุดของธุรกิจใดๆก็ตามคือ มันต้องเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดให้ได้ ใช่อาจจะมีการอัดฉีดเงินจากเจ้าของบ้างแต่ต้องไม่ตลอดไป
ซึ่งตรงนี้มันเอามาคอมแพร์กันไม่ได้ว่าวิธีการของใครมันถูกต้องมากกว่าเพราะจุดหมายของแต่ละคนนั้นต่างกัน
ส่วนในกระทู้นี้ผมจะขอพูดถึงแนวทางบริหาร FSG ในยุคใหม่หลังจากจบยุคของ ไมเคิล เอ็ดเวิด หนุ่มเนิร์ดผู้ที่ไม่ได้หลงไหลในโลกฟุตบอลเท่าไหร่ แต่ในหัวของเขาเต็มไปด้วยข้อมูลตามแบบฉบับ money ball ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในกีฬาเบสบอล
ไมเคิล เอ็ดเวิด ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลหลังจากอยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2011 ทำให้ตำแหน่งผู้อำนวยการด้านฟุตบอลของสโมสรว่างลง
ช่องว่างตรงนั้นค่อนข้างใหญ่นะครับ เพราะอย่างที่รู้ๆกัน การตัดสินใจของเอ็ดเวิดทั้งเฉียบขาดและชาญฉลาด คล๊อปเองก็รับฟังไอเดียของเอ็ดเวิดมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พลาดตีโม แวร์เน่อ แล้วไปได้โจต้า หรือคราวที่พลาดเกิตเซ่ แล้วเอ็ดเวิดไปดีงโม ซาร่า มาให้แทน มีน้อยครั้งมากๆที่ Jk เลือกจะทุบโต๊ะแล้วไม่สนใจเป้าหมายรองของเอ็ดเวิด เท่าที่นึกออกก็มีแค่ในรายของเวอจิล ฟานไดค์ ที่JKมองว่าเป็นเป้าหมายอันดับ1 และมันไม่มีอันดับ2 แค่ครั้งเดียว
การทำงานของเอ็ดเวิดของลิเวอร์พูลนั้นแตกต่างกับเอ็ดเวิดของแมนยูแบบขั้วตรงข้าม
เอ็ด วู้ดเวิดของแมนยูนั้น มองในมุมเรื่องไฟแนนเชี่ยลและเหตุผลนอกสนามมาก่อนเหตุผลทางฟุตบอล ในครั้งที่เค้าไปเซ็น Pogba กลับมาเป็นสถิติโลก มีข่าวหลุดออกมามากมาย โดยเชื่อว่ามาจากการปล่อยข่าวจากสโมสรเอง มีแคมเปญ POGBACK เพื่อเพิ่มไวรัล แม้แต่การเสนอขายพื้นที่โฆษณา วู้ดเวิดยังเคยเอาสถิติยอด รีทวีตของแคมเปญ pogback ไปขายลูกค้าเลยด้วยซ้ำ เราจึงเห็นข่าวการซื้อขายของแมนยูอยู่ในหน้าสื่อตลอดทุกรอบตลาด
แต่กลับกัน ไมเคิล เอ็ดเวิด นั้นเลือกจะทำงานให้เงียบและไวที่สุด ไม่ต้องการเป็นข่าว ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับ bidding war มีเป้าหมายอันดับ2 3 4อยู่ในใจเสมอ
อย่างเช่นครั้งที่ต้องแย่งตัวอลิซงกับเชลซี ในชณะที่เชลซีเช็คฟอร์มคนอื่นอยู่ ลิเวอร์พูลรีบปิดดีลทันที
หรือจะเป็นครั้งโจต้า ซาร่า ที่ได้พูดไปถึงเมื่อย่อหน้าก่อน
