Creditต้นฉบับภาษาอังกฤษจาก Weverse
***แปลแบบงูๆปลาๆ ถ้าผิดต้องขออภัย อยากให้ทุกคนได้เห็นมุมมองความคิดดีๆจากไอดอลรุ่นเก๋าอย่างน้องสา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้มีแค่หน้าตาสวยๆเท่านั้น***
เมื่อได้คุยกับซากุระ ก็ทำให้เรานึกถึงเนื้อเพลงท่อนนึงของเพลง Blue Flame ที่ว่า “ไฟสีน้ำเงินที่ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟ” ถึงแม้การพูดของเธอจะสงบเยือกเย็นและคล่องแคล่ว แต่ก็ไม่อาจซ่อนความร้อนแรงดั่งไฟจากความมุ่งมั่นของเธอไปได้- ไฟที่ลุกโชนมาตลอด12ปี
คุณเดบิวท์ครั้งนี้เป็นครั้งที่3แล้ว กับ Le Sserafim
ซากุระ : ครั้งนี้มันต่างออกไปแน่นอนค่ะ ตอนฉันเดบิวท์ครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ฉันเพิ่งอายุ13 ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจถึงความเป็นไอดอล
แต่กับ LE SSERAFIM มันคงจะเป็นการเดบิวท์ครั้งสุดท้ายของฉํนแล้ว ฉันจึงอยากจะทำมันออกมาให้ดีที่สุด
คุณประสบความสำเร็จอย่างมากมายทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็คงจะตัดสินใจยากมากใช่ไหมที่จะเดบิวท์อีกครั้งนอกประเทศบ้านเกิดของคุณแบบนี้
ซากุระ : ฉันแค่อยากจะเป็นไอดอลต่อไปเรื่อยๆค่ะ ฉันมีความสุขมากในความสัมพันธ์ของฉันกับแฟนๆตลอด10ปีที่ผ่านมา และฉันอยากจะขึ้นแสดงต่อไปเรื่อยๆถ้ามีพวกเขาอยู่ตรงนั้น และที่ผ่านมาฉันก็ยังไม่พอใจกับการแสดงของฉันสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นฉันเลยอยากจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าฉันเติบโตขึ้นมากแค่ไหน ฉันรู้ว่าทางเลือกฉันมันคงจะยากแต่ฉันก็ไม่เสียใจเลยที่เลือกแบบนี้ค่ะ แต่เอาจริงๆมันก็แอบยากกว่าที่คิดนะ(หัวเราะ) เพราะฉันไม่เคยเป็นเด็กฝึกจริงๆมาก่อน เพราะฉนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ฉันฝึกหนักขนาดนี้ก่อนเดบิวท์ ฉันคิดว่าฉันต้องใช้เวลาไปมากมาย ทั้งเข้าเรียนภาษาเกาหลีเป็นครั้งแรก
เข้าเรียนการฝึกร้องเพลงและเต้นขั้นพื้นฐาน ซึ่งมันดีมากๆ มองย้อนกลับไปแล้วมันยากมากจริงๆ แต่มันก็คุ้มค่าและมีความหมายมากสำหรับฉัน
ส่วนไหนที่ยากที่สุด?
