108 คำถามเกี่ยวกับกลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ PCOS (Polycystic ovary syndrome)
สวัสดีครับ เพื่อน ๆ หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับกลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ PCOS บางคนอาจมีภาวะนี้แต่ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไร เกิดจากอะไร จะต้องดูแลตัวเองและรักษาอย่างไร วันนี้พี่หมอมีคำตอบมาให้เพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ PCOS พร้อม ๆ กันเลยนะครับ
1. PCOS คืออะไร ❓
PCOS (Polycystic ovarian syndrome) หรือกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ เป็นภาวะที่มีความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ โดยลักษณะของกลุ่มอาการนี้จะมีอาการหลายอย่างร่วมกัน เช่น มีอาการแสดงของฮอร์โมนเพศชายเกิน ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรังทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานมากขึ้นในอนาคตด้วยครับ
2. สาเหตุของ PCOS คืออะไร
ปัจจุบันเรายังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของ PCOS ครับ แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายกลไกซึ่งมีผลสืบเนื่องเกี่ยวพันกัน
3. ใครที่มีความเสี่ยงเป็น PCOS ⁉️
พบได้ประมาณร้อยละ 10-20 ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ และพบได้มากขึ้นในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วน
4. กรรมพันธุ์เกี่ยวกับการเกิดโรค PCOS หรือไม่
จากการศึกษาพบว่า พันธุกรรมอาจมีส่วนทำให้เกิดโรคได้มากขึ้นครับ โดยพบว่าถ้ามีประวัติในครอบครัวโดยเฉพาะในญาติสายตรง (เช่น แม่ ลูก พี่น้อง) เป็น PCOS สตรีวัยเจริญพันธุ์ในครอบครัวนั้นมีโอกาสเป็น PCOS มากกว่าคนทั่วไป ซึ่งสาเหตุทางพันธุกรรมพบว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีน (gene) ส่งผลทำให้มีการทำงานของเอนไซม์ (enzyme) ที่ผิดปกติไป และมีการถ่ายทอดพันธุกรรมแบบ X-linked dominant (ตรงนี้ต้องริ้อฟื้นความรู้เรื่องยีนกันนิดนึงนะครับเพื่อน ๆ 555)
5. ทำไมผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ประจำเดือนมาไม่ปกติจึงมีความเสี่ยงเป็น PCOS 🤔
ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกิน หรือภาวะอ้วน โดยเฉพาะคนที่มีลักษณะอ้วนลงพุง จะมีการสะสมไขมันในบริเวณผนังหน้าท้องและในช่องท้องมากกว่าที่อื่น ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้ออินซูลิน และความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานมากขึ้นกว่าสตรีที่มีรูปร่างปกติครับ นอกจากนี้ยังพบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติของการสร้างฮอร์โมน ทำให้รังไข่มีการผลิตฮอร์โมนเพศชายมากขึ้นกว่าปกติ ประจำเดือนมาผิดปกติ จึงเป็นสาเหตุของการเกิดโรค PCOS ได้ด้วยนะครับ
6. อาการใดที่น่าสงสัยว่าเป็น PCOS ❓
อาการแสดงของ PCOS จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยหากเพื่อน ๆ มีอาการผิดปกติเหล่านี้ควรไปปรึกษาแพทย์
1. ประจำเดือนมาผิดปกติ เช่น ประจำเดือนไม่มาติดต่อกันนานหลายเดือน ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนมานานและอาจมามากหรือน้อยผิดปกติ
2. มีอาการแสดงของฮอร์โมนเพศชายเกิน เช่น มีสิวมาก หน้ามัน ขนดก ศีรษะล้าน ผมบาง มีลักษณะกล้ามเนื้อแบบเพศชาย หรือเสียงแหบแบบเพศชาย เป็นต้น
3. ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน หรือตรวจพบภาวะเบาหวาน
4. ภาวะมีบุตรยาก
5. ตรวจอัลตร้าซาวด์พบถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (Polycystic ovaries)
7. ควรตรวจหา PCOS เป็นประจำหรือไม่ / ควรตรวจเมื่อใด
ในปัจจุบันไม่ได้มีคำแนะนำให้ตรวจคัดกรองโรค PCOS เป็นประจำทุกปี แต่ในผู้หญิงที่มีอาการผิดปกติ หรือสงสัยภาวะ PCOS ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมครับ
8. การวินิจฉัย PCOS ทำได้อย่างไร
การตรวจวินิจฉัย PCOS นั้น จะใช้ข้อมูลทั้งจากการซักประวัติอาการผู้ป่วยอย่างละเอียด การตรวจร่างกาย การทำอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อประเมินถุงน้ำรังไข่
การตรวจเลือด เพื่อวัดระดับฮอร์โมนเพศ ระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงตรวจวัดระดับไขมันในเลือดด้วยครับ
