ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนที่ 17 ผู้ที่เพิ่งชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนกว่าเกือบ 1.4 ล้านเสียง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา มักกล่าวถึงคนคนหนึ่งในหลายบทสัมภาษณ์ คนคนนั้นคือลูกชายของเขาอย่าง ‘แสนปิติ’ ลูกชายที่เป็นอีกจุดพลิกผันหนึ่ง ในชีวิตของชายที่ถูกขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
แสนปิติเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องในการได้ยิน ชัชชาติเคยให้สัมภาษณ์กับหลายสื่อว่าเขาพยายามหาทุกวิถีทาง จนสามารถนำลูกชายไปผ่าตัดในต่างประเทศเพื่อฝังอุปกรณ์ช่วยฟังจนสำเร็จ ชัชชาติย้ำว่าเขาอุทิศตนเองเพื่อลูกชาย และความอุทิศนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตและมุมมองของว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไปตลอดกาล
เป็นโอกาสที่น้อยมากที่ประชาชนจะได้รับฟังมุมมองที่แสนปิติมีต่อผู้เป็นพ่อของเขาเอง ลูกชายของอดีตอาจารย์ประจำคณะวิศกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสมัย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตซีอีโอของบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ดัง และว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งไปสด ๆ ร้อนๆ
อย่างไรก็ดี แสนปิติได้เขียนบทความภาษาอังกฤษของตนลงใน Thai Enquirer ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนถึงผู้เป็นพ่อของตนเองอย่างชัชชาติ หลังคว้าคะแนนเสียงชนะเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแบบถล่มทลายเป็นประวัติการณ์
‘วอยซ์’ ทำการแปลมาเป็นภาษาไทย เผื่อเรคคอร์ดประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยมาให้ได้อ่านกัน
“เมื่อแปดปีที่แล้วจนถึงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมยังจำมันได้ดี” แสนปิติเปิดบทความของตนเองถึงเหตุการณ์รัฐประหารโดยคณะ คสช. เมื่อปี 2557
“เช่นเดียวกันกับชาวไทยหลายล้านคน ผู้ที่เป็นประจักษ์พยานถึงรายการอันหน้าขนพองสยองเกล้าบนจอโทรทัศน์ที่เปิดออกมา มันเป็นวันธรรมดาเฉกเช่นวันอื่นๆ ผู้คนเดินดินต่างใช้ชีวิตกันโดยไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่น แต่เบื้องหลังความปกตินี้ ที่ประชาชนถูกสั่นคลอนจากการประท้วงของ กปปส. เพื่อต่อต้านรัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับไม่ใช่เรื่องราวอันปกติทั้งหมด”
“รัฐบาลกำลังโรยลาเหมือนดอกไม้ที่ร่วงโรย ดอกไม้ยันกลีบสุดท้ายถูกกองทัพดึงถอนทำลายทิ้ง ประชาธิปไตยถูกโอบล้อมเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ติดอยู่บนหน้าจอของพวกเรา เราทุกคนเห็นประชาธิปไตยและเสรีภาพปลิดปลิวไปกับอากาศอันเบาหวิว เสมือนว่าถูกลวงหลอกด้วยกลอุบายอันโหดร้าย นักมายากลผู้เสกไสยชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ขี้โมโห ผู้ขึ้นชื่อเรื่องการปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดงอยู่แต่แรกแล้ว การประกาศทางโทรทัศน์ของประยุทธ์เกี่ยวกับการทำรัฐประหาร และการถือครองอำนาจเป็นลางสังหรณ์อันเลวร้ายที่กำลังคืบคลานมาหาพวกเรา”
“ตอนนั้นผมเรียนอยู่ในช่วงมัธยมต้น ทั้งเด็กและหัวรั้น ยังคงฟันฝ่าพยายามทำความเข้าใจกับช่วงเวลาอันวุ่นวายนี้ เรื่องทั้งหมดทำให้ผมหลงลืมราวกับถูกมองผ่านม่านหมอกที่มืดครื้มของความไม่รู้ เช่นเดียวกันกับคนไทยคนอื่นๆ เรารู้ว่าประเทศของเราถูกแบ่งแยก แต่เราไม่มีอำนาจใดจะไปทำอะไรกับมันได้”