ซากุระ ปกติที่ผ่านมาเวลาเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก ฉันมักจะคิดเสมอว่านี่แหละยากที่สุดแล้ว แต่หนนี้คือยากที่สุดจริงๆ(หัวเราะ) ตอนฉันเป็นไอดอล ฉันเคยแสดงบนเวทีเพื่อแฟนๆ แต่มันต่างออกไปเมื่อมาเป็นเด็กฝึก เมื่อเราไม่ได้แสดงให้คนอื่นภายนอกได้รับรู้ ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาแฟนๆดูการแสดงของฉันละเอียดมากขนาดไหน พวกเขามักจะชื่นชมฉันให้กำลังใจและให้ฟีดแบคกับฉันมาเสมอ ฉันจะรู้สึกกังวลมากๆว่าฉันทำได้ดีหรือยัง หรือฉันพัฒนาขึ้นบ้างไหม แล้วยิ่งเมื่อไม่ได้ยินฟีดแบคและการให้กำลังใจเหล่านั้น มันเลยทำให้ฉันได้รู้ซึ้งว่าแฟนๆนั้นสำคัญกับฉันแค่ไหน ฉันเลยอยากแสดงให้พวกเค้าเห็นเร็วๆว่าฉันพัฒนาขึ้นแล้วนะ
เมื่อคุณได้ผ่านประสบการณ์ยากลำบากใหม่ๆอย่างการย้ายค่าย เรียนภาษาเกาหลีและการเป็นเด็กฝึกมาแล้ว มีอะไรที่คุณอยากจะแสดงให้โลกเห็นบ้าง
ซากุระ : ฉันคิดว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับแชวอนและฉันคือ เราอยากจะแสดงให้เห็นด้านที่เราไม่เคยแสดงให้ผู้ชมเห็นมาก่อน ถ้าคุณลองอ่านเนื้อเพลง”Fearless” เพลงเดบิวท์ของเรา นั่นแหละคือเราเลยค่ะ ตอนฉันได้เห็นเนื้อเพลงครั้งแรก สิ่งที่ฉันคิดคือ ทำไมฉันต้องโดนห้ามไม่ให้ทำสิ่งที่อยากจะทำด้วย? ฉันคิดว่าคงจะมีคนมากมายที่เห็นตัวตนใหม่ของฉันแล้วจะสับสน จนถึงขั้นรับไม่ได้กับฉัน ในเนื้อเพลงยังมีอีกท่อนที่บอกว่า ”มาบอกให้ฉันข่มอารมณ์ไว้เนี่ยมันแปลกนะ” นั่นแหละสิ่งที่ฉันรู้สึกมาตลอด10ปีของการเป็นไอดอล
แสดงว่าคุณก็ยังมีความกังวลที่จะแสดงตัวตนใหม่ๆของคุณอยู่ใช่ไหม?
ซากุระ : จะบอกว่าไม่กังวลก็คงไม่ได้หรอกค่ะ คนที่เคยชอบฉันมาตลอดอาจจะคิดว่า เกิดอะไรขึ้นกับกุระที่เราเคยชอบกันแน่? แต่คนเราไม่สามารถอยู่กับสิ่งเดิมๆได้ตลอดหรอกนะคะ แล้วการแสดงตัวตนและสิ่งที่เราจะสื่อสารมันจะเปลี่ยนไปตามช่วงวัยเสมอ ฉันคิดว่าเพราะที่ผ่านมาฉันท้าทายตัวเองอยู่เสมอ มันคงจะไม่เป็นไรมากหรอก และการลองสิ่งใหม่ๆนั้นทำให้เราเติบโตขึ้น ถึงแม้ว่าลุคของฉันบนเวทีจะเปลี่ยนไป แค่ฉันก็ยังเป็นมิยาวากิ ซากุระคนเดิม ซากุระผู้ติดเกมส์ยังไม่เคยเปลี่ยน ที่เปลี่ยนคือฉันบนเวทีเท่านั้น ฉันอยากแสดงให้คนอื่นเห็นตัวตนของฉันค่ะ
บุคลิคที่ดูมั่นใจและสุดเท่ของคุณในFearless และการร้องเสียงโทนต่ำในคอรัสนี้เป็นอะไรที่เราไม่เคยเห็นจากคุณมาก่อน