9. การรักษา PCOS มีวิธีใดบ้าง
การรักษาโรค PCOS นั้นแบ่งเป็น
1️⃣ การรักษาแบบไม่ใช้ยา
โดยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น จากการศึกษาพบว่าการควบคุมอาหารและออกกำลังกายจนทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างน้อยร้อยละ 5 ของน้ำหนักเริ่มต้น ทำให้มีการตกไข่ที่ดีขึ้น มีรอบเดือนที่สม่ำเสมอขึ้น และมีประโยชน์ต่อการควบคุมรักษาอาการแสดงออกของฮอร์โมนเพศชายเกิน และลดภาวะดื้ออินซูลิน ที่เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานได้
2️⃣ การรักษาแบบใช้ยา
เพื่อควบคุมรอบประจำเดือนให้มาสม่ำเสมอ การรักษาหรือลดอาการแสดงของฮอร์โมนเพศชายเกิน การลดภาวะดื้ออินซูลิน การเกิดโรคเบาหวาน และภาวะมีบุตรยาก
10. PCOS อันตรายแค่ไหน รู้ช้าจะอันตรายมากขึ้นหรือไม่
ผู้ที่มีกลุ่มอาการนี้ ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจเพิ่มความเสี่ยงดังต่อไปนี้ได้ครับ
📍
มีความเสี่ยงในการเกิดเยื่อบุมดลูกหนาตัวและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกมาเป็นประจำเดือนเหมือนคนที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ซึ่งมักจะแสดงอาการผิดปกติให้เห็นในช่วงอายุที่มากขึ้น หรือวัยหมดประจำเดือน
📍
มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน เนื่องจากกลุ่มอาการนี้มีความสัมพันธ์ในการเกิดโรคเบาหวาน ภาวะอ้วนโดยเฉพาะอ้วนลงพุง มีความเสี่ยงในการมีระดับไขมันสูงกว่าปกติ และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ และอัมพาต มากขึ้นในอนาคต
11. ภาวะแทรกซ้อนจากโรค PCOS มีหรือไม่ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนนั้นได้อย่างไร ⁉️
โรค PCOS อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคอ้วน และภาวะมีบุตรยากได้ครับ ดังนั้น เพื่อน ๆ ที่มีภาวะนี้ควรดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรค ซึ่งสามารถทำได้โดย
1.ควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนัก โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2.กินยาตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเอง
3.ควรรับการตรวจติดตามตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ
4.หากเกิดอาการผิดปกติใด ๆ ควรรีบพบแพทย์
12. เป็น PCOS สามารถมีลูกได้หรือไม่ ❓
ผู้ป่วย PCOS สามารถมีลูกได้ แต่เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง ซึ่งอาจส่งผลให้มีบุตรยาก แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไปนะครับ ภาวะมีบุตรยากนี้สามารถรักษาได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ครับ
13. PCOS สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
กลุ่มอาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (PCOS) นี้ถือเป็นโรคเรื้อรังในสตรีวัยเจริญพันธุ์ไม่มีคำตอบว่าจะใช้เวลารักษานานเท่าใดจึงจะหายจากโรค เนื่องจากอาการและอาการแสดงในแต่ละคนไม่เหมือนกัน รวมถึงมีความเกี่ยวเนื่องกับความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่น ๆ จึงควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ นะครับ
14. วิธีการดูแลตนเองและข้อจำกัดเมื่อรู้ว่าเป็น PCOS
หากเพื่อน ๆ สงสัยว่าตัวเองอาจจะเป็นกลุ่มอาการนี้ ควรมารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยหาความผิดปกติและรับการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง หรือขาดการรักษา และควรหมั่นออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก และปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารด้วยครับ
15. การป้องกันการเกิดโรค PCOS ทำได้อย่างไร
โรค PCOS นั้น ยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดโรคที่ชัดเจน แต่การดูแลสุขภาพ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ นอกจากนี้หากพบว่ามีอาการที่ผิดปกติไป เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติ มีสิว ผิวมันมากขึ้น หรือตรวจอัลตร้าซาวด์มดลูกและรังไข่พบความผิดปกติ ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีนะครับ 😊
