^
เสริม คห.5 อีกนิด

ตารางช่องแรกซ้ายสุดนั่น  เป็นราคาที่อิงราคาตลาดสิงคโปร์+ค่าขนส่งทางเรือจากสิงคโปร์มาไทย+ค่าระวาง+ค่าประกันภัย เท่านั้น
(ทำเสมือนว่า ประเทศไทยกลั่นน้ำมันมาให้คนไทยใช้เองไม่ได้ ต้องสั่งน้ำมันสำเร็จรูปนำเข้าจากสิงคโปร์ ด้วยต้นทุนเหมือนนำเข้าจริง)
ซึ่งยังไม่รวม ค่าการตลาดของการขายผ่านหน้าปั๊ม ด้วยนะครับ

แล้วถ้าจะถามว่า ... ลดค่าการตลาดให้เหลือ 0 ได้มั้ย ?
คำตอบ คือ ไม่ได้ครับ เพราะ
1. ค่าการตลาด มันเหมือนเป็น ค่ากำไรขั้นต้น (ราคาขายปลีกหน้าปั๊ม มาลบ ราคาขายส่งที่ปั๊มไปซื้อมาจากโรงกลั่น และภาษีทุกตัวรวมถึงเงินกองทุน 2 กองทุน)
2. พอแต่ละปั๊ม มีกำไรขั้นต้นอยู่แค่นั้น (ตามข้อ 1) เค้าต้องไปหักต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเปิดปั๊มอีกที ไม่ว่าจะ ค่าจ้างพนักงานทุกคน ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต (ลูกค้ารูดจ่ายด้วยบัตร) ฯลฯ
3. เห็นภาพมั้ยครับว่า กำไรที่ปั๊มได้จริงๆ ต่อลิตรน้ำมัน เหลือน้อยแค่ไหน ?
4. เค้าจึงต้องอาศัยกำไรเสริมจากสินค้าและบริการอื่นๆ ที่มาเปิดขาย/ให้บริการในปั๊ม ช่วยอุ้มกำไรรวมให้อยู่รอดให้ได้

ประเทศไทย ราคาน้ำมันเติมรถยนต์ ที่มันแพง นอกจากเรื่องราคาที่มันต้องอิงตลาดโลก เพราะมันเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศด้วยราคาตลาดโลกเป็นหลักแล้ว มันแพงเพิ่มก็เพราะ ภาษีสรรพสามิต และเงินกองทุนน้ำมัน ครับ

หมายเหตุ :: แต่ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ราคาดีเซลหน้าปั๊มไทย ถูกกว่าปกติมาก เพราะเอาเงินกองทุนน้ำมันไปอุ้มลิตรละหลายบาท ตั้งแต่ -1 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ลิตรละ -10 บาทเข้าไปแล้ว

หมายเหตุ 2 :: ขอบคุณคุณหนูท้องขาว ที่ไปเอาตารางโครงสร้างราคาน้ำมันที่มีตัวแปลหัวตารางมาให้ดูด้วย ทำให้คนมาดู ได้รู้ว่าแต่ละคอลัมน์ มันหมายถึงอะไร ?  ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ไอ้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน มันจะทำหัวตารางให้เป็นภาษาอังกฤษไปทำไม .. ห่วยแตกสุนัขไม่รับประทานสิ้นดี