.
ชัชรินทร์เป็นนักเขียนหน้าใหม่ของสำนักพิมพ์ นอกจากฐานะทางสังคมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหล่อใสอย่างวัยรุ่นสมัยใหม่ รูปร่างสูงโปร่ง หรือแม้กระทั่งสีผิวที่ออกไปทางโทนน้ำตาลไหม้ ก็ล้วนดูดีไม่แพ้ปกรณัมสักนิด
แต่แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกับนักเขียนสักเท่าใดนัก หากเขาผู้นั้นไม่สามารถเขียนงานที่ดีและเป็นที่นิยมออกมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ จะไม่เกิดกับนักเขียนอัจฉริยะ มากฝีมือและไอเดีย อย่างเด็กหนุ่มผู้นี้ เพราะแค่เรื่องแรกโดยฝีมือของเขาที่เขียนออกมา ก็มียอดขายถล่มทลาย แถมพกมาด้วยคำชื่นชมหนาหู จนแม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังแปลกใจ
ตามกฏของสำนักพิมพ์ที่ถูกบัญญัติไว้โดยปกรณัม นักเขียนหน้าใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทุกคน จะต้องเดินทางมาเขียนงานของตนเองที่ออฟฟิศ ด้วยเห็นว่า ทำอย่างนี้จะเป็นผลดีกับตัวนักเขียนเองมากกว่า เนื่องจากจะได้มีสมาธิ และใช้เวลาเต็มที่ไปกับงานเขียนของตัวเอง อีกทั้งยังสามารถคอยชี้แนะกันได้ตลอดเวลาที่ต้องการอีกด้วย
วันนี้เองชัชรินทร์ก็เดินทางมาถึงสำนักพิมพ์แต่เช้าตรู่เหมือนกับทุกๆ วัน แต่แปลกตรงเขาได้ยินเสียงพูดคุย รับรู้ได้ถึงบรรยากาศครึกครื้นผิดไปจากทุกทีมาแต่ไกล
บริษัทแห่งนี้มีธรรมเนียมเรื่องการจัดงานเลี้ยง สำหรับนักเขียนที่ทำยอดขายได้เกินเป้า หรือถูกโหวตจากเพื่อนร่วมงานด้วยกัน ว่าเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ ควรค่าแก่การยกย่อง ซึ่งเห็นอย่างนี้แล้ว ถึงไม่ต้องบอกก็รู้ว่า งานเลี้ยงในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อใคร
นักเขียนทุกคนจึงถูกเชิญให้มาร่วมงานด้วย ถือเป็นการพบปะกันไปในตัว เมื่อเห็นเขาเดินมา ทุกคนต่างเข้ามาห้อมล้อมเพื่อแสดงความยินดี ชื่นชมไม่หยุดปาก บ้างก็ขอแสดงตัวเป็นศิษย์ บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มของทุกคน
ถึงจะมั่นใจในฝีมือ แต่เขาก็ไม่คิดว่านิยายจะขายดีขนาดนี้ แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน แถมยังไม่ทันคิดอีกว่าพี่ ๆ จะจัดเซอร์ไพรส์ให้ในวันนี้ ทราบว่ามันเป็นธรรมเนียม แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ จึงไม่ได้เตรียมตัวมาเลยสักนิด
งานเขียนของเขาเป็นแนวนิยายจีนกำลังภายใน ด้วยเนื้อเรื่องลึกล้ำสุดพิศดาร เทคนิคการเขียนบรรยายทั้งวิจิตร อ่อนช้อย และ หนักแน่น ผสมกลมกลืนอย่างลงตัว ดุจดั่งลีลาตวัดปลายพู่กันจีนบนผืนกระดาษ
ดังนั้นไม่ว่าใครที่ได้อ่านงานของเขา ต่างก็ต้องยอมยกนิ้วให้กับฝีมืออันฉกาจฉกรรจ์ของเขา ถือว่าเขาผู้นี้เป็นเพชรเม็ดงามอีกเม็ด ที่สำนักพิมพ์ค้นพบ และ เฝ้าฟูมฟักกันมากเลยทีเดียว