จะเห็นได้ว่าท่าทีของทีมบริหารลิเวอร์พูลที่ดูแลในด้านงานซื้อขายคือ เลือกที่จะไม่เผชิญหน้ากับทีมอื่น
สิ่งที่มันออกมาในทุกๆการซื้อขายคือ "มันไม่ตื่นเต้น" คือในขณะที่ทุกคนฮือฮากับการย้ายทีมของดาวดังคนอื่นๆ
ลิเวอร์พูลจะโผล่มาอีกทีก็มีนักเตะที่ก็ต้องยอมรับว่าเราเองก็ไม่รู้จักมาชูเสื้อแบบงงๆนิดหน่อย
แอนดรูว โรเบิตสั้น ,โรเบิตโต้ เฟอมิโน่ , เกอิต้า , คอสตาส ซิมิกาส ชื่อพวกนี้ก่อนย้าย เชื่อว่าแฟนบอลหงส์แดงแทบไม่มีใครรู้จัก
ทุกครั้งที่ปิดดีลนักเตะใหม่ เวลาเฮ มันเลยเฮไม่สุดเสียงสักที
ขนาดบิ๊กดีลคนสุดท้ายของเราอย่างฟานไดค์เองก็ไม่ได้มีใครมาแย่งซื้อ ไม่เหมือนกับครั้งของแฮรี่ แมกไกว ที่เปนการเกทับกันระหว่างสองทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์
ผลลัพธ์ในด้านความรู้สึกของแฟนบอลมันเลยออกแนวเหนื่อยหน่าย แม้หลังจากนั้นพวกตัวแปลกๆที่เซ็นมาจะเล่นดีและได้รับคำชม แต่ภาพลักษณ์ของการเข้าสู่ตลาดแบบเงียบๆ มันติดตัวจนเป็นภาพลักษณ์ของลิเวอร์พูลไปแล้วว่า "ขี้เหนียว"
10 ปีผ่านไป จากยุคของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ด มาสู่มือของผู้บริหารคนใหม่ จูเลี่ยน วอร์ด
จูเลี่ยนวอร์ดคือใคร และเค้าทำอะไรกับลิเวอร์พูลไปแล้วบ้าง ? สำหรับคำถามแรกขอไม่พูดถึงในกระทู้นี้ เพราะคิดว่าคงมีข้อมูลเยอะแล้ว หรือถ้ายัง ก็ไว้แลกเปลี่ยนกันกระทู้หน้านะครับ
วอร์ดทำอะไรกับลิเวอร์พูล ถึงต้องพูดถึง ?
คำถามนี้น่าสนใจครับ (หรืออาจจะมีแค่ผมคนเดียวที่สนใจก็ได้ 555)
แม้จะเพิ่งเริ่มงานเต็มตัว แต่ผมรู้สึกว่าแนวทางของวอร์ดนั้นสร้างความแตกต่างของเขากับเอ็ดเวิดอย่างจับต้องได้เลยนะครับ แม้จะยังเป็นทิศทางเดียวกันก็ตาม
สิ่งที่เห็นได้จากตอนนี้ถ้าพูดเป็นภาษาวัยรุ่นก็ต้องพูดว่า ลิเวอร์แม่-โคตรเอาเลยว่ะ
งานแรกของวอร์ด
- หลุยส์ ดิอาซ ลิเวอร์พูลยังเป็นสไตล์สิงห์ปืนไวเหมือนเดิมคือไม่ต้องประโคมข่าว ไม่ต้องยึดหน้าสื่อนาน หลังจากมีข่าวหลุดไม่กี่วัน พวกเค้าเร่งปิดดีลทันที ดูอาจจะคล้ายเดิมแต่มันมีสิ่งที่ต่างไปจากสไตล์ของยุคเอ็ดเวิดอยู่
