Top Gun : Maverick (Joseph Kosinski)
"ครบเครื่อง ที่สุด"
...
ถ้าจะมีหนังเรื่องหนึ่งที่จะปลุกอารมณ์ถวิลหาอดีต ปลุกความรู้สึกของหนังแอ็กชั่นแบบแมนๆ ที่เคยชอบ ปลุกความคิดถึงความรู้สึกของการดูภาพยนตร์ในโรงหนังในยุคที่สตรีมมิ่งครองเมือง ...ผมยกให้ Top Gun : Maverick คือหนึ่งในนั้น
นี่คือหนังที่ปลุกอารมณ์ของหนังแบบยุค 80-90 ที่ผสมผสานเข้ากับความเป็นหนังรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว รุ่นเก่าๆ ดูคงคิดถึง รุ่นใหม่ๆ ดู (น่าจะ) สนุกนะ
Top Gun : Maverick ผ่านจากภาคแรกมา 36 ปี (จริงๆ ต้อง 34 ปี เพราะหนังถูกวางให้ฉายในปี 2020 แต่เจอโควิดเล่นงานจนต้องล่าทัพมาฉายในปีนี้ ) ...ด้วยความคิดถูกของทอม ครูซ ที่ไม่ยอมขายหนังลงสตรีมมิ่ง แต่หนังจะต้องฉายในโรงภาพยนตร์ก่อนสตรีมมิ่ง หนังจึงถูกเก็บไว้ฉายในวันที่โรงภาพยนตร์พร้อมให้บริการจริงๆ เพราะหลังจากดูจบ นี่คือหนังที่สมบูรณ์แบบมากที่จะดูในโรงภาพยนตร์ ด้วยภาพ เสียง ต่างๆ มันรองรับความเป็นโรงภาพยนตร์ที่สุด (การไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง ถือว่าพลาดมาก) หนังมันตอบโจทย์ความคิดถึงบรรยากาศการดูหนังในโรงหนัง และความคิดถึงต่อตัวหนังภาคแรกได้อย่างดีเยี่ยมมาก
Top Gun : Maverick เล่าเรื่องผ่านตัวพระเอก พีท มาเวอริค มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) ที่ยังคงรับราชการในกองทัพเรือ เป็นนักบินเช่นเคย ในขณะที่เพื่อนๆ ร่วมรุ่น อย่าง ไอซ์ (วัล คิลเมอร์) ก็ได้ดิบ ได้ดีในชั้นยศราชการ ...พีทยังคงฝังใจกับการตายของ กู๊ส (แอนโทนี เอ็ดเวิร์ด) เพื่อนสนิทที่เขามีส่วนในการตายครั้งนั้น และภารกิจสุดท้ายในฐานะนักบิน คือการกลับไปเป็นครูฝึกในทีม ท็อปกัน เพื่อทำภารกิจสำคัญ และต้องเจอกับ รูสเตอร์ (ไมลล์ เทลเลอร์) ลูกชายของกู๊ส เพื่อนสนิท ที่ยังคงคาใจกับการตายของพ่อเช่นกัน
Top Gun ภาคนี้ เอาจริงๆ คือการตามรอยสูตรสำเร็จของหนังภาคแรกไม่ผิดเพี้ยน มันคือเสน่ห์ในหนังในยุค 80-90 ที่มีตัวเอกเท่ๆ ใส่เพลงประกอบ เน้นการสร้างตัวละครให้คนดูผูกพัน มีซีนแอ็กชั่นเท่ๆ ผสมผสานอย่างกลมกล่อม ไม่แน่ใจว่าสูตรนี้จะโดนใจคนรุ่นใหม่ๆ ไหม เพราะคนดูยุคนี้คุ้นชินกับหนังแบบ นันสต๊อปแอ็กชั่น อัด CG เยอะๆ เช่นหนังตระกูล Fast หรือหนังแบบมาร์เวล ...แม้จะตามรอยสูตรสำเร็จแบบหนังยุคก่อน แต่ Top Gun ภาคนี้ ก็เลือกหยิบจับเสน่ห์ของความเป็นหนังแอ็กชั่นแบบเดิม ผสมผสานกับแอ็กชั่นยุคใหม่ เพียงแค่ใช้วิธีการถ่ายจริง เล่นจริง ไม่เน้น CG ...แม้จะไม่เคยดูภาคแรกก็เข้าใจ แต่ถ้าได้ดู ก็จะยิ่งเติมเต็มความคิดถึง ความถวิลหาอดีตได้ไม่ยากเลย