“ตั้งแต่การทำรัฐประหาร ประเทศไทยกลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาได้ช่วยก่อกำเนิดการเมืองใหม่ของไทยขึ้น เราได้เห็นตลอดสองสามปีหลังมานี้ กระแสเรียกร้องเสรีภาพ การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบเสรีนิยม และประชาธิปไตยมวลชนอันท่วมท้นได้รับการสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ และประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล”
“มันเริ่มขึ้นเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งเป็นสัญญานเตือนแด่ประเทศของเรา ผู้คนเริ่มเข้ามามีบทบาทกันในทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทย ราวกับว่าในช่วงเวลาแห่งความร้าวฉานของห้วงประวัติศาสตร์ ณ จุดที่ตกต่ำที่สุดของเรา มีบางสิ่งได้เกิดขึ้นใหม่
ปีศาจตัวใหม่ อย่างที่เขาเรียกนั้นแหละ”
“เมื่อผมมองสะท้อนกลับไปถึงประชาธิปไตยไทย และที่อยู่ที่ยืนของมัน ผมเรียกมันว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เรากลับมาเป็นส่วนเดียวกันอันปกติได้อีกครั้ง โอกาสในการทวงคืนสิ่งที่ถูกปล้นพรากไปจากพวกนายพล
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการปี 2565 นั้นเป็นเวทีที่สมบูรณ์แบบสำหรับระบอบประชาธิปไตยใหม่ที่จะหยั่งรากลงลึก มันไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากความอดทนและตั้งใจมานานปี ประชาชนชาวไทยได้ส่งเสียงออกมาแล้ว ชัยชนะในครั้งนี้มีความหมายนับอนันต์ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคนไทยเราเองสามารถปรองดองและรักกันได้ เพื่อที่จะละทิ้งความแตกต่างของปัจเจกชนสู่การประนีประนอม และรวมชาติเราเป็นหนึ่งอีกครั้งหลังจากความแตกแยก”
“การเลือกตั้งในครั้งนี้สอนบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่เรา เราต้องสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเพื่อต่อต้านความเกลียดชัง เราต้องลงมือทำงานด้วยกันเพื่อวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่จะไม่ทิ้งใครเอาไว้ข้างหลัง
สำหรับผม มันคือความมุมานะส่วนตัว มันมีความหมายมากมายกว่านั้น
ผมได้รับเกียรติและอภิสิทธิ์ ที่ได้เรียกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ว่าเป็นเพื่อนผู้ทรงคุณค่า ที่ปรึกษา และเป็นคู่แข่งกันในบางครั้ง สำหรับผม เขาเป็นพ่อดีเด่น แต่เขายังเป็นชายที่สนใจเรื่องผลประโยชน์สูงสุดของชาวกรุงเทพมหานครอยู่ในใจ ผมเห็นเขากับตาตัวเอง ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทยมาตลอดชีวิตสาธารณะและชีวิตส่วนตัวของเขา”
“ขณะกำลังเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พ่อของผมเป็นเบ้าหลอมให้กับผม ใครสักคนที่เป็นแบบอย่างให้กับชีวิตของผม เขาสอนผมมากมายเกี่ยวกับความมุ่งมั่น ความเห็นอกเห็นใจ และไม่ตัดสินใครอื่น เขาเน้นย้ำว่าการทำงานกับทุกคนเป็นสิ่งสำคัญ แม้มันจะมีความแตกต่างของเรา ตั้งแต่ผมเห็นเขาทำงานในรัฐบาลมาจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครทำงานหนักไปกว่าเขาเพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองเอง”
“เหนือสิ่งอื่นใดในชัยชนะครั้งนี้ คือความพยายามของคนไทยในการร่วมไม้ร่วมมือด้วยกัน เพื่อการเคารพต่อประชาธิปไตย ตามความมุ่งหมายสู่ความทันสมัย มรดกอันยิ่งใหญ่ที่สุดของการเลือกตั้งในครั้งนี้ คือข้อเท็จจริงที่ว่าคนกรุงเทพมหานครนับล้านและล้านคน ได้แสดงเจตจำนงอันแจ่มชัดว่า พวกเขาต้องการเมืองที่น่าอยู่สำหรับผู้คน และเมืองที่ต้อนรับคนทุกคน”
“ชัยชนะในครั้งนี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยบนแผนการอันใหญ่ยิ่งของสิ่งต่างๆ แต่มันคือการเริ่มต้น มันคือโอกาสในการซ่อมแซมสะพาน และนำพาพวกเราทุกคนมารวมตัวกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาประเทศไทย”
บทความโดย แสนปิติ สิทธิพันธุ์ เผยแพร่ทาง Thai Enquirer 23 พ.ค. 2565
Credit :
https://www.voicetv.co.th/read/lzElbHkjU ,