นึกขัดใจนิด ๆ ที่ยังไม่เจอหน้าของใครบางคน ตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในสำนักพิมพ์ โปรยยิ้มทักทายเพื่อนนักเขียนด้วยกันไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ภายในใจมันหวิว ๆ สายตามองไปรอบ ๆ ไม่เห็นคนที่คุ้นตา วันนี้มาลีคงไม่เข้าออฟฟิศ หรือ มาสายกันแน่ ภาวนาขอให้เป็นอย่างหลังมากกว่า
มันรู้สึกน้อยใจไม่น้อยเหมือนกัน ไม่คิดจะมาแสดงความยินดีให้กันบ้างเลยหรือ นักเขียนที่มาพร้อมกัน เจอกันทุกวัน สนิทกันกว่าใคร ๆ ทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น
“คิดจะหยุดไม่บอกกันบ้างเลยนะแม่คุณ” บ่นพึมพำถึงสาวร่างบางนัยน์ตากลมโตคู่นั้น ใบหน้าของสาวเจ้าลอยเข้ามาในหัว เม้มปากยิ้มนิดหน่อยเมื่อนึกถึง ก่อนจะขอตัวไปจากกลุ่มพี่ ๆ นักเขียนเพื่อกลับโต๊ะทำงาน ระหว่างนั้นปกรณัมเดินมาทางนี้พอดี
“เก่งมากคุณชัช สำนักพิมพ์ของผมโชคดีมากเลยนะครับที่ได้คุณมาร่วมงาน สุดยอด ต่อไปคงไม่ต้องบอกว่าเป็นนักเขียนฝึกหัดแล้ว และ คงไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวันแล้วละมั้ง” ปกรณัมหยุดทักทาย พร้อมชูหัวแม่มือให้
เขามีท่าทีเลิ่กลั่กกับคำว่า คงไม่ต้องมาทุกวันอีกแล้วของเจ้าของสำนักพิมพ์ อยากปฏิเสธ เพื่อจะได้มาเจอกับมาลี แม้เจอกันคราวใดเป็นต้องโดนล้อประจำก็ยอม กลับรู้สึกพอใจที่โดนแบบนั้น มันทำให้ได้พูดคุยและได้ใกล้ชิดกับหล่อนมากขึ้นต่างหาก
“ขอบคุณครับคุณกร ที่จริงไม่จำเป็นต้องทำให้ผมขนาดนี้ก็ได้ครับ” ชัชรินทร์พูดถ่อมตน
“คนทำดี ก็ต้องได้รับคำชื่นชม ได้รับผลตอบแทนความพยายามสิ” ปกรณัมพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่จริงใจเผยออกมาให้สัมผัส คนที่ประสบความสำเร็จ ย่อมได้รับการตอบแทนแบบนี้จากปกรณัมเสมอ
ชัชรินทร์รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ปกรณัมให้เกียรติจัดงานขอบคุณ ผงกศีรษะน้อมรับ “และก็เรื่องเข้ามาสำนักพิมพ์ ผมยังอยากมาครับคุณกร ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมายครับ” นี่คือข้ออ้างเท่าที่เขาจะคิดออก
“งั้นก็ตามสบายครับ แล้วแต่คุณชัชเลยถ้าไม่ขี้เกียจ ขอตัวนะครับ” แล้วปกรณัมก็เดินจากไป
“นายแน่มากน้องสัตว์ เอ้ย! น้องชัช ตีพิมพ์นิยายเพียงสองเดือนก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด” เอกอนันต์เดินมาพูดเย้าแหย่เพื่อแสดงความยินดีอีกคน คุกเข่าลงยกมือทำท่าคารวะท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคนที่มองมา
ทันใดนั้นกีกี้สาวมั่นแถมยังโสด เดินมาขัดจังหวะทั้งสองคน ปรี่เข้าสวมกอดท่อนแขนของชายหนุ่มแบบแนบเนียน “คุณเอกเขนก” ตั้งใจออกเสียงเพี้ยนเพื่ออยากแกล้ง
“เอกอนันต์ครับเจ้” เจ้าของชื่อแย้ง
“ยะคุณเอกอนันต์ คนมันมีพรสวรรค์คุณเข้าใจมั้ย ของคุณน่ะพิมพ์ไปกี่เรื่องขายได้กี่เล่มคะ เขียนมากี่ปีแล้ว ไม่เหมือนน้องชัชของพี่กี้เลยเนอะ” พูดลอยหน้าลอยตา กระแนะกระแหนให้กับเอกอนันต์ ทว่าทำสายตาหยาดเยิ้มให้กับชายรุ่นน้องที่ตนเกาะแขนอยู่
