ความแตกต่างของการปลูกฝี
1. การปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ (smallpox)
ในประเทศไทยมีถึงปี พ.ศ. 2523 หลังจากนั้นเลิกปลูกฝีด้วยเชื้อชนิดนี้ไป เพราะทั่วโลกประกาศว่าได้กำจัดโรคฝีดาษ/ไข้ทรพิษ หมดไปจากโลกนี้แล้ว (ปัจจุบันมีเพียงตัวอย่างเชื้อเก็บไว้ที่ห้องแลปในบางประเทศเท่านั้น)
2. การปลูกฝีเพื่อป้องกันวัณโรค (BCG)
จนถึงปัจจุบันยังคงมีการให้วัคซีนพื้นฐานกับเด็กแรกเกิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวัคซีน BCG ที่มักจะฉีดที่หัวไหล่ และมักจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ทำให้หลายคนเรียกว่าการปลูกฝีเช่นกัน แต่ว่าจะเป็นการป้องกันเชื้อวัณโรคซึ่งเป็นเชื้อคนละชนิดกับฝีดาษค่ะ
3. ความแตกต่างของรอยแผลปลูกฝีทั้ง 2 ชนิด
- Smallpox scar มักจะเป็นหลุม และมีรอยจุดเล็กๆมากกว่า
- BCG scar มักจะเป็นแผลที่มีลักษณะนูนตรงกลาง
แต่อย่างไรก็ตาม ในบางคนแผลอาจจะจางไปมาก ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด
4. สรุปสั้นๆ คือ คนที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2523 จะมีแผลปลูกฝีทั้งสองแบบ ต่างกับคนที่เกิดหลังจากนั้นที่จะมีเฉพาะแผลจาก BCG scar เท่านั้นนะคะ
เครดิตภาพประกอบ smallpox scar จากอินเตอร์เน็ตค่ะ
พามารู้จักกับรอยแผลปลูกฝี ที่แขนเราเป็นรอยแบบไหนกันนะ
ความแตกต่างของการปลูกฝี
1. การปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ (smallpox)
ในประเทศไทยมีถึงปี พ.ศ. 2523 หลังจากนั้นเลิกปลูกฝีด้วยเชื้อชนิดนี้ไป เพราะทั่วโลกประกาศว่าได้กำจัดโรคฝีดาษ/ไข้ทรพิษ หมดไปจากโลกนี้แล้ว (ปัจจุบันมีเพียงตัวอย่างเชื้อเก็บไว้ที่ห้องแลปในบางประเทศเท่านั้น)
2. การปลูกฝีเพื่อป้องกันวัณโรค (BCG)
จนถึงปัจจุบันยังคงมีการให้วัคซีนพื้นฐานกับเด็กแรกเกิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวัคซีน BCG ที่มักจะฉีดที่หัวไหล่ และมักจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ ทำให้หลายคนเรียกว่าการปลูกฝีเช่นกัน แต่ว่าจะเป็นการป้องกันเชื้อวัณโรคซึ่งเป็นเชื้อคนละชนิดกับฝีดาษค่ะ
3. ความแตกต่างของรอยแผลปลูกฝีทั้ง 2 ชนิด
- Smallpox scar มักจะเป็นหลุม และมีรอยจุดเล็กๆมากกว่า
- BCG scar มักจะเป็นแผลที่มีลักษณะนูนตรงกลาง
แต่อย่างไรก็ตาม ในบางคนแผลอาจจะจางไปมาก ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด
4. สรุปสั้นๆ คือ คนที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2523 จะมีแผลปลูกฝีทั้งสองแบบ ต่างกับคนที่เกิดหลังจากนั้นที่จะมีเฉพาะแผลจาก BCG scar เท่านั้นนะคะ
เครดิตภาพประกอบ smallpox scar จากอินเตอร์เน็ตค่ะ