https://www.thaienquirer.com/40339/a-son-reflects-on-his-fathers-electoral-victory/?fs=e&s=cl&fbclid=IwAR1GOwtY94zzcgzKr1aahdnnFzucAj8B0H8qC4uMUl3xpOvlnEipqfcxW8k
ข้อเขียนจากลูกชายถึงพ่อ ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. ชื่อ ‘ชัชชาติ’ หลังชนะเลือกตั้งถล่มทลาย
แสนปิติเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องในการได้ยิน ชัชชาติเคยให้สัมภาษณ์กับหลายสื่อว่าเขาพยายามหาทุกวิถีทาง จนสามารถนำลูกชายไปผ่าตัดในต่างประเทศเพื่อฝังอุปกรณ์ช่วยฟังจนสำเร็จ ชัชชาติย้ำว่าเขาอุทิศตนเองเพื่อลูกชาย และความอุทิศนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตและมุมมองของว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไปตลอดกาล
เป็นโอกาสที่น้อยมากที่ประชาชนจะได้รับฟังมุมมองที่แสนปิติมีต่อผู้เป็นพ่อของเขาเอง ลูกชายของอดีตอาจารย์ประจำคณะวิศกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสมัย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตซีอีโอของบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ดัง และว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ที่เพิ่งชนะการเลือกตั้งไปสด ๆ ร้อนๆ
อย่างไรก็ดี แสนปิติได้เขียนบทความภาษาอังกฤษของตนลงใน Thai Enquirer ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนถึงผู้เป็นพ่อของตนเองอย่างชัชชาติ หลังคว้าคะแนนเสียงชนะเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแบบถล่มทลายเป็นประวัติการณ์
‘วอยซ์’ ทำการแปลมาเป็นภาษาไทย เผื่อเรคคอร์ดประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยมาให้ได้อ่านกัน
“เมื่อแปดปีที่แล้วจนถึงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมยังจำมันได้ดี” แสนปิติเปิดบทความของตนเองถึงเหตุการณ์รัฐประหารโดยคณะ คสช. เมื่อปี 2557
“เช่นเดียวกันกับชาวไทยหลายล้านคน ผู้ที่เป็นประจักษ์พยานถึงรายการอันหน้าขนพองสยองเกล้าบนจอโทรทัศน์ที่เปิดออกมา มันเป็นวันธรรมดาเฉกเช่นวันอื่นๆ ผู้คนเดินดินต่างใช้ชีวิตกันโดยไม่ได้สนใจเรื่องของคนอื่น แต่เบื้องหลังความปกตินี้ ที่ประชาชนถูกสั่นคลอนจากการประท้วงของ กปปส. เพื่อต่อต้านรัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับไม่ใช่เรื่องราวอันปกติทั้งหมด”
“รัฐบาลกำลังโรยลาเหมือนดอกไม้ที่ร่วงโรย ดอกไม้ยันกลีบสุดท้ายถูกกองทัพดึงถอนทำลายทิ้ง ประชาธิปไตยถูกโอบล้อมเอาไว้อย่างสิ้นเชิง
ติดอยู่บนหน้าจอของพวกเรา เราทุกคนเห็นประชาธิปไตยและเสรีภาพปลิดปลิวไปกับอากาศอันเบาหวิว เสมือนว่าถูกลวงหลอกด้วยกลอุบายอันโหดร้าย นักมายากลผู้เสกไสยชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ขี้โมโห ผู้ขึ้นชื่อเรื่องการปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดงอยู่แต่แรกแล้ว การประกาศทางโทรทัศน์ของประยุทธ์เกี่ยวกับการทำรัฐประหาร และการถือครองอำนาจเป็นลางสังหรณ์อันเลวร้ายที่กำลังคืบคลานมาหาพวกเรา”
“ตอนนั้นผมเรียนอยู่ในช่วงมัธยมต้น ทั้งเด็กและหัวรั้น ยังคงฟันฝ่าพยายามทำความเข้าใจกับช่วงเวลาอันวุ่นวายนี้ เรื่องทั้งหมดทำให้ผมหลงลืมราวกับถูกมองผ่านม่านหมอกที่มืดครื้มของความไม่รู้ เช่นเดียวกันกับคนไทยคนอื่นๆ เรารู้ว่าประเทศของเราถูกแบ่งแยก แต่เราไม่มีอำนาจใดจะไปทำอะไรกับมันได้”
“ตั้งแต่การทำรัฐประหาร ประเทศไทยกลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่เหมือนเดิม ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาได้ช่วยก่อกำเนิดการเมืองใหม่ของไทยขึ้น เราได้เห็นตลอดสองสามปีหลังมานี้ กระแสเรียกร้องเสรีภาพ การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบเสรีนิยม และประชาธิปไตยมวลชนอันท่วมท้นได้รับการสนับสนุนจากคนรุ่นใหม่ และประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล”