“นี่ยายป้าน้อย ๆ หน่อย ปล่อยแขนน้องชัชได้แล้ว รักนวลสงวนตัวบ้าง ของป้าก็เหมือนกันแหละ พิมพ์มากี่เรื่อง แต่ละเรื่องขายได้กี่เล่มครับ” กีกี้โดนเอกอนันต์ค้อนกลับ สองเกลอยืนเถียงกันต่อหน้านักเขียนหนุ่ม เป็นบุคคลสร้างเสียงหัวเราะให้กับที่นี่ได้เป็นอย่างดี เมื่อใดก็ตามที่ได้เข้ามาสำนักพิมพ์
ขณะยืนคุยกับสองรุ่นพี่ เขาก็ยังแอบชำเลืองมองหามาลีอยู่เป็นระยะ สนทนากับทั้งสองคน แต่ในใจกลับร้อนรุ่ม นึกเข้าข้างตนเองว่าถึงอย่างไรมาลีก็ต้องมาแน่ พอคิดแบบนั้นก็ทำให้โล่งใจขึ้นมาได้บ้าง
หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือว่ามาลีขอลาหยุด เขาคิดไปต่าง ๆ นานา ยืนคุยกับสองรุ่นพี่พอหอมปากหอมคอ จึงขอตัวเดินจากไป ปล่อยให้ทั้งสองคนทะเลาะกันต่อ
มาถึงโต๊ะทำงานตอนนี้เขายังไม่อยากเขียนนิยายส่งปกรณัม ด้วยใจที่ว้าวุ่นคิดถึงมาลี ป่านนี้แล้วยังไม่มา เลยเวลางานไปเกือบจะชั่วโมงแล้ว ปกติมาสายแบบนี้เสียที่ไหน ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ วันนี้คงไม่ได้เจอหน้ากัน
วันนี้ไหน ๆ ที่สำนักพิมพ์ก็จัดงาน จึงถือโอกาสอู้งานพักผ่อนไปในตัวเสียเลย เขาจึงเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเข้าเว็บไซต์หาอ่านนิยายฟรี ไล่ดูชื่อเรื่องแต่ละเรื่อง ไปสะดุดตาเข้ากับชื่อนิยายและนามปากกาของใครคนหนึ่ง
‘บี๋แอนด์บี๋ โดย เมอร์ริเดียน’
ขำพรืดออกมาอย่างลืมตัวให้กับนามปากกาของคนเขียน นึกชมที่เข้าใจตั้งชื่อ “ดูท่าจะชอบเหล้ายี่ห้อนี่มากแฮะ” พูดลอย ๆ มือก็คลิกเม้าส์เปิดอ่านนิยายเรื่องนี้ไปด้วย “เดี๋ยวเจอผมชายสี่สิบดีกรี” พูดแซวเจ้าของเรื่องที่เปิดอ่าน
เขาค่อย ๆ ไล่อ่านที่ละบรรทัด อ่านยังไม่ทันจบย่อหน้าแรกเลยด้วยซ้ำ ใครบางคนก็เข้ามาทักทาย ทำให้ต้องรีบปิดหน้าจอคอมพ์ลงในทันที นาทีแรกที่เห็นว่าเป็นใคร ทำเอาลืมตัวยิ้มแก้มปริ ก่อนจะรู้สึกตัวกลับมาทำตัวปกติเช่นเดิม ถึงกระนั้นก็เก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่ โดนจับได้จนได้
“ยินดีด้วยนะคะ คุณชอชอรอคนเก่ง”
ชอชอรอ คือ นามปากกาของชัชรินทร์เอง แขกผู้มาเยือนก็คือมาลี “เก่งจังลูกศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์” พูดพร้อมยกมือขึ้นคารวะฉีกยิ้มให้กับเขา รอยยิ้มและนัยน์ตากลมโตคู่นั้นที่มองมา มันบ่งบอกว่ากำลังนึกถึงเรื่องวันนั้นอยู่ วันนี้คงโดนล้ออีกตามเคย
“เห็นโมมาทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นคะ” มาลีแซว นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นของเขาดูเป็นประกาย บอกว่ากำลังตื่นเต้นที่สุดในขณะนี้
“เปล่าครับ เอ่อ… คุณโมก็ชมผมเกินไปครับ มันฟลุ๊กเฉย ๆ หรอกน่า ณเวฬาก็เก่งเหมือนกันนะครับ”
ณเวฬา ที่ชัชรินทร์เอ่ยถึง ก็คือนามปากกาของมาลี
“เก่งอะไรคะ โมแก้ต้นฉบับไปสองรอบแล้ว ดีแค่ไหนที่คุณกรไม่โยนลงถังขยะอะ” มาลีค่อนขอดไปถึงบุคคลที่สาม แววตาเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าแว่บเดียวก็กลับมาเริงร่าเหมือนเดิม “ว่าแต่เมื่อกี้โมเห็นคุณชัชดูอะไรอยู่เหรอคะ ความลับเหรอ เห็นโมมารีบปิดเชียวนะ อืมม์ เว็บไซต์อย่างว่าเหรอคะ” มาลีพูดกลั้วหัวเราะ
