Ghost World บทที่ 1 - Underground
https://ppantip.com/topic/41470201
2
The Feeling
ลมโกรกกระทบผิวกายของพันตำรวจโท วรวุธ มันหนาวจนผ้าห่มบาง ๆ ที่คลุมไว้เอาไม่อยู่ ท่ามกลางความรู้สึกตัวอ่อน ๆ ในภวังคจิต ในขณะจิตนั้นสำนึกได้ตระหนักว่าไม่ใช่เพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ พันตำรวจโท วรวุธรู้สึกตัวมากขึ้น เขาพลิกตัวก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ เมื่อเบิกเนตร เขาสับสนและประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึงจนสะดุ้งตัว เขาพบว่าตนเองนอนอยู่บนแท่นหินที่เย็นยะเยือก เมื่อมองไปรอบ ๆ มันเป็นโถงใหญ่ สร้างด้วยหิน มีแสงส่องลงมาจากช่องหินรอบ ๆ ดูเป็นซากปรักมากกว่าสิ่งสมบูรณ์ ราวกับว่าที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้าง พันตำรวจโท วรวุธยกขาลงจากแท่นหิน ตะโกนส่งเสียงไม่เป็นภาษา ไม่มีใครตอบรับ เสียงของเขาได้แต่ปลุกเหล่านกกาให้บินหนี เขาส่งเสียงไปสองสามรอบจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ เขาลุกขึ้นยืน ฝ่าเท้าสัมผัสกับความหนาว ก้าวไปทีละก้าวด้วยชุดนอนบาง ๆ หนาวจนกอดอก เดินผ่านจากโถงที่นอนอยู่ไปตามทางเดิน มีห้องหินเล็ก ๆ ในอาคารนั้นหลายห้อง แสงสว่างจากธรรมชาติเพิ่มตามทางเดินขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ประตูทางออก เบื้องนอกของอาคารหินนั้นประหลาดยิ่งกว่า มันตั้งอยู่บนหน้าผา ด้านล่างนั้นล้อมด้วยทะเลไกลสุดสายตา เมฆสีดำทะมึน ลมตีรวนทั้งหน้าและตัว อากาศหนาวกว่าในห้องหินสองเท่า
“อะไรเนี่ย” พันตำรวจโท วรวุธพูดกับตนเอง เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน บางทีเขาอาจจะฝัน แต่หากนี่คือความฝัน การตระหนักรู้ว่านี่คือความฝันก็มักพาเขาตื่นได้แล้ว แต่นี่เขากลับออกไม่ได้
“ทางนี้ค่า” พันตำรวจโท วรวุธหันไปหาที่มาของเสียง มีใครสักคนยืนอยู่ไกล ๆ ตรงข้าม
“ใคร” เขาเรียกถาม ทว่าเธอที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้ยินหรือย่างไรไม่รู้ เธอโบกมือเรียกเขา พันตำรวจโท วรวุธเดินไปตรงนั้นแม้จะประหลาดใจ
“นี่ที่ไหน” คำถามที่ใครก็อยากรู้ “แล้วทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้”
“ไม่ต้องกังวลนะคะ ใคร ๆ ที่มาก็ต้องถามเรื่องนี้” เด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ดูสดใส ไม่เข้ากับบรรยากาศตั้งรับพายุแบบนี้เลย เด็กสาวคนนี้ไว้ผมหน้าม้า ส่วนสูงก็ไม่สูงมาก ไม่ใช่หุ่นสาวเสียทีเดียว เสียงแหลมเล็ก ๆ แบบเด็กอายุสิบสี่