108 คำถามเกี่ยวกับกลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ PCOS (Polycystic ovary syndrome)
108 คำถามเกี่ยวกับกลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ PCOS (Polycystic ovary syndrome)
สวัสดีครับ เพื่อน ๆ หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับกลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ PCOS บางคนอาจมีภาวะนี้แต่ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไร เกิดจากอะไร จะต้องดูแลตัวเองและรักษาอย่างไร วันนี้พี่หมอมีคำตอบมาให้เพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ PCOS พร้อม ๆ กันเลยนะครับ
1. PCOS คืออะไร ❓
PCOS (Polycystic ovarian syndrome) หรือกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ เป็นภาวะที่มีความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ โดยลักษณะของกลุ่มอาการนี้จะมีอาการหลายอย่างร่วมกัน เช่น มีอาการแสดงของฮอร์โมนเพศชายเกิน ภาวะไม่ตกไข่เรื้อรังทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานมากขึ้นในอนาคตด้วยครับ
2. สาเหตุของ PCOS คืออะไร
ปัจจุบันเรายังไม่ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของ PCOS ครับ แต่เชื่อว่าเกิดจากหลายกลไกซึ่งมีผลสืบเนื่องเกี่ยวพันกัน
3. ใครที่มีความเสี่ยงเป็น PCOS ⁉️
พบได้ประมาณร้อยละ 10-20 ของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ และพบได้มากขึ้นในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วน
4. กรรมพันธุ์เกี่ยวกับการเกิดโรค PCOS หรือไม่
จากการศึกษาพบว่า พันธุกรรมอาจมีส่วนทำให้เกิดโรคได้มากขึ้นครับ โดยพบว่าถ้ามีประวัติในครอบครัวโดยเฉพาะในญาติสายตรง (เช่น แม่ ลูก พี่น้อง) เป็น PCOS สตรีวัยเจริญพันธุ์ในครอบครัวนั้นมีโอกาสเป็น PCOS มากกว่าคนทั่วไป ซึ่งสาเหตุทางพันธุกรรมพบว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีน (gene) ส่งผลทำให้มีการทำงานของเอนไซม์ (enzyme) ที่ผิดปกติไป และมีการถ่ายทอดพันธุกรรมแบบ X-linked dominant (ตรงนี้ต้องริ้อฟื้นความรู้เรื่องยีนกันนิดนึงนะครับเพื่อน ๆ 555)
5. ทำไมผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ประจำเดือนมาไม่ปกติจึงมีความเสี่ยงเป็น PCOS 🤔
ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกิน หรือภาวะอ้วน โดยเฉพาะคนที่มีลักษณะอ้วนลงพุง จะมีการสะสมไขมันในบริเวณผนังหน้าท้องและในช่องท้องมากกว่าที่อื่น ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้ออินซูลิน และความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานมากขึ้นกว่าสตรีที่มีรูปร่างปกติครับ นอกจากนี้ยังพบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติของการสร้างฮอร์โมน ทำให้รังไข่มีการผลิตฮอร์โมนเพศชายมากขึ้นกว่าปกติ ประจำเดือนมาผิดปกติ จึงเป็นสาเหตุของการเกิดโรค PCOS ได้ด้วยนะครับ
6. อาการใดที่น่าสงสัยว่าเป็น PCOS ❓
อาการแสดงของ PCOS จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยหากเพื่อน ๆ มีอาการผิดปกติเหล่านี้ควรไปปรึกษาแพทย์
1. ประจำเดือนมาผิดปกติ เช่น ประจำเดือนไม่มาติดต่อกันนานหลายเดือน ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนมานานและอาจมามากหรือน้อยผิดปกติ
2. มีอาการแสดงของฮอร์โมนเพศชายเกิน เช่น มีสิวมาก หน้ามัน ขนดก ศีรษะล้าน ผมบาง มีลักษณะกล้ามเนื้อแบบเพศชาย หรือเสียงแหบแบบเพศชาย เป็นต้น
3. ภาวะอ้วน น้ำหนักเกิน หรือตรวจพบภาวะเบาหวาน
4. ภาวะมีบุตรยาก
5. ตรวจอัลตร้าซาวด์พบถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (Polycystic ovaries)
7. ควรตรวจหา PCOS เป็นประจำหรือไม่ / ควรตรวจเมื่อใด
ในปัจจุบันไม่ได้มีคำแนะนำให้ตรวจคัดกรองโรค PCOS เป็นประจำทุกปี แต่ในผู้หญิงที่มีอาการผิดปกติ หรือสงสัยภาวะ PCOS ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมครับ
8. การวินิจฉัย PCOS ทำได้อย่างไร
การตรวจวินิจฉัย PCOS นั้น จะใช้ข้อมูลทั้งจากการซักประวัติอาการผู้ป่วยอย่างละเอียด การตรวจร่างกาย การทำอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อประเมินถุงน้ำรังไข่
การตรวจเลือด เพื่อวัดระดับฮอร์โมนเพศ ระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงตรวจวัดระดับไขมันในเลือดด้วยครับ