“เฮ้ย! เปล่าครับคุณโม นี่คุณโมห้ามคิดแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะครับ ผมก็แค่หาอะไรอ่านไปเรื่อยพักสมองบ้างน่ะครับ จริง ๆ” เขารีบปฏิเสธ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น
“แหม… เสียงสูงเชียวนะคะ จริงอะ” มาลีแกล้งย้ำ พร้อมทำเป็นมองสายตาต่ำลงไปนิดหน่อย ทำให้ชัชรินทร์ต้องรีบหุบขา ก้มหน้ามองตามด้วยความระแวง เธอหัวเราะใหญ่ ชอบใจที่แกล้งเพื่อนร่วมงานได้ “อะไรกันคุณชัช”
“ปะ เปล่าครับ” ปฏิเสธแต่ว่าเขินหน้าแดงไปแล้ว ทุกวันที่เจอกัน มาลีมักจะแกล้งเขาแบบนี้ประจำ และวันนี้ก็ไม่รอดพ้นไปได้
“วันหลังโมต้องมาเรียนวิชากับคุณชัชซะแล้วล่ะ จะได้เขียนเก่ง ๆ ได้เขียนสนุกน่าอ่านแบบคุณชอชอรอบ้าง ยินดีด้วยนะคะ สุดยอดพระเจ้าค่ะ โมขอตัวนะคะ” พูดคุยพอหอมปากหอมคอแล้ว มาลีก็ขอตัวเอ่ยลากลับโต๊ะทำงาน
“ครับ ขอบคุณครับคุณโม”
“คุณชัช” ก่อนจากไป มาลีมิวายหันมาแกล้งชัชรินทร์อีก พูดเป็นเสียงกระซิบกระซาบเบา ๆ “ยังชอบสีแดงอ่อนอยู่มั้ยคะ” พูดพร้อมหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินจากไป ไม่สนใจคนโดนล้อว่าจะเขินหน้าแดง หรือจะโกรธอะไรเลย
ชัชรินทร์เขินจนพูดอะไรไม่ออก ยกมือเกาศีรษะแก้เขิน ยิ้มให้กับร่างอรชรที่เดินจากไป มองตามมาลีไปจนสุดสายตา เธอมีบางอย่างที่ดึงดูดให้สนใจตลอดเวลาที่ได้เจอกัน
ย้อนกลับไปเมื่อเจอกับมาลีครั้งแรก เรื่องราวที่เขาทำขายหน้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนมาสัมภาษณ์เป็นนักเขียน ทั้งเขาและเธอมาถึงสำนักพิมพ์พร้อมกัน แต่ว่าเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มาลีชี้มือไปที่เป้ากางเกงของเขา โดยที่เจ้าหล่อนก็ไม่ได้เขินอายเลยสักนิด ไม่เหมือนผู้หญิงในละครที่ต้องทำเป็นขวยเขินเมื่อเจอเรื่องแบบนั้น
“คุณลืมรูดซิปกางเกงค่ะ” มาลีกล่าว แกล้งเอามือป้องปากหันหน้าไปอีกทาง เปิดโอกาสให้ชัชรินทร์ได้เก็บให้เรียบร้อย “สีแดงอ่อนสบายตาดีนะคะ” เมื่อหันกลับมาก็แซวให้เสียเลย เห็นเขาเขินหน้าแดงนั่นแหละ ถึงได้แกล้งไปอย่างนั้น
วันนั้นเขาต้องรีบลนลานรูดซิปให้เร็ว ปิดเป้ากางเกงให้สนิท และ ทำเอาเสียสมาธิเป็นอย่างมาก ยังดีที่สัมภาษณ์เสร็จก่อนเกิดเรื่อง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีสมาธิ นึกดูแล้วทั้งขำทั้งเขิน ทว่าเรื่องราวในวันนั้นกลับทำให้ทั้งเขาและเธอสนิทกันโดยปริยาย
เมื่อได้สัมผัสกับรอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะ เมื่อได้มองดวงตากลมโตคู่นั้นแล้ว มันมีความสุขที่สุด ทำให้มีแรงฮึกเหิมในการเขียนนิยาย อยากเข้าออฟฟิศทุกวัน เรื่องที่เขาประสบความสำเร็จในตอนนี้ มาลีเองก็มีส่วน เพียงแต่เจ้าตัวไม่รู้เพราะไม่ได้บอกเรื่องแรงบันดาลใจนี้กับใคร
จบบทที่ 2
https://ppantip.com/topic/41463024…….. บทที่ 1
รักที่ปลิดปลิว (2)
.
