[SR] รีวิว "Saha Omakase" โอมากาเสะเสิร์ฟเนื้อวัวไทย 16 จานต่อคอร์สแค่ 1,900฿++ บนตึกบันยันทรีสาทรชั้น 53

วันนี้เราได้รับคำเชิญจาก PR ของร้าน "Saha Omakase" ให้เข้ามารีวิวคอร์สโอมากาเสะเสิร์ฟเมนูเนื้อวัวสายพันธุ์ไทยคุณภาพระดับพรีเมี่ยมเจ้าแรกของโลกมากถึง 16 จานจนอิ่มจุก นั่งเพลิดเพลินได้ตลอด 2 ชั่วโมงเต็มราคาเพียงคนละ 1,900 บาท++ ตั้งอยู่บนตึกชั้น 53 ของโรงแรมบันยันทรีสาทรโดยแต่ละห้องอาหารจะมี Dress Code บังคับใช้แตกต่างกันออกไป ส่วนตัวยกโทรศัพท์สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่จนสรุปความว่าสามารถแต่งกายยังไงก็ได้ยกเว้นการสวมรองเท้าแตะสำหรับคุณผู้ชายส่วนคุณผู้หญิงอาจจะของดเรื่องกางเกงขาสั้นมากเป็นพิเศษ วิธีการเข้าใช้บริการแนะนำให้จองก่อนทุกครั้งเพราะรับลูกค้าเพียงรอบละ 8 ท่าน เปิดทุกวันยกเว้นจันทร์เลือกได้ 3 ช่วงเวลาก็คือ 12.00-14.00 น. / 17.30-19.30 น. และ 20.00-22.00 น. หากเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้ปักหมุดมาตามแผนที่บนมือถือพร้อมประทับตราตรงหน้าล็อบบี้จอดฟรีสูงสุด 6 ชั่วโมง ถ้าเดินทางด้วยบริการขนส่งสาธารณะลง MRT สถานีลุมพินีฝั่งถนนสาทรใต้แล้วเดินเท้าหรือเรียกแท็กซี่เข้ามาอีกเพียง 600 เมตร สำหรับลิฟต์ตรงขึ้นมาเป็นตัวพิเศษซึ่งอยู่ข้างในสุดโดยสามารถสอบถามกับทางพนักงานโรงแรมได้เกือบทุกคน เมื่อถึงแล้วก็จะพบโถงทางเดินขนาดใหญ่รองด้วยแผ่นหินสีดำสลับกรวดขาวและกำแพงมรกตให้ตรงเกือบสุดทางร้านจะตั้งอยู่ด้านขวามือครับ

เนื่องจากเราเข้ามารีวิวเวลา 20.00 น. ซึ่งค่อนข้างกระชั้นชิดกับลูกค้ารอบที่แล้วพนักงานจึงขอเพิ่มเวลาอีกเล็กน้อยในการจัดเตรียมร้านสักครู่ก่อนจะเปิดให้บริการระหว่างนี้เดินสำรวจส่วนอื่นของห้องอาหารไปพลาง เริ่มต้นจากด้านหน้าสุดจัดเป็นซุ้มทางเข้าด้วยโต๊ะคลุมผ้ากำมะหยี่สีแดงสดพร้อมกล่องไม้ที่สลักชื่อร้านว่า "Saha Omakase" และสัญลักษณ์รูปโคขุนตัวอ้วนเนื้อแน่น ตกแต่งให้สวยงามด้วยขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เปล่าสีสันสดใสนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นกับป้ายมาตรฐาน SHA ของกระทรวงสาธารณสุขวางไว้ติดกันอย่างมีศิลปะ ด้านในมีจุดเด่นที่บาร์ยาวทรงโค้งมนทำด้วยหินอ่อนสีครีมขนาดใหญ่โอบรับกับห้องครัวซึ่งเชฟใช้ในการปรุงเตรียมอาหารต่างๆก่อนเสิร์ฟ โดยหนึ่งรอบสามารถรองรับลูกค้าได้สูงสุดเพียง 8 คนเท่านั้นล้อมรอบด้วยเก้าอี้ดีไซน์สุดหรูมีพนักพิงทำจากแก้วใสหน้าเคาน์เตอร์ อีกโซนเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่นแท้สำหรับรอชมวิวนอกหน้าต่างชั้น 53 และพูดคุยเล่นกันระหว่างรอรอบก่อนกินเสร็จ พื้นรองด้วยเสื่อทาทามิเก้าอี้ใช้เบาะหนานุ่มพร้อมพนักพิงทำจากไม้แข็งแรงทนทานให้นั่งห้อยขาลงไปลงล่างโต๊ะทรงเตี้ยสุดสบายคอยนานแค่ไหนก็ไม่เมื่อย ตอนนี้ทุกอย่างถูกเตรียมเสร็จหมดแล้วไปเข้าประจำที่กันเลยครับผม