คือตอนนี้ลิเวอร์พูลเลือกทางที่จะเผชิญหน้ากับคู่แข่งในตลาดแล้ว รอบนี้แม้จะเป็นสเปอร์ที่เตรียมจะรับนับเตะไปอยู่ด้วย พร้อมยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อมีช่องว่างลิเวอร์ยื่นข้อเสนอเท่ากันกับที่สเปอร์ยื่นเพราะรู้ว่าปอร์โต้โอเคกับจำนวนดังกล่าวแล้ว พร้อมเกทับด้วยการวางเงินก้อนแรกที่ใหญ่กว่าของไก่ พร้อมส่งทีมแพทย์ไปตรวจร่างกายแล้วเปิดตัวด้วยภาพถ่ายระดับ HD (hell-definition) ทันที ทำเอาเลวี่ ออกอาการหัวเสีย ออกมาด่ากราดอยู่พักหนึ่ง
- งานถัดมา สดๆร้อนๆกับ นูญเญซ
สถาการณ์แทบจะคล้ายกับของดิอาซเลย หลังนักเตะมีข่าวเป็นทีมต่างๆให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเวสแฮม ไบร์ทตัน ก่อนจะเป็น แมนยู นิวคาซเซิล แอตลาติโก้มาดริด
ทีมที่กล่าวมา ถ้ามองตามตรงไม่มีทีมไหนจะดึงดูดนักเตะเท่าลิเวอร์พูลในตอนนี้ จะมีก็แค่แมนยูแต่แมนยูเองอยู่ระหว่างผ่าตัดทีม ยังต้องบริหารทรัพยากรไปลงในตำแหน่งต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีดีลที่ยังคาราคาซังของ เฟรงกี้ เดยอง
วอร์ดใช้สไตล์เดิมคือ แม้จะออกตัวทีหลังแต่รุกเร็วไม่รอให้ยืดเยื้อ ยื่นราคาที่เบนฟิก้าปฏิเสธไม่ได้ให้ทันที ในขณะที่กว่าแมนยูจะขยับตัว ทุกอย่างมันก็จบแล้ว
อย่างที่บอกครับ งานของวอร์ดยังแค่เพิ่งเริ่ม
มันอาจจะเป็นเหตุบังเอิญ หรือสถาการ์ณบังคับก็ได้ไม่มีใครรู้
แต่ถ้านี่คือแนวทางการเข้าสู่ตลาดนักเตะในยุคใหม่ของลิเวอร์พูลจริงๆล่ะก็ การเปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ด้วยผลงานการไฮแจ๊คนักเตะ ตัดหน้าทีมอื่นนั้นเป็นอะไรที่ในมุมของแฟนบอลต้องบอกว่ามันว้าวมากๆ
ตลาดนักเตะครั้งต่อไปคงเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจแฟนบอลหงส์แดงทำงานหนักแบบมีความสุขในช่วงปิดฤดูกาลแบบทีมอื่นเขาบ้าง
เฮ้ นี่เรายังมีมิดฟิลทีรอการถ่ายเลือดอีกในซัมเมอร์หน้านะ รอไม่ไหวแล้วเนี่ยยยย
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของหงส์แดง กับชายผู้กำหนดทิศทางคนใหม่ "Julian Ward"
ย้อนกลับไปในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะ แทบทุกปีผมมักจะได้ยินเสียงก่นด่าจากแฟนบอลว่า FSG ทำทีมขี้เหนียว หรือถึงขั้นว่าเป็นปลิงเลยก็มี
ซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไปโดยตัดความรู้สึกออก มันไม่ใช่แบบนั้นเลยนะครับ
ฤดูกาล 21/22 - 87ล้านยูโร (ขาย27)
20/21 - 83 ล้านยูโร (ขาย17)
19/20 - ซื้อตลาดหน้าหนาวแค่ทาคุมิ และมีเซป ฟานเดนเบิกสำหรับทีมเยาชน รวมกันราวๆ 10ล้านยูโร จำได้ว่าโดนด่าเยอะมาก แต่สุดท้ายเราได้แชมป์ที่รอมากกว่า30ปี