ชัชรินทร์เป็นนักเขียนหน้าใหม่ของสำนักพิมพ์ นอกจากฐานะทางสังคมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหล่อใสอย่างวัยรุ่นสมัยใหม่ รูปร่างสูงโปร่ง หรือแม้กระทั่งสีผิวที่ออกไปทางโทนน้ำตาลไหม้ ก็ล้วนดูดีไม่แพ้ปกรณัมสักนิด
แต่แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกับนักเขียนสักเท่าใดนัก หากเขาผู้นั้นไม่สามารถเขียนงานที่ดีและเป็นที่นิยมออกมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ จะไม่เกิดกับนักเขียนอัจฉริยะ มากฝีมือและไอเดีย อย่างเด็กหนุ่มผู้นี้ เพราะแค่เรื่องแรกโดยฝีมือของเขาที่เขียนออกมา ก็มียอดขายถล่มทลาย แถมพกมาด้วยคำชื่นชมหนาหู จนแม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังแปลกใจ
ตามกฏของสำนักพิมพ์ที่ถูกบัญญัติไว้โดยปกรณัม นักเขียนหน้าใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทุกคน จะต้องเดินทางมาเขียนงานของตนเองที่ออฟฟิศ ด้วยเห็นว่า ทำอย่างนี้จะเป็นผลดีกับตัวนักเขียนเองมากกว่า เนื่องจากจะได้มีสมาธิ และใช้เวลาเต็มที่ไปกับงานเขียนของตัวเอง อีกทั้งยังสามารถคอยชี้แนะกันได้ตลอดเวลาที่ต้องการอีกด้วย
วันนี้เองชัชรินทร์ก็เดินทางมาถึงสำนักพิมพ์แต่เช้าตรู่เหมือนกับทุกๆ วัน แต่แปลกตรงเขาได้ยินเสียงพูดคุย รับรู้ได้ถึงบรรยากาศครึกครื้นผิดไปจากทุกทีมาแต่ไกล
บริษัทแห่งนี้มีธรรมเนียมเรื่องการจัดงานเลี้ยง สำหรับนักเขียนที่ทำยอดขายได้เกินเป้า หรือถูกโหวตจากเพื่อนร่วมงานด้วยกัน ว่าเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ ควรค่าแก่การยกย่อง ซึ่งเห็นอย่างนี้แล้ว ถึงไม่ต้องบอกก็รู้ว่า งานเลี้ยงในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อใคร
นักเขียนทุกคนจึงถูกเชิญให้มาร่วมงานด้วย ถือเป็นการพบปะกันไปในตัว เมื่อเห็นเขาเดินมา ทุกคนต่างเข้ามาห้อมล้อมเพื่อแสดงความยินดี ชื่นชมไม่หยุดปาก บ้างก็ขอแสดงตัวเป็นศิษย์ บรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มของทุกคน
ถึงจะมั่นใจในฝีมือ แต่เขาก็ไม่คิดว่านิยายจะขายดีขนาดนี้ แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน แถมยังไม่ทันคิดอีกว่าพี่ ๆ จะจัดเซอร์ไพรส์ให้ในวันนี้ ทราบว่ามันเป็นธรรมเนียม แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ จึงไม่ได้เตรียมตัวมาเลยสักนิด
งานเขียนของเขาเป็นแนวนิยายจีนกำลังภายใน ด้วยเนื้อเรื่องลึกล้ำสุดพิศดาร เทคนิคการเขียนบรรยายทั้งวิจิตร อ่อนช้อย และ หนักแน่น ผสมกลมกลืนอย่างลงตัว ดุจดั่งลีลาตวัดปลายพู่กันจีนบนผืนกระดาษ
ดังนั้นไม่ว่าใครที่ได้อ่านงานของเขา ต่างก็ต้องยอมยกนิ้วให้กับฝีมืออันฉกาจฉกรรจ์ของเขา ถือว่าเขาผู้นี้เป็นเพชรเม็ดงามอีกเม็ด ที่สำนักพิมพ์ค้นพบ และ เฝ้าฟูมฟักกันมากเลยทีเดียว