เขายังคงถามซ้ำ “ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ ไม่เข้าใจเลย”
“โอเคค่ะ” เด็กสาวเอามือไขว้หลัง “ที่นี่คือปราสาทดันน็อตตาร์ อยู่ตอนใต้ของเมืองแอเบอร์ดีนค่ะ”
“หือ” เมื่อฟังคำตอบเช่นนี้ เขายิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม “ผมถูกจับมาหรือ”
เด็กสาวส่ายหน้า “พี่ไม่ได้ถูกจับมาหรอกค่ะ”
“ที่นี่คือหนึ่งในสถานที่อีกมากมายที่ถูกออกแบบไว้ตามที่ผู้สร้างวาดไว้ พี่อยู่ในโลกจำลองซึ่งจะช่วยคุณจากภาวะบางอย่าง”
“ภาวะบางอย่าง” เขาทวนคำพูด
“ค่ะ” เธอพยักหน้า “หนูเองก็ไม่รู้ว่าพี่...พี่หมูใช่ไหมคะ”
“น้องรู้ชื่อเล่นพี่ด้วยหรอ” พันตำรวจโท วรวุธไม่เคยบอกชื่อเล่นให้เด็กสาวฟัง
“ตอนนี้หนูอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายหรือจิตใต้สำนึกของพี่ไปแล้ว” ยิ่งอธิบายนายตำรวจคนนี้ก็ยิ่งสับสน เด็กสาวรู้สึกผิดที่พูดให้ยาก
“ช่างเถอะค่ะ...คือ...หนูก็ไม่รู้ว่าพี่กำลังเผชิญกับอะไรอยู่ แต่ถ้าพี่มาอยู่ในจุดนี้แล้ว...” เธอเห็นอะไรบางอย่างจึงหยุดพูด
“อ้อ” เด็กสาวในชุดฟ้าชี้นิ้ว “รถมารับพวกเราแล้วล่ะค่ะ” พันตำรวจโท วรวุธหันไปด้านหลัง เขาเห็นรถลีมูซีนคันดำแล่นขึ้นมาจากถนนข้างล่าง ผานี้ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว มันเชื่อมติดกับแผ่นดิน รถแล่นเอื่อย ๆ แล้วจอดอยู่หลังขึ้นมาบนผา
“ไปเถอะ” เธอจับมือพันตำรวจโท วรวุธ เขารู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต อาจเป็นเพราะอากาศหนาวทำให้ผิวของพวกเขาแห้ง นายตำรวจประหลาดกับความรู้สึกนี้ แม้เพียงสัมผัสในขณะหนึ่ง มันทำให้จิตของเขาเดินทางอย่างรวดเร็วไปในความทรงจำ เขาไม่แน่ใจว่าครั้งสุดท้ายที่ได้จับมือกับบุคคลเพศตรงข้ามจริง ๆ ที่ไม่ใช่มารดานั้นนานเท่าไหร่แล้ว ถึงจะเป็นเด็กก็ตาม แต่แล้วขณะจิตก็ดึงเขากลับสู่ความจริงอันแปลกประหลาดบนโลกนี้อีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน” เขายั้งตัว เดินตาม “เธอยังอธิบายไม่จบเลยนะ”
“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังเถอะค่ะ” เธอเดินไม่สนใจ “หรือพี่อยากอยู่ที่นี่” รับประกันว่าเขาไม่ชอบที่นี่ เขาจึงเดินไปกับเธอแต่โดยดี ประตูรถเปิดโดยอัตโนมัติ ทั้งสองขึ้นรถ รถแล่นลงจากหน้าผาไปตามถนนเลียบชายฝั่ง
“สรุปแล้วผม...” เขากำลังจะพูด แต่เด็กสาวพูดแทรก “ทะเลสวยมาก” มองผ่านกระจกรถขณะกำลังแล่น บรรยากาศที่ดูเหมือนห่าฝนจะซัดเข้าตอนอยู่หน้าปราสาทหิน กลายเป็นฟ้าสดใส แสงแดดอ่อน ๆ แยกไม่ได้ว่าเช้าหรือเย็นกระทบทะเลและคลื่น