ซากุระ : ครั้งแรกที่ฉันได้ยินเพลง ฉันดีใจจนร้องกรี้ดออกมาเลยค่ะ(หัวเราะ) แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ลองการร้องและเต้นสไตล์นั้นเป็นครั้งแรก ก็กังวลเหมือนกันว่าจะไหวไหม ฉันเคยชินกับการใช้เสียงดัดเพื่อร้องเพลงมาตลอดน่ะค่ะ แต่คุณโปรดิวเซอร์(13)บอกกับฉันว่าเราต้องรู้สึกถึงมันจริงๆ ถึงจะเข้าถึงหัวใจของผู้คนได้ค่ะ ฉันเลยพยายามจะคิดถึงความหมายของเนื้อเพลงนี้ตลอดการอัดเสียง เพลงนี้เป็นเพลงที่เราอยากจะสื่อออกมาจริงๆ เพราะงั้นแม้แต่เวลาที่เราเต้น การแสดงออกและการเคลื่อนไหวของเราก็ออกมาโดยธรรมชาติ ฉันคิดว่ามันเป็นการแสดงแบบที่ไม่ต้องมาปรุงแต่งอะไรมากมายค่ะ แค่เป็นตัวของตัวเองเท่านั้น
ในเพลง Blue flame มีท่อนที่ใช้เสียงFalsetto ที่คุณทำได้ดีทีเดียว แม้ว่าคุณจะเคยร้องแบบนี้เป็นครั้งแรก
ซากุระ : ก็ต้องยอมรับว่าเนื้อเพลงภาษาอังกฤษพวกนั้นมันทำให้ยากมากกว่าเดิมค่ะ(หัวเราะ) ตอนนี้ฉันได้เรียนภาษาอังกฤษแล้ว และมันมีท่อนที่ยากๆในเนื้อเพลงด้วย ฉันเลยต้องระมัดระวังในการออกเสียงมากกกว่าเดิม ยุนจินช่วยฉันได้เยอะเลย เธอเก่งภาษามากจริงๆ ปกติฉันเคยฝึกแต่เพลงภาษาเกาหลีค่ะ เพิ่งจะได้ลองฝึกเพลงภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกตอนมาสังกัดค่ายนี้ ฉันเลยมีวิธีการออกเสียงที่เปลี่ยนไป และก็ได้เปิดประสบการณ์ใหม่มากขึ้น ปกติแล้วฉันจะรู้สึกกดดันมากเวลาต้องไปอัดเสียง แต่ตอนนี้ฉันคิดในแง่บวกมากขึ้น นี่มันสนุกจังเลย! ฉันอยากจะพัฒนาให้มากกว่านี้ แม้แต่ตอนซ้อมเพื่อการแสดงสดก็ด้วย
ก
ารเตรียมพร้อมเพื่อการแสดงยากบ้างไหม ท่าเต้นหลายท่าในBlueflameที่มันค่อนข้างเบสิค แต่เราคิดว่าคุณก็คงต้องฝึกอย่างหนักเพื่อให้พร้อมเพรียงกับสมาชิกคนอื่น
ซากุระ : ตอนเพลงFearless มันใช้เวลานานมากๆกว่าเราจะเริ่มเต้นได้เข้าจังหวะกัน ฉันว่าเพราะเราเพิ่งเคยเจอกันด้วย แต่พอต้องฝึกในเพลงนั้นไปนานๆเข้า ปรากฎว่าในBlue flameเราไม่ได้ต้องพยายามขนาดนั้น อะไรๆมันลงตัวโดยที่เราแทบไม่ต้องฝึกมากมายด้วยซ้ำ พวกเราถึงกับพูดว่า”เราเป็นทีมเดียวกันแล้วจริงๆสินะ!”(หัวเราะ) ฉันมีIpadเครื่องใหญ่ที่จะใช้อัดเวลาเราฝึกด้วยกันทุกวัน แล้วเอามากรอดูเพื่อหาจุดเล็กๆน้อยๆที่เราต้องแก้ไข ตอนนี้ในipadฉันเลยเต็มไปด้วยวิดีโอเหล่านี้ค่ะ(หัวเราะ) บางครั้งพอเรามาดูวิดีโอเก่าๆ เราก็จะคุยกันว่า “เราพัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ” ฉันอยู่ในห้องซ้อมตลอดเลยค่ะนอกจากเวลานอน ฉันเลยรู้สึกว่าที่ทุ่มเทไปมันคุ้มค่ามากๆ ฉันภูมิใจในตัวพวกเราทุกคนเลย