นึกขัดใจนิด ๆ ที่ยังไม่เจอหน้าของใครบางคน ตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในสำนักพิมพ์ โปรยยิ้มทักทายเพื่อนนักเขียนด้วยกันไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ภายในใจมันหวิว ๆ สายตามองไปรอบ ๆ ไม่เห็นคนที่คุ้นตา วันนี้มาลีคงไม่เข้าออฟฟิศ หรือ มาสายกันแน่ ภาวนาขอให้เป็นอย่างหลังมากกว่า
มันรู้สึกน้อยใจไม่น้อยเหมือนกัน ไม่คิดจะมาแสดงความยินดีให้กันบ้างเลยหรือ นักเขียนที่มาพร้อมกัน เจอกันทุกวัน สนิทกันกว่าใคร ๆ ทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น
“คิดจะหยุดไม่บอกกันบ้างเลยนะแม่คุณ” บ่นพึมพำถึงสาวร่างบางนัยน์ตากลมโตคู่นั้น ใบหน้าของสาวเจ้าลอยเข้ามาในหัว เม้มปากยิ้มนิดหน่อยเมื่อนึกถึง ก่อนจะขอตัวไปจากกลุ่มพี่ ๆ นักเขียนเพื่อกลับโต๊ะทำงาน ระหว่างนั้นปกรณัมเดินมาทางนี้พอดี
“เก่งมากคุณชัช สำนักพิมพ์ของผมโชคดีมากเลยนะครับที่ได้คุณมาร่วมงาน สุดยอด ต่อไปคงไม่ต้องบอกว่าเป็นนักเขียนฝึกหัดแล้ว และ คงไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวันแล้วละมั้ง” ปกรณัมหยุดทักทาย พร้อมชูหัวแม่มือให้
เขามีท่าทีเลิ่กลั่กกับคำว่า คงไม่ต้องมาทุกวันอีกแล้วของเจ้าของสำนักพิมพ์ อยากปฏิเสธ เพื่อจะได้มาเจอกับมาลี แม้เจอกันคราวใดเป็นต้องโดนล้อประจำก็ยอม กลับรู้สึกพอใจที่โดนแบบนั้น มันทำให้ได้พูดคุยและได้ใกล้ชิดกับหล่อนมากขึ้นต่างหาก
“ขอบคุณครับคุณกร ที่จริงไม่จำเป็นต้องทำให้ผมขนาดนี้ก็ได้ครับ” ชัชรินทร์พูดถ่อมตน
“คนทำดี ก็ต้องได้รับคำชื่นชม ได้รับผลตอบแทนความพยายามสิ” ปกรณัมพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่จริงใจเผยออกมาให้สัมผัส คนที่ประสบความสำเร็จ ย่อมได้รับการตอบแทนแบบนี้จากปกรณัมเสมอ
ชัชรินทร์รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ปกรณัมให้เกียรติจัดงานขอบคุณ ผงกศีรษะน้อมรับ “และก็เรื่องเข้ามาสำนักพิมพ์ ผมยังอยากมาครับคุณกร ผมยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมายครับ” นี่คือข้ออ้างเท่าที่เขาจะคิดออก
“งั้นก็ตามสบายครับ แล้วแต่คุณชัชเลยถ้าไม่ขี้เกียจ ขอตัวนะครับ” แล้วปกรณัมก็เดินจากไป
“นายแน่มากน้องสัตว์ เอ้ย! น้องชัช ตีพิมพ์นิยายเพียงสองเดือนก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด” เอกอนันต์เดินมาพูดเย้าแหย่เพื่อแสดงความยินดีอีกคน คุกเข่าลงยกมือทำท่าคารวะท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคนที่มองมา
ทันใดนั้นกีกี้สาวมั่นแถมยังโสด เดินมาขัดจังหวะทั้งสองคน ปรี่เข้าสวมกอดท่อนแขนของชายหนุ่มแบบแนบเนียน “คุณเอกเขนก” ตั้งใจออกเสียงเพี้ยนเพื่ออยากแกล้ง
“เอกอนันต์ครับเจ้” เจ้าของชื่อแย้ง
“ยะคุณเอกอนันต์ คนมันมีพรสวรรค์คุณเข้าใจมั้ย ของคุณน่ะพิมพ์ไปกี่เรื่องขายได้กี่เล่มคะ เขียนมากี่ปีแล้ว ไม่เหมือนน้องชัชของพี่กี้เลยเนอะ” พูดลอยหน้าลอยตา กระแนะกระแหนให้กับเอกอนันต์ ทว่าทำสายตาหยาดเยิ้มให้กับชายรุ่นน้องที่ตนเกาะแขนอยู่