“เดี๋ยวพี่ก็จะรู้ทุกอย่างเอง” ดูเธอเพลิดเพลินกับท้องฟ้าและผืนน้ำจริงจัง
“หนูไม่เคยมาที่นี่เลย ไม่รู้ว่าจะได้มาอีกไหม”
“เธอไม่เคยมาเลยหรอ”
เด็กสาวพยักหน้าก่อนหันกลับมามองหน้า “ทุกที่ที่หนูจะพาพี่ไป หนูก็ไม่เคยไปมาก่อน”
“ไม่ค่อยเข้าใจ พี่นึกว่าน้องเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยว” คิ้วของพันตำรวจโท วรวุธขมวดเข้าหา
“อย่าว่าแต่พี่เลย หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน หนูรู้จักสถานที่ทุกที่บนนี้ รู้ว่าจะต้องเดินทางยังไง แต่หนูแค่ไม่เคยไปมาก่อน”
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาเดินทางต่ออีกสามสิบนาที รถลีมูซีนจอดลงหน้าสถานีรถไฟ มันไม่มีป้ายชื่อ พอลงจากรถ พันตำรวจโท วรวุธยังรู้สึกหนาว เขายังคงใส่ชุดนอนบาง ๆ นั้นอยู่ คนขับรถเป็นชายร่างท้วมสวมสูทดำเต็มยศเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวที่เก็บไว้ด้านหลังกระโปรงรถให้ เขารับและสวมใส่ คนขับรถไม่พูดอะไรสักคำ เขายิ้มให้กับทั้งคู่ก่อนจะขึ้นรถและขับออกไป ทิ้งให้นายตำรวจกับเด็กสาวอยู่หน้าสถานี
“เราจะไปไหน” สารวัตรหมูถามอีกครั้ง เด็กสาวไม่พูดอะไร เธอเดินนำหน้า ไม่ได้จับมือเหมือนที่ผ่านมา พันตำรวจโท วรวุธหยุดเดินเพื่อประท้วงในท่าทีเพิกเฉยของเด็กสาว แต่เด็กสาวก็หยุดเดิน หันมาหาเขาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอไม่โกรธหรือขัดข้องที่เขาจะดื้อรั้น นายตำรวจพ่ายแพ้ให้กับรอยยิ้มของเธอ เขาถอนหายใจก่อนเดินตามเข้าไปในสถานีรถไฟที่ยังเปิดทำการอยู่ แค่ไม่มีคน กระทั่งพนักงานขายตั๋ว ที่กั้นระหว่างสถานีและชานชาลารถไฟก็ถูกยกออก ทั้งสองเดินเข้าไปตัวเปล่า ยืนรอรถไฟประมาณห้านาที ก่อนที่รถไฟจะลู่เข้าชานชาลา ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก็คือรถไฟหัวกระสุนสีขาว มีคนขับ แต่ไม่มีคนนั่ง ประตูเปิดออก เด็กสาวจัวมือเขาและเดินเข้าไปในขบวนแรก พวกเขานั่งลงก่อนที่ประตูรถไฟจะปิดและลู่ออกจากชานชาลา เมื่อรถไฟเดินหน้าออกจากชานชาลาประมาณห้านาที พันตำรวจโท วรวุธมองออกไปนอกหน้าต่าง ชายฝั่งติดทะเลที่มีแต่คลื่นและโขดหินกลายเป็นชุมตึกน้อยใหญ่เบียดเสียดภายในพริบตาเดียว มันเป็นความอัศจรรย์ที่เขาได้แต่ประหลาดใจอยู่คนเดียว จากเมืองก็กลายเป็นทุ่งนา มีภูเขาและบ้านเรือนตามรายทาง เด็กสาวไม่ได้สนใจเขาเท่าไรนัก จิตใจของเธอเหม่ออกไปถึงสิ่งที่อยู่ด้านนอก นายตำรวจรู้ดีว่าถึงจะถามอะไรเด็กสาวตอนนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ นั่งอยู่นิ่ง ๆ จะดีกว่า