คุณกับแชวอนมีประเด็นอะไรต้องคุยกันไหมตอนฝึกในวงใหม่ ถึงแม้ว่าคุณจะเคยอยู่ด้วยกันในIZ*ONEก็ตาม แต่มันน่าจะมีบางอย่างที่ต่างออกไปเมื่อพวกคุณอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆแล้ว
ซากุระ : แชวอนเปลี่ยนไปมากจริงๆเลยค่ะ เมื่อก่อนเรามีทั้งสมาชิกที่แก่กว่า และเราก็มีลีดเดอร์ด้วย ฉันเลยไม่เคยได้ยินเธอพูดหรือออกความเห็นเลยเวลาเราซ้อมด้วยกัน แต่ตอนนี้ในLe sserfim เรา2คนแก่ที่สุด เพราะงั้นเราต้องคอยแนะแนวให้เด็กๆของเรา ฉันยังประหลาดใจไม่หายเวลาได้ยินเธอพูดประโยคประมาณว่า”ท่อนนี้เรายังไม่ได้เรื่องเลย มาฝึกให้มากขึ้นกันเถอะ” จากปากของเธอ และฉันว่าเธอเท่มากเลยเวลาพูดอะไรแบบนั้น เราไม่ค่อยได้คุยกันมากนักตอนเราเตรียมเดบิวท์ แต่แค่มองตากันเราก็เข้าใจกันค่ะ(หืม?) ฉันบอกเธอว่าฉันคงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้ถ้าไม่มีเธอ เธอเองก็บอกว่ารู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ฉันเลยรู้สึกดีมากๆ(หืมมมม??) เมื่อก่อนแชวอนและฉันไม่เคยมานั่งปรับทุกข์อะไรกันเลยค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เรารู้สึกสบายใจที่เราบ่นหรือระบายถึงสิ่งที่ยากลำบากให้อีกฝ่ายฟังได้มากขึ้น แม้แต่ต่อหน้าเมมเบอร์คนอื่นๆ
ดูเหมือนมิตรภาพระหว่างเมมเบอร์คือตัวช่วยที่ทำให้ผ่านเวลาที่ยากลำบากด้วยกัน
ซากุระ : มันน่าทึ่งมากที่เราสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่เราไม่ได้ฝึกด้วยกันมานานขนาดนั้น(หัวเราะ) มันใช้เวลาสักพักกว่าจะมีการกำหนดตัวเมมเบอร์
มีบางช่วงที่เราต้องอดทนฝึกไปเรื่อยๆแบบไม่รู้ชะตากรรมว่าเราจะได้เดบิวท์ไหม แต่พอมองย้อนกลับไปแล้ว ฉันว่าเพราะความลำบากนั้นมันเลยหล่อหลอมเราเข้าด้วยกัน ถ้าเราแค่คนใดคนนึงเลือกทางที่ต่างออกไป เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันนี้ ฉันคงยังทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น แชวอนคงอยู่ที่อื่น ยุนจินก็คงเรียนอยู่ที่อเมริกา เพราะงั้นฉันคิดว่ามันเป็นโชคชะตาที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันค่ะ ฉันเคยเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง หลายๆคนเลยคิดว่าฉันเป็นคนเย็นชา แต่ตอนนี้ฉันสนใจในการดูแลเมมเบอร์คนอื่นมากกว่าตัวเอง และมันปวดใจที่จะเห็นเมมเบอร์คนอื่นลำบากแทนที่จะเป็นฉันเอง ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ และในฐานะคนที่มีประสบการณ์มากที่สุด ฉันอยากจะดูแลเด็กๆของฉันทุกคนค่ะ
มีอะไรที่คุณอยากจะแนะนำสมาชิกคนอื่น จากประสบการณ์ของคุณบ้างไหม?