มาถึงเราก็ถูกเชิญให้นั่งตรงหน้าเคาน์เตอร์ฝั่งติดห้องครัวเพื่อจะได้ถ่ายรูปเชฟตอนปรุงอาหารจานต่างๆก่อนยกเสิร์ฟได้อย่างชัดเจน แต่ถ้าใครอยากชมวิวมุมที่สวยสุดๆพร้อมเพลิดเพลินกับโอมากาเสะไปด้วยแนะนำว่าตอนจองก็เลือกหน้าบาร์ด้านขวามือติดริมหน้าต่างขนาดใหญ่จะสามารถมองเห็นวิวกรุงเทพได้อย่างเด่นชัดด้านบนของโรงแรมบันยันทรีสาทรชั้น 53 ยามค่ำคืนดวงไฟจากท้องถนนส่องแสงราวกับดาวระยิบระยับ-โรแมนติก กลับมาบนโต๊ะในแต่ละที่นั่งถูกวางด้วยแผ่นรองจาน/ที่รองแก้ว/ตะเกียบ/ผ้าเย็นพร้อมหลอดดูดน้ำเรียงไว้อย่างเรียบร้อยและสำหรับเมนูในวันนี้มีให้ลุยทั้งหมด 16 จานต่อ 1 คอร์สเรียงลำดับการเสิร์ฟตามใบรายการอาหารที่วางไว้ให้ชมข้างหน้า ส่วนเครื่องดื่มสามารถเลือกได้ระหว่างน้ำเปล่าและชาเขียวเติมได้ไม่อั้น ถ้าใครอยากจิบแอลกอฮอล์คุณภาพสูงๆคู่มื้อสุดพิเศษนี้ทางร้านก็มีให้เลือกหลายรายการทั้งไวน์/สาเก/เหล้าบ๊วยกับเบียร์นำเข้าตรงจากต่างประเทศ นอกนั้นยังมีน้ำอัดลม/ชาดอกไม้-ผลไม้ชงร้อน/โซดาแช่เย็นๆกลิ่นผลไม้หอมสดชื่น ราคาเริ่มต้นแก้วละ 50-160 บาทให้เปลี่ยนได้ตามใจอีกด้วย สักพักหัวหน้าเชฟและผู้ช่วยออกมาแนะนำตัวเล็กน้อยแล้วก็เริ่มเตรียมเสิร์ฟเมนูคอร์สกันเลยครับผม

มาเริ่มต้นกันที่ Welcome Drink เพิ่มความสดชื่นช่วยดับกระหายและเปิดประสาทสัมผัสของลิ้นให้พร้อมมากขึ้นตามวัฒนธรรมพื้นฐานของร้านโอมากาเสะทั่วไปด้วย "อัญชันอินฟิวส์" เครื่องดื่มสีน้ำเงินสวยงามดูมีความลึกลับเทลงในแก้วแชมเปญสุดหรูซึ่งใส่ทองคำเปลวเล็กน้อย มีส่วนประกอบหลักเป็นกลีบดอกอัญชันผสมกานพลูกับสาเกญี่ปุ่นรสชาติหวานเสิร์ฟแบบแช่เย็นจัด มาพร้อมขวดไซรัปขนาดจิ๋วคั้นจากผลส้มยูซุแท้ๆแสนเข้มข้นให้รสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร สำหรับวิธีการดื่มเมนูนี้เพียงหยดน้ำส้มยูสุสกัดแบบแรงกล้าลงไปในแก้วทรงสูงเรื่อยๆจนกว่าจะได้ระดับความเปรี้ยวอมหวานลงตัวแบบที่แต่ละคนพึงพอใจ (ส่วนตัวเราขอแนะนำว่าให้เทลงไปจนหมดขวดจะรสชาติลงตัวกำลังดีสุดๆ) มีข้อควรสังเกตอีกเล็กน้อยก็คือน้ำเปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงคล้ายๆเครื่องดื่มอัญชันมะนาวของไทยแต่ปรับเปลี่ยนให้ดูหรูหรา-สวยงามเหมาะสำหรับการนำเสนอในร้านโอมากาเสะยิ่งขึ้นครับ