(มีต่อ)
Ghost World บทที่ 2 - The Feeling
ลมโกรกกระทบผิวกายของพันตำรวจโท วรวุธ มันหนาวจนผ้าห่มบาง ๆ ที่คลุมไว้เอาไม่อยู่ ท่ามกลางความรู้สึกตัวอ่อน ๆ ในภวังคจิต ในขณะจิตนั้นสำนึกได้ตระหนักว่าไม่ใช่เพราะความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ พันตำรวจโท วรวุธรู้สึกตัวมากขึ้น เขาพลิกตัวก่อนจะลืมตาขึ้นช้า ๆ เมื่อเบิกเนตร เขาสับสนและประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึงจนสะดุ้งตัว เขาพบว่าตนเองนอนอยู่บนแท่นหินที่เย็นยะเยือก เมื่อมองไปรอบ ๆ มันเป็นโถงใหญ่ สร้างด้วยหิน มีแสงส่องลงมาจากช่องหินรอบ ๆ ดูเป็นซากปรักมากกว่าสิ่งสมบูรณ์ ราวกับว่าที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้าง พันตำรวจโท วรวุธยกขาลงจากแท่นหิน ตะโกนส่งเสียงไม่เป็นภาษา ไม่มีใครตอบรับ เสียงของเขาได้แต่ปลุกเหล่านกกาให้บินหนี เขาส่งเสียงไปสองสามรอบจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ เขาลุกขึ้นยืน ฝ่าเท้าสัมผัสกับความหนาว ก้าวไปทีละก้าวด้วยชุดนอนบาง ๆ หนาวจนกอดอก เดินผ่านจากโถงที่นอนอยู่ไปตามทางเดิน มีห้องหินเล็ก ๆ ในอาคารนั้นหลายห้อง แสงสว่างจากธรรมชาติเพิ่มตามทางเดินขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ประตูทางออก เบื้องนอกของอาคารหินนั้นประหลาดยิ่งกว่า มันตั้งอยู่บนหน้าผา ด้านล่างนั้นล้อมด้วยทะเลไกลสุดสายตา เมฆสีดำทะมึน ลมตีรวนทั้งหน้าและตัว อากาศหนาวกว่าในห้องหินสองเท่า
“อะไรเนี่ย” พันตำรวจโท วรวุธพูดกับตนเอง เขาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน บางทีเขาอาจจะฝัน แต่หากนี่คือความฝัน การตระหนักรู้ว่านี่คือความฝันก็มักพาเขาตื่นได้แล้ว แต่นี่เขากลับออกไม่ได้
“ทางนี้ค่า” พันตำรวจโท วรวุธหันไปหาที่มาของเสียง มีใครสักคนยืนอยู่ไกล ๆ ตรงข้าม
“ใคร” เขาเรียกถาม ทว่าเธอที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้ยินหรือย่างไรไม่รู้ เธอโบกมือเรียกเขา พันตำรวจโท วรวุธเดินไปตรงนั้นแม้จะประหลาดใจ
“นี่ที่ไหน” คำถามที่ใครก็อยากรู้ “แล้วทำไมผมมาอยู่ที่นี่ได้”
“ไม่ต้องกังวลนะคะ ใคร ๆ ที่มาก็ต้องถามเรื่องนี้” เด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน ดูสดใส ไม่เข้ากับบรรยากาศตั้งรับพายุแบบนี้เลย เด็กสาวคนนี้ไว้ผมหน้าม้า ส่วนสูงก็ไม่สูงมาก ไม่ใช่หุ่นสาวเสียทีเดียว เสียงแหลมเล็ก ๆ แบบเด็กอายุสิบสี่