ซากุระ : ฉันอยากจะบอกพวกเค้าถึงวิธีการรับมือกับความยากลำบากหรือสิ่งต่างๆที่พวกเค้าจะได้เจอตอนที่เราเดบิวท์ เพราะพวกเค้าอาจจะได้เจอสิ่งที่ฉันเคยเจอ เมื่อเธออยู่ในแสงไฟเธอจะต้องเจอคำพูดและความเกลียดชังมากมายที่ถาโถมใส่เธอ แรกๆมันยากมากที่จะต้องทนเห็นคนที่ไม่แม้แต่จะเคยเจอฉัน มาพูดถึงเรื่องเสียหายมากมายเกี่ยวกับฉันโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจริงหรือไม่จริง มันจะมีสิ่งที่เรียกว่ากฎ 2:6:2 อยู่ คน20%จะรักเธอเสมอไม่ว่าเธอจะทำอะไร อีก60%จะตัดสินเธอตามสิ่งที่เธอเป็น และอีก20%จะเกลียดเธอไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็ตาม เพราะฉนั้นสิ่งที่ฉันจะบอกคือ ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ไม่ต้องไปให้ค่าคนที่เกลียดเธอ พยายามให้เต็มที่เพื่อแสดงให้คนที่ตัดสินเธออย่างเป็นธรรมเห็นก็พอ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรที่มันผ่านไปแล้วได้ แต่ถ้าเธอทำวันนี้ให้ดีที่สุด เธอจะสามารถเปลี่ยนคนเหล่านั้น(60%)ให้มาสนับสนุนเธอได้ นี่คืออนาคตที่ฉันอยากจะให้พวกเธอได้รู้ไว้ค่ะ
ฉันคิดว่าคุณคงมีประสบการณ์มากมายที่จะแชร์ ด้วยความที่คุณทำงานมาอย่างยาวนาน และเป็นที่รู้กันว่าคุณชอบอ่านหนังสือและดูหนังมากจนคุณอยากจะแต่งนิยายเกี่ยวกับประสบการณ์ความเป็นไอดอล ทำไมคุณถึงชอบพวกมัน
ซากุระ : ครอบครัวของฉันเพิ่งส่งนิยายขายดีที่ญี่ปุ่นมาให้เมื่อเดือนที่แล้วค่ะ และฉันก็อ่านมันเสมอเมื่อมีเวลาว่างแม้จะแค่แปปเดียวก็ตาม บางครั้งฉันก็คิดว่าที่ชีวิตฉันยากขนาดนี้เพราะเลือกที่จะเป็นไอดอลหรือเปล่านะ หรือถ้าฉันทำอย่างอื่นจะมีความสุขมากกว่านี้หรือเปล่า? แต่พอฉันได้อ่านหนังสือถึงคนอาชีพอื่นๆที่ฉันไม่เคยสัมผัส ฉันก็รู้ได้ว่าทุกคนต่างก็มีช่วงเวลายากลำบาก และก็มีช่วงเวลาที่แสนสุขของตัวเองทั้งนั้น ฉันเลยชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ
แถมคุณยังเคยเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับหนังที่ญี่ปุ่นอีกด้วย ฉันประหลาดใจกับบทความรีวิวหนังเรื่องClose-Knit ที่คุณเขียนว่า “เราควรจะทำความเข้าใจกลุ่มLGBTQให้มากกว่านี้”