ส่วนตัว ...ผมชอบ Top Gun : Maverick ชอบแบบชอบมากๆ คือไม่แปลกใจเลยนะที่คนดูหนังรอบแรกที่เมืองคานส์ จะลุกขึ้นปรบมือให้หนังยาวนานกว่า 5 นาที ..นี่คือหนังที่เติมเต็มความสุขแบบอดีต เข้ากับ ความเป็นภาพยนตร์ยุคใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม ..เรายังแอบคิดเล็กๆ ว่าเด็กๆ รุ่นใหม่น่าจะชอบนะ เราก็อยากให้เขาได้เห็น นี่ไง หนังแบบนี้ไงที่รุ่นพ่อๆ ลุงๆ อาๆ เขาดูกัน อาจไม่ได้มันแหลกราญแบบมาร์เวลที่ชอบดู ...แต่หนังมันมีเสน่ห์ แบบอธิบายไม่ถูก เพราะภาพทุกภาพ เฟรมทุกเฟรมในหนัง มันอธิบายไว้หมดแล้ว
ผมน้ำตาไหลในซีนที่เห็น วัล คิลเมอร์ในหนังอีกครั้ง (ถ้าตามข่าวจะรู้ว่า วัล นั้นป่วยหนัก) มันเติมเต็มความถวิลหาอดีตได้อย่างดีงาม ..ผมมีความสุขที่ได้ยินสกอร์เพลงที่คุ้นชิน มันปลุกพลังฮึกเหิมจากที่เคยดูในภาคแรก ออกมาอย่างแจ่มชัดในโรงหนัง ..เวลาสองชั่วโมงนิดๆ ในการดู Top Gun : Maverick มันมีความสุขมากๆ ..ช่วงไคลแม็กซ์ 30 นาทีสุดท้ายคือลุ้น เกร็ง จิกเบาะมาก ..โจเซฟ โคสินสกี้ ทำหนังได้สนุกจริง สมแล้วที่ทอม ครูซไว้ใจให้มากำกับ (จนทำให้อยากดู Spiderhead งานชิ้นใหม่ที่ทำให้ Netflix)
Top Gun : Maverick สำหรับผม คือหนังที่ครบเครื่องที่สุด หนังตอบโจทย์คนดู เติมเต็มความรู้สึกของความคิดถึงงาน Top Gun ภาคแรกแบบโทนี่ สก๊อต พร้อมสานต่อความสมบูรณ์ด้วยสไตล์ภาพยนตร์ยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ..หนังไม่ได้เพอร์เฟคที่สุดหรอก แต่สำหรับผม มันสมบูรณ์แบบในหัวใจที่ได้ดูจริงๆ
#TopGunMaverick
#เอ้อระเหยลอยลม
เพจ
https://www.facebook.com/urrahoei
[CR] รีวิว : Top Gun : Maverick. ครบเครื่องที่สุด
"ครบเครื่อง ที่สุด"
...
ถ้าจะมีหนังเรื่องหนึ่งที่จะปลุกอารมณ์ถวิลหาอดีต ปลุกความรู้สึกของหนังแอ็กชั่นแบบแมนๆ ที่เคยชอบ ปลุกความคิดถึงความรู้สึกของการดูภาพยนตร์ในโรงหนังในยุคที่สตรีมมิ่งครองเมือง ...ผมยกให้ Top Gun : Maverick คือหนึ่งในนั้น
นี่คือหนังที่ปลุกอารมณ์ของหนังแบบยุค 80-90 ที่ผสมผสานเข้ากับความเป็นหนังรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว รุ่นเก่าๆ ดูคงคิดถึง รุ่นใหม่ๆ ดู (น่าจะ) สนุกนะ
Top Gun : Maverick ผ่านจากภาคแรกมา 36 ปี (จริงๆ ต้อง 34 ปี เพราะหนังถูกวางให้ฉายในปี 2020 แต่เจอโควิดเล่นงานจนต้องล่าทัพมาฉายในปีนี้ ) ...ด้วยความคิดถูกของทอม ครูซ ที่ไม่ยอมขายหนังลงสตรีมมิ่ง แต่หนังจะต้องฉายในโรงภาพยนตร์ก่อนสตรีมมิ่ง หนังจึงถูกเก็บไว้ฉายในวันที่โรงภาพยนตร์พร้อมให้บริการจริงๆ เพราะหลังจากดูจบ นี่คือหนังที่สมบูรณ์แบบมากที่จะดูในโรงภาพยนตร์ ด้วยภาพ เสียง ต่างๆ มันรองรับความเป็นโรงภาพยนตร์ที่สุด (การไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง ถือว่าพลาดมาก) หนังมันตอบโจทย์ความคิดถึงบรรยากาศการดูหนังในโรงหนัง และความคิดถึงต่อตัวหนังภาคแรกได้อย่างดีเยี่ยมมาก