“นี่ยายป้าน้อย ๆ หน่อย ปล่อยแขนน้องชัชได้แล้ว รักนวลสงวนตัวบ้าง ของป้าก็เหมือนกันแหละ พิมพ์มากี่เรื่อง แต่ละเรื่องขายได้กี่เล่มครับ” กีกี้โดนเอกอนันต์ค้อนกลับ สองเกลอยืนเถียงกันต่อหน้านักเขียนหนุ่ม เป็นบุคคลสร้างเสียงหัวเราะให้กับที่นี่ได้เป็นอย่างดี เมื่อใดก็ตามที่ได้เข้ามาสำนักพิมพ์
ขณะยืนคุยกับสองรุ่นพี่ เขาก็ยังแอบชำเลืองมองหามาลีอยู่เป็นระยะ สนทนากับทั้งสองคน แต่ในใจกลับร้อนรุ่ม นึกเข้าข้างตนเองว่าถึงอย่างไรมาลีก็ต้องมาแน่ พอคิดแบบนั้นก็ทำให้โล่งใจขึ้นมาได้บ้าง
หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือว่ามาลีขอลาหยุด เขาคิดไปต่าง ๆ นานา ยืนคุยกับสองรุ่นพี่พอหอมปากหอมคอ จึงขอตัวเดินจากไป ปล่อยให้ทั้งสองคนทะเลาะกันต่อ
มาถึงโต๊ะทำงานตอนนี้เขายังไม่อยากเขียนนิยายส่งปกรณัม ด้วยใจที่ว้าวุ่นคิดถึงมาลี ป่านนี้แล้วยังไม่มา เลยเวลางานไปเกือบจะชั่วโมงแล้ว ปกติมาสายแบบนี้เสียที่ไหน ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ วันนี้คงไม่ได้เจอหน้ากัน
วันนี้ไหน ๆ ที่สำนักพิมพ์ก็จัดงาน จึงถือโอกาสอู้งานพักผ่อนไปในตัวเสียเลย เขาจึงเปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเข้าเว็บไซต์หาอ่านนิยายฟรี ไล่ดูชื่อเรื่องแต่ละเรื่อง ไปสะดุดตาเข้ากับชื่อนิยายและนามปากกาของใครคนหนึ่ง
‘บี๋แอนด์บี๋ โดย เมอร์ริเดียน’
ขำพรืดออกมาอย่างลืมตัวให้กับนามปากกาของคนเขียน นึกชมที่เข้าใจตั้งชื่อ “ดูท่าจะชอบเหล้ายี่ห้อนี่มากแฮะ” พูดลอย ๆ มือก็คลิกเม้าส์เปิดอ่านนิยายเรื่องนี้ไปด้วย “เดี๋ยวเจอผมชายสี่สิบดีกรี” พูดแซวเจ้าของเรื่องที่เปิดอ่าน
เขาค่อย ๆ ไล่อ่านที่ละบรรทัด อ่านยังไม่ทันจบย่อหน้าแรกเลยด้วยซ้ำ ใครบางคนก็เข้ามาทักทาย ทำให้ต้องรีบปิดหน้าจอคอมพ์ลงในทันที นาทีแรกที่เห็นว่าเป็นใคร ทำเอาลืมตัวยิ้มแก้มปริ ก่อนจะรู้สึกตัวกลับมาทำตัวปกติเช่นเดิม ถึงกระนั้นก็เก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่ โดนจับได้จนได้
“ยินดีด้วยนะคะ คุณชอชอรอคนเก่ง” ชอชอรอ คือ นามปากกาของชัชรินทร์เอง แขกผู้มาเยือนก็คือมาลี “เก่งจังลูกศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์” พูดพร้อมยกมือขึ้นคารวะฉีกยิ้มให้กับเขา รอยยิ้มและนัยน์ตากลมโตคู่นั้นที่มองมา มันบ่งบอกว่ากำลังนึกถึงเรื่องวันนั้นอยู่ วันนี้คงโดนล้ออีกตามเคย
“เห็นโมมาทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นคะ” มาลีแซว นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นของเขาดูเป็นประกาย บอกว่ากำลังตื่นเต้นที่สุดในขณะนี้
“เปล่าครับ เอ่อ… คุณโมก็ชมผมเกินไปครับ มันฟลุ๊กเฉย ๆ หรอกน่า ณเวฬาก็เก่งเหมือนกันนะครับ” ณเวฬา ที่ชัชรินทร์เอ่ยถึง ก็คือนามปากกาของมาลี
“เก่งอะไรคะ โมแก้ต้นฉบับไปสองรอบแล้ว ดีแค่ไหนที่คุณกรไม่โยนลงถังขยะอะ” มาลีค่อนขอดไปถึงบุคคลที่สาม แววตาเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าแว่บเดียวก็กลับมาเริงร่าเหมือนเดิม “ว่าแต่เมื่อกี้โมเห็นคุณชัชดูอะไรอยู่เหรอคะ ความลับเหรอ เห็นโมมารีบปิดเชียวนะ อืมม์ เว็บไซต์อย่างว่าเหรอคะ” มาลีพูดกลั้วหัวเราะ