เขายังคงถามซ้ำ “ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ ไม่เข้าใจเลย”
“โอเคค่ะ” เด็กสาวเอามือไขว้หลัง “ที่นี่คือปราสาทดันน็อตตาร์ อยู่ตอนใต้ของเมืองแอเบอร์ดีนค่ะ”
“หือ” เมื่อฟังคำตอบเช่นนี้ เขายิ่งไม่เข้าใจมากกว่าเดิม “ผมถูกจับมาหรือ”
เด็กสาวส่ายหน้า “พี่ไม่ได้ถูกจับมาหรอกค่ะ”
“ที่นี่คือหนึ่งในสถานที่อีกมากมายที่ถูกออกแบบไว้ตามที่ผู้สร้างวาดไว้ พี่อยู่ในโลกจำลองซึ่งจะช่วยคุณจากภาวะบางอย่าง”
“ภาวะบางอย่าง” เขาทวนคำพูด
“ค่ะ” เธอพยักหน้า “หนูเองก็ไม่รู้ว่าพี่...พี่หมูใช่ไหมคะ”
“น้องรู้ชื่อเล่นพี่ด้วยหรอ” พันตำรวจโท วรวุธไม่เคยบอกชื่อเล่นให้เด็กสาวฟัง
“ตอนนี้หนูอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายหรือจิตใต้สำนึกของพี่ไปแล้ว” ยิ่งอธิบายนายตำรวจคนนี้ก็ยิ่งสับสน เด็กสาวรู้สึกผิดที่พูดให้ยาก
“ช่างเถอะค่ะ...คือ...หนูก็ไม่รู้ว่าพี่กำลังเผชิญกับอะไรอยู่ แต่ถ้าพี่มาอยู่ในจุดนี้แล้ว...” เธอเห็นอะไรบางอย่างจึงหยุดพูด
“อ้อ” เด็กสาวในชุดฟ้าชี้นิ้ว “รถมารับพวกเราแล้วล่ะค่ะ” พันตำรวจโท วรวุธหันไปด้านหลัง เขาเห็นรถลีมูซีนคันดำแล่นขึ้นมาจากถนนข้างล่าง ผานี้ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว มันเชื่อมติดกับแผ่นดิน รถแล่นเอื่อย ๆ แล้วจอดอยู่หลังขึ้นมาบนผา
“ไปเถอะ” เธอจับมือพันตำรวจโท วรวุธ เขารู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต อาจเป็นเพราะอากาศหนาวทำให้ผิวของพวกเขาแห้ง นายตำรวจประหลาดกับความรู้สึกนี้ แม้เพียงสัมผัสในขณะหนึ่ง มันทำให้จิตของเขาเดินทางอย่างรวดเร็วไปในความทรงจำ เขาไม่แน่ใจว่าครั้งสุดท้ายที่ได้จับมือกับบุคคลเพศตรงข้ามจริง ๆ ที่ไม่ใช่มารดานั้นนานเท่าไหร่แล้ว ถึงจะเป็นเด็กก็ตาม แต่แล้วขณะจิตก็ดึงเขากลับสู่ความจริงอันแปลกประหลาดบนโลกนี้อีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน” เขายั้งตัว เดินตาม “เธอยังอธิบายไม่จบเลยนะ”
“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังเถอะค่ะ” เธอเดินไม่สนใจ “หรือพี่อยากอยู่ที่นี่” รับประกันว่าเขาไม่ชอบที่นี่ เขาจึงเดินไปกับเธอแต่โดยดี ประตูรถเปิดโดยอัตโนมัติ ทั้งสองขึ้นรถ รถแล่นลงจากหน้าผาไปตามถนนเลียบชายฝั่ง
“สรุปแล้วผม...” เขากำลังจะพูด แต่เด็กสาวพูดแทรก “ทะเลสวยมาก” มองผ่านกระจกรถขณะกำลังแล่น บรรยากาศที่ดูเหมือนห่าฝนจะซัดเข้าตอนอยู่หน้าปราสาทหิน กลายเป็นฟ้าสดใส แสงแดดอ่อน ๆ แยกไม่ได้ว่าเช้าหรือเย็นกระทบทะเลและคลื่น