18/19 - 183 ล้านยูโร (ขาย41ล้านยูโร)
17/18 - 174 ล้านยูโร (ขาย184.5ล้านยูโร) ส่วนใหญ่เป็นค่าตัวจากคูติญโญ่
และถ้าจะย้อนให้ลึกลงไปอีก จะพบว่า FSG ลงทุนสำหรับการซื้อผู้เล่นใหม่เข้าสู่ทีม ในระดับ 70ล้านยูโรขึ้นไปทั้งสิ้น ติดต่อกันมานับ10ปี ตั้งแต่เข้ามาเทคโอเวอร์ทีม
ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะบอกว่า มันก็ไม่ได้เยอะ ดูอย่างทีมคู่แข่งของเราสิ แมนซิตี้ซื้อกองหลังระดับตัวสำรองหมายเลข4อย่างอาเก้มาได้ในราคา 50 ล้านเลยนะ
แม้จะโหดร้าย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือเรื่องจริงและทั้งหมดทั้งมวลมันมาจากนโยบายการบริหารทีมทั้งสิ้น แต่มันก็มีเหตุผลของมัน
FSG เป็นกลุ่มธุรกิจที่ลงทุนในกิจการประเภทกีฬา แตกต่างกับเจ้าของสโมสรทีมอื่นบางทีมที่ไม่ได้มีเหตุผลหลักในเรื่องของความเป็นธุรกิจ
ในมุมมองของ FSG กฏพื้นฐานที่สุดของธุรกิจใดๆก็ตามคือ มันต้องเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอดให้ได้ ใช่อาจจะมีการอัดฉีดเงินจากเจ้าของบ้างแต่ต้องไม่ตลอดไป
ซึ่งตรงนี้มันเอามาคอมแพร์กันไม่ได้ว่าวิธีการของใครมันถูกต้องมากกว่าเพราะจุดหมายของแต่ละคนนั้นต่างกัน
ส่วนในกระทู้นี้ผมจะขอพูดถึงแนวทางบริหาร FSG ในยุคใหม่หลังจากจบยุคของ ไมเคิล เอ็ดเวิด หนุ่มเนิร์ดผู้ที่ไม่ได้หลงไหลในโลกฟุตบอลเท่าไหร่ แต่ในหัวของเขาเต็มไปด้วยข้อมูลตามแบบฉบับ money ball ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในกีฬาเบสบอล
ไมเคิล เอ็ดเวิด ตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลหลังจากอยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 2011 ทำให้ตำแหน่งผู้อำนวยการด้านฟุตบอลของสโมสรว่างลง
ช่องว่างตรงนั้นค่อนข้างใหญ่นะครับ เพราะอย่างที่รู้ๆกัน การตัดสินใจของเอ็ดเวิดทั้งเฉียบขาดและชาญฉลาด คล๊อปเองก็รับฟังไอเดียของเอ็ดเวิดมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พลาดตีโม แวร์เน่อ แล้วไปได้โจต้า หรือคราวที่พลาดเกิตเซ่ แล้วเอ็ดเวิดไปดีงโม ซาร่า มาให้แทน มีน้อยครั้งมากๆที่ Jk เลือกจะทุบโต๊ะแล้วไม่สนใจเป้าหมายรองของเอ็ดเวิด เท่าที่นึกออกก็มีแค่ในรายของเวอจิล ฟานไดค์ ที่JKมองว่าเป็นเป้าหมายอันดับ1 และมันไม่มีอันดับ2 แค่ครั้งเดียว