9. การรักษา PCOS มีวิธีใดบ้าง
การรักษาโรค PCOS นั้นแบ่งเป็น
1️⃣ การรักษาแบบไม่ใช้ยา
โดยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น จากการศึกษาพบว่าการควบคุมอาหารและออกกำลังกายจนทำให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างน้อยร้อยละ 5 ของน้ำหนักเริ่มต้น ทำให้มีการตกไข่ที่ดีขึ้น มีรอบเดือนที่สม่ำเสมอขึ้น และมีประโยชน์ต่อการควบคุมรักษาอาการแสดงออกของฮอร์โมนเพศชายเกิน และลดภาวะดื้ออินซูลิน ที่เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานได้
2️⃣ การรักษาแบบใช้ยา
เพื่อควบคุมรอบประจำเดือนให้มาสม่ำเสมอ การรักษาหรือลดอาการแสดงของฮอร์โมนเพศชายเกิน การลดภาวะดื้ออินซูลิน การเกิดโรคเบาหวาน และภาวะมีบุตรยาก
10. PCOS อันตรายแค่ไหน รู้ช้าจะอันตรายมากขึ้นหรือไม่
ผู้ที่มีกลุ่มอาการนี้ ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจเพิ่มความเสี่ยงดังต่อไปนี้ได้ครับ
📍 มีความเสี่ยงในการเกิดเยื่อบุมดลูกหนาตัวและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกมาเป็นประจำเดือนเหมือนคนที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ซึ่งมักจะแสดงอาการผิดปกติให้เห็นในช่วงอายุที่มากขึ้น หรือวัยหมดประจำเดือน
📍 มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน เนื่องจากกลุ่มอาการนี้มีความสัมพันธ์ในการเกิดโรคเบาหวาน ภาวะอ้วนโดยเฉพาะอ้วนลงพุง มีความเสี่ยงในการมีระดับไขมันสูงกว่าปกติ และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการตรวจและรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ และอัมพาต มากขึ้นในอนาคต
11. ภาวะแทรกซ้อนจากโรค PCOS มีหรือไม่ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนนั้นได้อย่างไร ⁉️
โรค PCOS อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคอ้วน และภาวะมีบุตรยากได้ครับ ดังนั้น เพื่อน ๆ ที่มีภาวะนี้ควรดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรค ซึ่งสามารถทำได้โดย
1.ควบคุมน้ำหนักหรือลดน้ำหนัก โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2.กินยาตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดยาหรือลดยาเอง
3.ควรรับการตรวจติดตามตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ
4.หากเกิดอาการผิดปกติใด ๆ ควรรีบพบแพทย์
12. เป็น PCOS สามารถมีลูกได้หรือไม่ ❓
ผู้ป่วย PCOS สามารถมีลูกได้ แต่เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง ซึ่งอาจส่งผลให้มีบุตรยาก แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไปนะครับ ภาวะมีบุตรยากนี้สามารถรักษาได้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ครับ
13. PCOS สามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่
กลุ่มอาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (PCOS) นี้ถือเป็นโรคเรื้อรังในสตรีวัยเจริญพันธุ์ไม่มีคำตอบว่าจะใช้เวลารักษานานเท่าใดจึงจะหายจากโรค เนื่องจากอาการและอาการแสดงในแต่ละคนไม่เหมือนกัน รวมถึงมีความเกี่ยวเนื่องกับความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่น ๆ จึงควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ นะครับ
14. วิธีการดูแลตนเองและข้อจำกัดเมื่อรู้ว่าเป็น PCOS
หากเพื่อน ๆ สงสัยว่าตัวเองอาจจะเป็นกลุ่มอาการนี้ ควรมารับการตรวจเพื่อวินิจฉัยหาความผิดปกติและรับการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง หรือขาดการรักษา และควรหมั่นออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก และปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารด้วยครับ
15. การป้องกันการเกิดโรค PCOS ทำได้อย่างไร
โรค PCOS นั้น ยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดโรคที่ชัดเจน แต่การดูแลสุขภาพ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ นอกจากนี้หากพบว่ามีอาการที่ผิดปกติไป เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติ มีสิว ผิวมันมากขึ้น หรือตรวจอัลตร้าซาวด์มดลูกและรังไข่พบความผิดปกติ ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ เพื่อได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีนะครับ 😊