ซากุระ : ในตอนนั้นมันจะมีบรรยากาศอะไรบางอย่างที่ทำให้ไอดอลต้องระมัดระวังในการแสดงความเห็นค่ะ แต่ฉันคิดว่าฉันควรพูดมันออกมาอยู่ดี ไอดอลไม่ใช่แค่คนที่ร้องหรือเต้นบนเวที พวกเขาต้องเป็นตัวอย่างให้กับผู้คน และบางครั้งก็ต้องเคียงข้างผู้ที่แตกต่างด้วย ฉันอยากจะให้คนได้รู้ว่าในสังคมเรามีความแตกต่างนี้อยู่ และฉันคิดว่าถ้าไอดอลเป็นคนพูดมันจะสามารถทำให้คนหันมาสนใจเรื่องพวกนี้ได้มากขึ้น สักวันวงของเราจะมีเพลงที่เกี่ยวกับความรัก และฉันอยากจะร้องเพลงรักที่มันไม่ต้องมีสถานะหรือข้อจำกัดเรื่องเพศใดๆ
มีต่อที่ คห.1
[แปลบทความ] บทสัมภาษณ์ซากุระ จากนิตยสาร Weverse Magazine
***แปลแบบงูๆปลาๆ ถ้าผิดต้องขออภัย อยากให้ทุกคนได้เห็นมุมมองความคิดดีๆจากไอดอลรุ่นเก๋าอย่างน้องสา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้มีแค่หน้าตาสวยๆเท่านั้น***
เมื่อได้คุยกับซากุระ ก็ทำให้เรานึกถึงเนื้อเพลงท่อนนึงของเพลง Blue Flame ที่ว่า “ไฟสีน้ำเงินที่ร้อนแรงยิ่งกว่าไฟ” ถึงแม้การพูดของเธอจะสงบเยือกเย็นและคล่องแคล่ว แต่ก็ไม่อาจซ่อนความร้อนแรงดั่งไฟจากความมุ่งมั่นของเธอไปได้- ไฟที่ลุกโชนมาตลอด12ปี
คุณเดบิวท์ครั้งนี้เป็นครั้งที่3แล้ว กับ Le Sserafim
ซากุระ : ครั้งนี้มันต่างออกไปแน่นอนค่ะ ตอนฉันเดบิวท์ครั้งแรกที่ญี่ปุ่น ฉันเพิ่งอายุ13 ยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจถึงความเป็นไอดอล
แต่กับ LE SSERAFIM มันคงจะเป็นการเดบิวท์ครั้งสุดท้ายของฉํนแล้ว ฉันจึงอยากจะทำมันออกมาให้ดีที่สุด
คุณประสบความสำเร็จอย่างมากมายทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็คงจะตัดสินใจยากมากใช่ไหมที่จะเดบิวท์อีกครั้งนอกประเทศบ้านเกิดของคุณแบบนี้
ซากุระ : ฉันแค่อยากจะเป็นไอดอลต่อไปเรื่อยๆค่ะ ฉันมีความสุขมากในความสัมพันธ์ของฉันกับแฟนๆตลอด10ปีที่ผ่านมา และฉันอยากจะขึ้นแสดงต่อไปเรื่อยๆถ้ามีพวกเขาอยู่ตรงนั้น และที่ผ่านมาฉันก็ยังไม่พอใจกับการแสดงของฉันสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นฉันเลยอยากจะแสดงให้พวกเขาเห็นว่าฉันเติบโตขึ้นมากแค่ไหน ฉันรู้ว่าทางเลือกฉันมันคงจะยากแต่ฉันก็ไม่เสียใจเลยที่เลือกแบบนี้ค่ะ แต่เอาจริงๆมันก็แอบยากกว่าที่คิดนะ(หัวเราะ) เพราะฉันไม่เคยเป็นเด็กฝึกจริงๆมาก่อน เพราะฉนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่ฉันฝึกหนักขนาดนี้ก่อนเดบิวท์ ฉันคิดว่าฉันต้องใช้เวลาไปมากมาย ทั้งเข้าเรียนภาษาเกาหลีเป็นครั้งแรก
เข้าเรียนการฝึกร้องเพลงและเต้นขั้นพื้นฐาน ซึ่งมันดีมากๆ มองย้อนกลับไปแล้วมันยากมากจริงๆ แต่มันก็คุ้มค่าและมีความหมายมากสำหรับฉัน
ส่วนไหนที่ยากที่สุด?