“มันเริ่มขึ้นเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 ซึ่งเป็นสัญญานเตือนแด่ประเทศของเรา ผู้คนเริ่มเข้ามามีบทบาทกันในทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทย ราวกับว่าในช่วงเวลาแห่งความร้าวฉานของห้วงประวัติศาสตร์ ณ จุดที่ตกต่ำที่สุดของเรา มีบางสิ่งได้เกิดขึ้นใหม่
ปีศาจตัวใหม่ อย่างที่เขาเรียกนั้นแหละ”
“เมื่อผมมองสะท้อนกลับไปถึงประชาธิปไตยไทย และที่อยู่ที่ยืนของมัน ผมเรียกมันว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เรากลับมาเป็นส่วนเดียวกันอันปกติได้อีกครั้ง โอกาสในการทวงคืนสิ่งที่ถูกปล้นพรากไปจากพวกนายพล
ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการปี 2565 นั้นเป็นเวทีที่สมบูรณ์แบบสำหรับระบอบประชาธิปไตยใหม่ที่จะหยั่งรากลงลึก มันไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากความอดทนและตั้งใจมานานปี ประชาชนชาวไทยได้ส่งเสียงออกมาแล้ว ชัยชนะในครั้งนี้มีความหมายนับอนันต์ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคนไทยเราเองสามารถปรองดองและรักกันได้ เพื่อที่จะละทิ้งความแตกต่างของปัจเจกชนสู่การประนีประนอม และรวมชาติเราเป็นหนึ่งอีกครั้งหลังจากความแตกแยก”
“การเลือกตั้งในครั้งนี้สอนบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่เรา เราต้องสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเพื่อต่อต้านความเกลียดชัง เราต้องลงมือทำงานด้วยกันเพื่อวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่จะไม่ทิ้งใครเอาไว้ข้างหลัง
สำหรับผม มันคือความมุมานะส่วนตัว มันมีความหมายมากมายกว่านั้น
ผมได้รับเกียรติและอภิสิทธิ์ ที่ได้เรียกผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ว่าเป็นเพื่อนผู้ทรงคุณค่า ที่ปรึกษา และเป็นคู่แข่งกันในบางครั้ง สำหรับผม เขาเป็นพ่อดีเด่น แต่เขายังเป็นชายที่สนใจเรื่องผลประโยชน์สูงสุดของชาวกรุงเทพมหานครอยู่ในใจ ผมเห็นเขากับตาตัวเอง ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อคนไทยมาตลอดชีวิตสาธารณะและชีวิตส่วนตัวของเขา”
“ขณะกำลังเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พ่อของผมเป็นเบ้าหลอมให้กับผม ใครสักคนที่เป็นแบบอย่างให้กับชีวิตของผม เขาสอนผมมากมายเกี่ยวกับความมุ่งมั่น ความเห็นอกเห็นใจ และไม่ตัดสินใครอื่น เขาเน้นย้ำว่าการทำงานกับทุกคนเป็นสิ่งสำคัญ แม้มันจะมีความแตกต่างของเรา ตั้งแต่ผมเห็นเขาทำงานในรัฐบาลมาจนถึงตอนนี้ ไม่มีใครทำงานหนักไปกว่าเขาเพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองเอง”
“เหนือสิ่งอื่นใดในชัยชนะครั้งนี้ คือความพยายามของคนไทยในการร่วมไม้ร่วมมือด้วยกัน เพื่อการเคารพต่อประชาธิปไตย ตามความมุ่งหมายสู่ความทันสมัย มรดกอันยิ่งใหญ่ที่สุดของการเลือกตั้งในครั้งนี้ คือข้อเท็จจริงที่ว่าคนกรุงเทพมหานครนับล้านและล้านคน ได้แสดงเจตจำนงอันแจ่มชัดว่า พวกเขาต้องการเมืองที่น่าอยู่สำหรับผู้คน และเมืองที่ต้อนรับคนทุกคน”
“ชัยชนะในครั้งนี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยบนแผนการอันใหญ่ยิ่งของสิ่งต่างๆ แต่มันคือการเริ่มต้น มันคือโอกาสในการซ่อมแซมสะพาน และนำพาพวกเราทุกคนมารวมตัวกัน เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาประเทศไทย”
บทความโดย แสนปิติ สิทธิพันธุ์ เผยแพร่ทาง Thai Enquirer 23 พ.ค. 2565
Credit : https://www.voicetv.co.th/read/lzElbHkjU ,
https://www.thaienquirer.com/40339/a-son-reflects-on-his-fathers-electoral-victory/?fs=e&s=cl&fbclid=IwAR1GOwtY94zzcgzKr1aahdnnFzucAj8B0H8qC4uMUl3xpOvlnEipqfcxW8k