“เดี๋ยวพี่ก็จะรู้ทุกอย่างเอง” ดูเธอเพลิดเพลินกับท้องฟ้าและผืนน้ำจริงจัง
“หนูไม่เคยมาที่นี่เลย ไม่รู้ว่าจะได้มาอีกไหม”
“เธอไม่เคยมาเลยหรอ”
เด็กสาวพยักหน้าก่อนหันกลับมามองหน้า “ทุกที่ที่หนูจะพาพี่ไป หนูก็ไม่เคยไปมาก่อน”
“ไม่ค่อยเข้าใจ พี่นึกว่าน้องเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยว” คิ้วของพันตำรวจโท วรวุธขมวดเข้าหา
“อย่าว่าแต่พี่เลย หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน หนูรู้จักสถานที่ทุกที่บนนี้ รู้ว่าจะต้องเดินทางยังไง แต่หนูแค่ไม่เคยไปมาก่อน”
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาเดินทางต่ออีกสามสิบนาที รถลีมูซีนจอดลงหน้าสถานีรถไฟ มันไม่มีป้ายชื่อ พอลงจากรถ พันตำรวจโท วรวุธยังรู้สึกหนาว เขายังคงใส่ชุดนอนบาง ๆ นั้นอยู่ คนขับรถเป็นชายร่างท้วมสวมสูทดำเต็มยศเดินไปหยิบเสื้อกันหนาวที่เก็บไว้ด้านหลังกระโปรงรถให้ เขารับและสวมใส่ คนขับรถไม่พูดอะไรสักคำ เขายิ้มให้กับทั้งคู่ก่อนจะขึ้นรถและขับออกไป ทิ้งให้นายตำรวจกับเด็กสาวอยู่หน้าสถานี
“เราจะไปไหน” สารวัตรหมูถามอีกครั้ง เด็กสาวไม่พูดอะไร เธอเดินนำหน้า ไม่ได้จับมือเหมือนที่ผ่านมา พันตำรวจโท วรวุธหยุดเดินเพื่อประท้วงในท่าทีเพิกเฉยของเด็กสาว แต่เด็กสาวก็หยุดเดิน หันมาหาเขาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอไม่โกรธหรือขัดข้องที่เขาจะดื้อรั้น นายตำรวจพ่ายแพ้ให้กับรอยยิ้มของเธอ เขาถอนหายใจก่อนเดินตามเข้าไปในสถานีรถไฟที่ยังเปิดทำการอยู่ แค่ไม่มีคน กระทั่งพนักงานขายตั๋ว ที่กั้นระหว่างสถานีและชานชาลารถไฟก็ถูกยกออก ทั้งสองเดินเข้าไปตัวเปล่า ยืนรอรถไฟประมาณห้านาที ก่อนที่รถไฟจะลู่เข้าชานชาลา ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก็คือรถไฟหัวกระสุนสีขาว มีคนขับ แต่ไม่มีคนนั่ง ประตูเปิดออก เด็กสาวจัวมือเขาและเดินเข้าไปในขบวนแรก พวกเขานั่งลงก่อนที่ประตูรถไฟจะปิดและลู่ออกจากชานชาลา เมื่อรถไฟเดินหน้าออกจากชานชาลาประมาณห้านาที พันตำรวจโท วรวุธมองออกไปนอกหน้าต่าง ชายฝั่งติดทะเลที่มีแต่คลื่นและโขดหินกลายเป็นชุมตึกน้อยใหญ่เบียดเสียดภายในพริบตาเดียว มันเป็นความอัศจรรย์ที่เขาได้แต่ประหลาดใจอยู่คนเดียว จากเมืองก็กลายเป็นทุ่งนา มีภูเขาและบ้านเรือนตามรายทาง เด็กสาวไม่ได้สนใจเขาเท่าไรนัก จิตใจของเธอเหม่ออกไปถึงสิ่งที่อยู่ด้านนอก นายตำรวจรู้ดีว่าถึงจะถามอะไรเด็กสาวตอนนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ นั่งอยู่นิ่ง ๆ จะดีกว่า
(มีต่อ)