การทำงานของเอ็ดเวิดของลิเวอร์พูลนั้นแตกต่างกับเอ็ดเวิดของแมนยูแบบขั้วตรงข้าม
เอ็ด วู้ดเวิดของแมนยูนั้น มองในมุมเรื่องไฟแนนเชี่ยลและเหตุผลนอกสนามมาก่อนเหตุผลทางฟุตบอล ในครั้งที่เค้าไปเซ็น Pogba กลับมาเป็นสถิติโลก มีข่าวหลุดออกมามากมาย โดยเชื่อว่ามาจากการปล่อยข่าวจากสโมสรเอง มีแคมเปญ POGBACK เพื่อเพิ่มไวรัล แม้แต่การเสนอขายพื้นที่โฆษณา วู้ดเวิดยังเคยเอาสถิติยอด รีทวีตของแคมเปญ pogback ไปขายลูกค้าเลยด้วยซ้ำ เราจึงเห็นข่าวการซื้อขายของแมนยูอยู่ในหน้าสื่อตลอดทุกรอบตลาด
แต่กลับกัน ไมเคิล เอ็ดเวิด นั้นเลือกจะทำงานให้เงียบและไวที่สุด ไม่ต้องการเป็นข่าว ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับ bidding war มีเป้าหมายอันดับ2 3 4อยู่ในใจเสมอ
อย่างเช่นครั้งที่ต้องแย่งตัวอลิซงกับเชลซี ในชณะที่เชลซีเช็คฟอร์มคนอื่นอยู่ ลิเวอร์พูลรีบปิดดีลทันที
หรือจะเป็นครั้งโจต้า ซาร่า ที่ได้พูดไปถึงเมื่อย่อหน้าก่อน
จะเห็นได้ว่าท่าทีของทีมบริหารลิเวอร์พูลที่ดูแลในด้านงานซื้อขายคือ เลือกที่จะไม่เผชิญหน้ากับทีมอื่น
สิ่งที่มันออกมาในทุกๆการซื้อขายคือ "มันไม่ตื่นเต้น" คือในขณะที่ทุกคนฮือฮากับการย้ายทีมของดาวดังคนอื่นๆ
ลิเวอร์พูลจะโผล่มาอีกทีก็มีนักเตะที่ก็ต้องยอมรับว่าเราเองก็ไม่รู้จักมาชูเสื้อแบบงงๆนิดหน่อย
แอนดรูว โรเบิตสั้น ,โรเบิตโต้ เฟอมิโน่ , เกอิต้า , คอสตาส ซิมิกาส ชื่อพวกนี้ก่อนย้าย เชื่อว่าแฟนบอลหงส์แดงแทบไม่มีใครรู้จัก
ทุกครั้งที่ปิดดีลนักเตะใหม่ เวลาเฮ มันเลยเฮไม่สุดเสียงสักที
ขนาดบิ๊กดีลคนสุดท้ายของเราอย่างฟานไดค์เองก็ไม่ได้มีใครมาแย่งซื้อ ไม่เหมือนกับครั้งของแฮรี่ แมกไกว ที่เปนการเกทับกันระหว่างสองทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์
ผลลัพธ์ในด้านความรู้สึกของแฟนบอลมันเลยออกแนวเหนื่อยหน่าย แม้หลังจากนั้นพวกตัวแปลกๆที่เซ็นมาจะเล่นดีและได้รับคำชม แต่ภาพลักษณ์ของการเข้าสู่ตลาดแบบเงียบๆ มันติดตัวจนเป็นภาพลักษณ์ของลิเวอร์พูลไปแล้วว่า "ขี้เหนียว"
10 ปีผ่านไป จากยุคของ ไมเคิล เอ็ดเวิร์ด มาสู่มือของผู้บริหารคนใหม่ จูเลี่ยน วอร์ด
จูเลี่ยนวอร์ดคือใคร และเค้าทำอะไรกับลิเวอร์พูลไปแล้วบ้าง ? สำหรับคำถามแรกขอไม่พูดถึงในกระทู้นี้ เพราะคิดว่าคงมีข้อมูลเยอะแล้ว หรือถ้ายัง ก็ไว้แลกเปลี่ยนกันกระทู้หน้านะครับ
วอร์ดทำอะไรกับลิเวอร์พูล ถึงต้องพูดถึง ?