“เฮ้ย! เปล่าครับคุณโม นี่คุณโมห้ามคิดแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะครับ ผมก็แค่หาอะไรอ่านไปเรื่อยพักสมองบ้างน่ะครับ จริง ๆ” เขารีบปฏิเสธ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น
“แหม… เสียงสูงเชียวนะคะ จริงอะ” มาลีแกล้งย้ำ พร้อมทำเป็นมองสายตาต่ำลงไปนิดหน่อย ทำให้ชัชรินทร์ต้องรีบหุบขา ก้มหน้ามองตามด้วยความระแวง เธอหัวเราะใหญ่ ชอบใจที่แกล้งเพื่อนร่วมงานได้ “อะไรกันคุณชัช”
“ปะ เปล่าครับ” ปฏิเสธแต่ว่าเขินหน้าแดงไปแล้ว ทุกวันที่เจอกัน มาลีมักจะแกล้งเขาแบบนี้ประจำ และวันนี้ก็ไม่รอดพ้นไปได้
“วันหลังโมต้องมาเรียนวิชากับคุณชัชซะแล้วล่ะ จะได้เขียนเก่ง ๆ ได้เขียนสนุกน่าอ่านแบบคุณชอชอรอบ้าง ยินดีด้วยนะคะ สุดยอดพระเจ้าค่ะ โมขอตัวนะคะ” พูดคุยพอหอมปากหอมคอแล้ว มาลีก็ขอตัวเอ่ยลากลับโต๊ะทำงาน
“ครับ ขอบคุณครับคุณโม”
“คุณชัช” ก่อนจากไป มาลีมิวายหันมาแกล้งชัชรินทร์อีก พูดเป็นเสียงกระซิบกระซาบเบา ๆ “ยังชอบสีแดงอ่อนอยู่มั้ยคะ” พูดพร้อมหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินจากไป ไม่สนใจคนโดนล้อว่าจะเขินหน้าแดง หรือจะโกรธอะไรเลย
ชัชรินทร์เขินจนพูดอะไรไม่ออก ยกมือเกาศีรษะแก้เขิน ยิ้มให้กับร่างอรชรที่เดินจากไป มองตามมาลีไปจนสุดสายตา เธอมีบางอย่างที่ดึงดูดให้สนใจตลอดเวลาที่ได้เจอกัน
ย้อนกลับไปเมื่อเจอกับมาลีครั้งแรก เรื่องราวที่เขาทำขายหน้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนมาสัมภาษณ์เป็นนักเขียน ทั้งเขาและเธอมาถึงสำนักพิมพ์พร้อมกัน แต่ว่าเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มาลีชี้มือไปที่เป้ากางเกงของเขา โดยที่เจ้าหล่อนก็ไม่ได้เขินอายเลยสักนิด ไม่เหมือนผู้หญิงในละครที่ต้องทำเป็นขวยเขินเมื่อเจอเรื่องแบบนั้น
“คุณลืมรูดซิปกางเกงค่ะ” มาลีกล่าว แกล้งเอามือป้องปากหันหน้าไปอีกทาง เปิดโอกาสให้ชัชรินทร์ได้เก็บให้เรียบร้อย “สีแดงอ่อนสบายตาดีนะคะ” เมื่อหันกลับมาก็แซวให้เสียเลย เห็นเขาเขินหน้าแดงนั่นแหละ ถึงได้แกล้งไปอย่างนั้น
วันนั้นเขาต้องรีบลนลานรูดซิปให้เร็ว ปิดเป้ากางเกงให้สนิท และ ทำเอาเสียสมาธิเป็นอย่างมาก ยังดีที่สัมภาษณ์เสร็จก่อนเกิดเรื่อง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีสมาธิ นึกดูแล้วทั้งขำทั้งเขิน ทว่าเรื่องราวในวันนั้นกลับทำให้ทั้งเขาและเธอสนิทกันโดยปริยาย
เมื่อได้สัมผัสกับรอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะ เมื่อได้มองดวงตากลมโตคู่นั้นแล้ว มันมีความสุขที่สุด ทำให้มีแรงฮึกเหิมในการเขียนนิยาย อยากเข้าออฟฟิศทุกวัน เรื่องที่เขาประสบความสำเร็จในตอนนี้ มาลีเองก็มีส่วน เพียงแต่เจ้าตัวไม่รู้เพราะไม่ได้บอกเรื่องแรงบันดาลใจนี้กับใคร
จบบทที่ 2
https://ppantip.com/topic/41463024…….. บทที่ 1