สำหรับจานแรกนั้นไม่มีส่วนประกอบของเนื้อวัวแม้แต่น้อยแต่เป็นการเคลือบลิ้นด้วยความอูมามิอันเข้มข้นพิเศษ เพื่อเปิดต่อมรับรสชาติซึ่งกระจายอยู่ทั่วให้สัมผัสถึงความอร่อยได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้นพร้อมช่วยเรียกน้ำย่อยให้ออกมาทำงานภายในกระเพาะอาหารกับเมนู "Tomato Confit With Sake" มะเขือเทศสีแดงสดลูกใหญ่กลมโตสวยงามผ่านกระบวนการ "กงฟี" หรือตุ๋นในน้ำมันด้วยอุณหภูมิต่ำใช้เวลานานๆสไตล์ครัวตะวันตกและให้กลิ่นอายความเป็นตะวันออกด้วยการผสมสาเกคุณภาพสูงลงไป มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเคี้ยวชุ่มฉ่ำจากธรรมชาติแท้ซึ่งช่วยเพิ่มความสดชื่นก่อนจะเข้าสู่จานเนื้อวัวต่อมา โดยดอกไม้ประดับสีสันสวยงามกับแผ่นทองคำเปลวที่เห็นทั้งหมดภายในร้านนั้นสามารถกินได้แถมช่วยเพิ่มกลิ่นหอมภายในปากเวลาเคี้ยวอีกด้วย เมนูจานถัดไปมีการตัดให้เป็นเยลลี่ก้อนสี่เหลี่ยมๆแล้วพ่นด้วยประกายทองคำก่อนยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะนั่นคือ "Sous Vide Gyu Tan" หรือสตูว์ส่วนลิ้นวัวตุ๋นไวน์แดงผสมพอนซึยูสุซึ่งมีรสชาติเปรี้ยวและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ เข้ากันได้ดีกับความเข้มข้นของเนื้อวัวสายพันธุ์ไทยโดยจัดเสิร์ฟราวกับพุดดิ้งชิ้นขนาดพอดีคำ ตัวลิ้นวัวตุ๋นมีความนุ่มนิ่มสุดๆเพียงแค่นำลิ้นดุนเล็กน้อยก็ละลายหายไปในปากเพราะเชฟใช้เทคนิค Sous Vide ค่อยๆทำให้สุกภายในถุงสุญญากาศยาวนานถึง 24 ชม.เต็มนั่นเองครับผม