คำถามนี้น่าสนใจครับ (หรืออาจจะมีแค่ผมคนเดียวที่สนใจก็ได้ 555)
แม้จะเพิ่งเริ่มงานเต็มตัว แต่ผมรู้สึกว่าแนวทางของวอร์ดนั้นสร้างความแตกต่างของเขากับเอ็ดเวิดอย่างจับต้องได้เลยนะครับ แม้จะยังเป็นทิศทางเดียวกันก็ตาม
สิ่งที่เห็นได้จากตอนนี้ถ้าพูดเป็นภาษาวัยรุ่นก็ต้องพูดว่า ลิเวอร์แม่-โคตรเอาเลยว่ะ
งานแรกของวอร์ด
- หลุยส์ ดิอาซ ลิเวอร์พูลยังเป็นสไตล์สิงห์ปืนไวเหมือนเดิมคือไม่ต้องประโคมข่าว ไม่ต้องยึดหน้าสื่อนาน หลังจากมีข่าวหลุดไม่กี่วัน พวกเค้าเร่งปิดดีลทันที ดูอาจจะคล้ายเดิมแต่มันมีสิ่งที่ต่างไปจากสไตล์ของยุคเอ็ดเวิดอยู่
คือตอนนี้ลิเวอร์พูลเลือกทางที่จะเผชิญหน้ากับคู่แข่งในตลาดแล้ว รอบนี้แม้จะเป็นสเปอร์ที่เตรียมจะรับนับเตะไปอยู่ด้วย พร้อมยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อมีช่องว่างลิเวอร์ยื่นข้อเสนอเท่ากันกับที่สเปอร์ยื่นเพราะรู้ว่าปอร์โต้โอเคกับจำนวนดังกล่าวแล้ว พร้อมเกทับด้วยการวางเงินก้อนแรกที่ใหญ่กว่าของไก่ พร้อมส่งทีมแพทย์ไปตรวจร่างกายแล้วเปิดตัวด้วยภาพถ่ายระดับ HD (hell-definition) ทันที ทำเอาเลวี่ ออกอาการหัวเสีย ออกมาด่ากราดอยู่พักหนึ่ง
- งานถัดมา สดๆร้อนๆกับ นูญเญซ
สถาการณ์แทบจะคล้ายกับของดิอาซเลย หลังนักเตะมีข่าวเป็นทีมต่างๆให้ความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเวสแฮม ไบร์ทตัน ก่อนจะเป็น แมนยู นิวคาซเซิล แอตลาติโก้มาดริด
ทีมที่กล่าวมา ถ้ามองตามตรงไม่มีทีมไหนจะดึงดูดนักเตะเท่าลิเวอร์พูลในตอนนี้ จะมีก็แค่แมนยูแต่แมนยูเองอยู่ระหว่างผ่าตัดทีม ยังต้องบริหารทรัพยากรไปลงในตำแหน่งต่างๆอีกมาก รวมทั้งยังมีดีลที่ยังคาราคาซังของ เฟรงกี้ เดยอง
วอร์ดใช้สไตล์เดิมคือ แม้จะออกตัวทีหลังแต่รุกเร็วไม่รอให้ยืดเยื้อ ยื่นราคาที่เบนฟิก้าปฏิเสธไม่ได้ให้ทันที ในขณะที่กว่าแมนยูจะขยับตัว ทุกอย่างมันก็จบแล้ว
อย่างที่บอกครับ งานของวอร์ดยังแค่เพิ่งเริ่ม
มันอาจจะเป็นเหตุบังเอิญ หรือสถาการ์ณบังคับก็ได้ไม่มีใครรู้
แต่ถ้านี่คือแนวทางการเข้าสู่ตลาดนักเตะในยุคใหม่ของลิเวอร์พูลจริงๆล่ะก็ การเปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ด้วยผลงานการไฮแจ๊คนักเตะ ตัดหน้าทีมอื่นนั้นเป็นอะไรที่ในมุมของแฟนบอลต้องบอกว่ามันว้าวมากๆ
ตลาดนักเตะครั้งต่อไปคงเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจแฟนบอลหงส์แดงทำงานหนักแบบมีความสุขในช่วงปิดฤดูกาลแบบทีมอื่นเขาบ้าง
เฮ้ นี่เรายังมีมิดฟิลทีรอการถ่ายเลือดอีกในซัมเมอร์หน้านะ รอไม่ไหวแล้วเนี่ยยยย