Top Gun : Maverick เล่าเรื่องผ่านตัวพระเอก พีท มาเวอริค มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) ที่ยังคงรับราชการในกองทัพเรือ เป็นนักบินเช่นเคย ในขณะที่เพื่อนๆ ร่วมรุ่น อย่าง ไอซ์ (วัล คิลเมอร์) ก็ได้ดิบ ได้ดีในชั้นยศราชการ ...พีทยังคงฝังใจกับการตายของ กู๊ส (แอนโทนี เอ็ดเวิร์ด) เพื่อนสนิทที่เขามีส่วนในการตายครั้งนั้น และภารกิจสุดท้ายในฐานะนักบิน คือการกลับไปเป็นครูฝึกในทีม ท็อปกัน เพื่อทำภารกิจสำคัญ และต้องเจอกับ รูสเตอร์ (ไมลล์ เทลเลอร์) ลูกชายของกู๊ส เพื่อนสนิท ที่ยังคงคาใจกับการตายของพ่อเช่นกัน
Top Gun ภาคนี้ เอาจริงๆ คือการตามรอยสูตรสำเร็จของหนังภาคแรกไม่ผิดเพี้ยน มันคือเสน่ห์ในหนังในยุค 80-90 ที่มีตัวเอกเท่ๆ ใส่เพลงประกอบ เน้นการสร้างตัวละครให้คนดูผูกพัน มีซีนแอ็กชั่นเท่ๆ ผสมผสานอย่างกลมกล่อม ไม่แน่ใจว่าสูตรนี้จะโดนใจคนรุ่นใหม่ๆ ไหม เพราะคนดูยุคนี้คุ้นชินกับหนังแบบ นันสต๊อปแอ็กชั่น อัด CG เยอะๆ เช่นหนังตระกูล Fast หรือหนังแบบมาร์เวล ...แม้จะตามรอยสูตรสำเร็จแบบหนังยุคก่อน แต่ Top Gun ภาคนี้ ก็เลือกหยิบจับเสน่ห์ของความเป็นหนังแอ็กชั่นแบบเดิม ผสมผสานกับแอ็กชั่นยุคใหม่ เพียงแค่ใช้วิธีการถ่ายจริง เล่นจริง ไม่เน้น CG ...แม้จะไม่เคยดูภาคแรกก็เข้าใจ แต่ถ้าได้ดู ก็จะยิ่งเติมเต็มความคิดถึง ความถวิลหาอดีตได้ไม่ยากเลย
ส่วนตัว ...ผมชอบ Top Gun : Maverick ชอบแบบชอบมากๆ คือไม่แปลกใจเลยนะที่คนดูหนังรอบแรกที่เมืองคานส์ จะลุกขึ้นปรบมือให้หนังยาวนานกว่า 5 นาที ..นี่คือหนังที่เติมเต็มความสุขแบบอดีต เข้ากับ ความเป็นภาพยนตร์ยุคใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม ..เรายังแอบคิดเล็กๆ ว่าเด็กๆ รุ่นใหม่น่าจะชอบนะ เราก็อยากให้เขาได้เห็น นี่ไง หนังแบบนี้ไงที่รุ่นพ่อๆ ลุงๆ อาๆ เขาดูกัน อาจไม่ได้มันแหลกราญแบบมาร์เวลที่ชอบดู ...แต่หนังมันมีเสน่ห์ แบบอธิบายไม่ถูก เพราะภาพทุกภาพ เฟรมทุกเฟรมในหนัง มันอธิบายไว้หมดแล้ว
ผมน้ำตาไหลในซีนที่เห็น วัล คิลเมอร์ในหนังอีกครั้ง (ถ้าตามข่าวจะรู้ว่า วัล นั้นป่วยหนัก) มันเติมเต็มความถวิลหาอดีตได้อย่างดีงาม ..ผมมีความสุขที่ได้ยินสกอร์เพลงที่คุ้นชิน มันปลุกพลังฮึกเหิมจากที่เคยดูในภาคแรก ออกมาอย่างแจ่มชัดในโรงหนัง ..เวลาสองชั่วโมงนิดๆ ในการดู Top Gun : Maverick มันมีความสุขมากๆ ..ช่วงไคลแม็กซ์ 30 นาทีสุดท้ายคือลุ้น เกร็ง จิกเบาะมาก ..โจเซฟ โคสินสกี้ ทำหนังได้สนุกจริง สมแล้วที่ทอม ครูซไว้ใจให้มากำกับ (จนทำให้อยากดู Spiderhead งานชิ้นใหม่ที่ทำให้ Netflix)
Top Gun : Maverick สำหรับผม คือหนังที่ครบเครื่องที่สุด หนังตอบโจทย์คนดู เติมเต็มความรู้สึกของความคิดถึงงาน Top Gun ภาคแรกแบบโทนี่ สก๊อต พร้อมสานต่อความสมบูรณ์ด้วยสไตล์ภาพยนตร์ยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ..หนังไม่ได้เพอร์เฟคที่สุดหรอก แต่สำหรับผม มันสมบูรณ์แบบในหัวใจที่ได้ดูจริงๆ
#TopGunMaverick
#เอ้อระเหยลอยลม
เพจ
https://www.facebook.com/urrahoei
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้