เมนูต่อมาทำจากเนื้อวัวไทยวากิวตัดเสิร์ฟให้เป็นชิ้นสวยงามพอดีคำนั่นก็คือ "Steak S&P" ทางเชฟได้เลือกใช้ส่วนพิคานญ่าเอามาย่างให้พอสุกสวยงามแบบ Medium Rare ปรุงรสด้วยเกลือจากเทือกเขาหิมาลายันอันอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆมีสีชมพูอ่อนใสซึ่งเป็นชนิดดีสุดในโลก จึงได้ความเค็มสุดกลมกล่อมไม่บาดลิ้นจนรบกวนรสชาติอันแท้จริงของตัวสเต๊ก เพิ่มความเผ็ดร้อนและหอมสดชื่นไม่เหมือนใครด้วยพริกไทยคุณภาพสูงของเมืองกัมปอตนำเข้าจากประเทศกัมพูชา ปิดท้ายด้วยซอสแบล็คทรัฟเฟิลสับละเอียดหมักในน้ำมันมะกอกสูตร Extra Virgin มีกลิ่นอันสะท้อนสไตล์ตะวันตกผสมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับเนื้อส่วนมีไขมันน้อยแต่รสชาติเข้มข้นได้อย่างลงตัวดีสุดๆ จานถัดไปยังคงเสิร์ฟสเต๊กแต่ให้กินคู่ซอสนั่นก็คือ "Beef Steak Black & White Mayo" ซึ่งเชฟจะเลือกส่วนที่ดีสุดในแต่ละวันโดยเราได้ลอง Rump หรือสะโพกชั้นไขมันน้อยแต่ให้ความหอมนุ่มเคี้ยวละมุนตามฉบับไทยวากิวย่างแค่พอสุกระดับเดียวเหมือนจานก่อนๆ เสิร์ฟพร้อมรากโกโบเส้นทอดกรอบชวนเคี้ยวเพลินมีกลิ่นกับรสชาติเฉพาะตัวให้สัมผัสคล้ายๆเฟรนซ์ฟรายส์จิ้มซอสตัวแรกสีดำสนิททำจากงาดำคั่วบดส่วนซอสสีขาวทำจากไวท์มิโสะ โดยวิธีการทานก็คือให้ชิมสีดำต่อด้วยสีขาวสุดท้ายให้เอาทั้งสองมาผสมกันได้ความหอมมันละมุนที่แตกต่างแต่อร่อยลงตัวครับ


เมนูถัดไปถูกนำมาวางบนโต๊ะราวกับศิลปะแห่งจานอาหารก็คือ "Tenderloin Maki, Wasabi And Shoyu" ทางหัวหน้าเชฟได้ไอเดียมาจากการทำมากิซูชิของประเทศญี่ปุ่น โดยเลือกใช้เฉพาะส่วนสันในมีไขมันสวยงามของวัวสายพันธุ์ชาร์โรเล่ส์แล่ตามแนวยาวของกล้ามเนื้อเรียงกันให้เป็นเส้นยาวอย่างสวยงาม คลุกเคล้าถ่านชาร์โคลสีดำทำจากกากมะพร้าวเผาอันมีคุณสมบัติที่ดีต่อลำไส้มนุษย์และห่อหุ้มด้วยสาหร่ายแผ่นโนริเหมือนภัตตาคารซูชิชั้นนำ ตัดแต่งเป็นชิ้นให้สวยงามทานพร้อมซอสสีน้ำตาลทำจากโชยุนำมาเคี่ยวกับส่วนผสมพิเศษให้มีสัมผัสเหนียวข้นเล็กน้อยคล้ายซอสราดบนขนมดังโงะ ส่วนสีเขียวอ่อนข้างๆกันนั้นทำจากวาซาบิขูดสดปรุงตามสูตรลับของทางหัวหน้าเชฟให้มีรสชาติเผ็ดฉุนอมหวานนุ่มนวลภายในปาก แล้วตกแต่งปิดท้ายด้วยการวางแผ่นแป้งกรอบบางคล้ายขนมเซมเบ้อบของประเทศญี่ปุ่นสีแดงสดใสสวยงามให้ความรู้สึกเหมือนปะการังใต้ท้องทะเลกับรากบัวสไลด์แผ่นบางชุบแป้งทอดให้มีหลายเฉดสีภายในจานเดียวกัน สำหรับวิธีการทานนั้นทางเชฟแนะนำว่าให้เริ่มทานแผ่นแป้งและรากบัวทอดก่อนจากนั้นค่อยๆเอาตะเกียบคีบเนื้อวัวในมากิซูชิออกมาจิ้มซอสเพื่อชิมรสชาติทีละตัว สุดท้ายให้ปาดส่วนผสมทั้งหมดที่มีในจานรวมกันพร้อมสาหร่ายหุ้มเปลือกข้างนอกในคำสุดท้ายก็จะได้รับความอร่อยครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่องครับ

******* เกิน 10,000 ตัวอักษร ขออนุญาตเขียนรีวิวต่อในช่อง Comment แทนนะครับ *******
ชื่อสินค้า:   Saha Omakase
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - ได้รับสินค้าหรือบริการมาใช้รีวิวฟรี โดยไม่ต้องคืนสินค้าหรือบริการนั้น
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่