ซากุระ ปกติที่ผ่านมาเวลาเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก ฉันมักจะคิดเสมอว่านี่แหละยากที่สุดแล้ว แต่หนนี้คือยากที่สุดจริงๆ(หัวเราะ) ตอนฉันเป็นไอดอล ฉันเคยแสดงบนเวทีเพื่อแฟนๆ แต่มันต่างออกไปเมื่อมาเป็นเด็กฝึก เมื่อเราไม่ได้แสดงให้คนอื่นภายนอกได้รับรู้ ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาแฟนๆดูการแสดงของฉันละเอียดมากขนาดไหน พวกเขามักจะชื่นชมฉันให้กำลังใจและให้ฟีดแบคกับฉันมาเสมอ ฉันจะรู้สึกกังวลมากๆว่าฉันทำได้ดีหรือยัง หรือฉันพัฒนาขึ้นบ้างไหม แล้วยิ่งเมื่อไม่ได้ยินฟีดแบคและการให้กำลังใจเหล่านั้น มันเลยทำให้ฉันได้รู้ซึ้งว่าแฟนๆนั้นสำคัญกับฉันแค่ไหน ฉันเลยอยากแสดงให้พวกเค้าเห็นเร็วๆว่าฉันพัฒนาขึ้นแล้วนะ
เมื่อคุณได้ผ่านประสบการณ์ยากลำบากใหม่ๆอย่างการย้ายค่าย เรียนภาษาเกาหลีและการเป็นเด็กฝึกมาแล้ว มีอะไรที่คุณอยากจะแสดงให้โลกเห็นบ้าง
ซากุระ : ฉันคิดว่าสิ่งที่ท้าทายที่สุดสำหรับแชวอนและฉันคือ เราอยากจะแสดงให้เห็นด้านที่เราไม่เคยแสดงให้ผู้ชมเห็นมาก่อน ถ้าคุณลองอ่านเนื้อเพลง”Fearless” เพลงเดบิวท์ของเรา นั่นแหละคือเราเลยค่ะ ตอนฉันได้เห็นเนื้อเพลงครั้งแรก สิ่งที่ฉันคิดคือ ทำไมฉันต้องโดนห้ามไม่ให้ทำสิ่งที่อยากจะทำด้วย? ฉันคิดว่าคงจะมีคนมากมายที่เห็นตัวตนใหม่ของฉันแล้วจะสับสน จนถึงขั้นรับไม่ได้กับฉัน ในเนื้อเพลงยังมีอีกท่อนที่บอกว่า ”มาบอกให้ฉันข่มอารมณ์ไว้เนี่ยมันแปลกนะ” นั่นแหละสิ่งที่ฉันรู้สึกมาตลอด10ปีของการเป็นไอดอล
แสดงว่าคุณก็ยังมีความกังวลที่จะแสดงตัวตนใหม่ๆของคุณอยู่ใช่ไหม?
ซากุระ : จะบอกว่าไม่กังวลก็คงไม่ได้หรอกค่ะ คนที่เคยชอบฉันมาตลอดอาจจะคิดว่า เกิดอะไรขึ้นกับกุระที่เราเคยชอบกันแน่? แต่คนเราไม่สามารถอยู่กับสิ่งเดิมๆได้ตลอดหรอกนะคะ แล้วการแสดงตัวตนและสิ่งที่เราจะสื่อสารมันจะเปลี่ยนไปตามช่วงวัยเสมอ ฉันคิดว่าเพราะที่ผ่านมาฉันท้าทายตัวเองอยู่เสมอ มันคงจะไม่เป็นไรมากหรอก และการลองสิ่งใหม่ๆนั้นทำให้เราเติบโตขึ้น ถึงแม้ว่าลุคของฉันบนเวทีจะเปลี่ยนไป แค่ฉันก็ยังเป็นมิยาวากิ ซากุระคนเดิม ซากุระผู้ติดเกมส์ยังไม่เคยเปลี่ยน ที่เปลี่ยนคือฉันบนเวทีเท่านั้น ฉันอยากแสดงให้คนอื่นเห็นตัวตนของฉันค่ะ
บุคลิคที่ดูมั่นใจและสุดเท่ของคุณในFearless และการร้องเสียงโทนต่ำในคอรัสนี้เป็นอะไรที่เราไม่เคยเห็นจากคุณมาก่อน
ซากุระ : ครั้งแรกที่ฉันได้ยินเพลง ฉันดีใจจนร้องกรี้ดออกมาเลยค่ะ(หัวเราะ) แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้ลองการร้องและเต้นสไตล์นั้นเป็นครั้งแรก ก็กังวลเหมือนกันว่าจะไหวไหม ฉันเคยชินกับการใช้เสียงดัดเพื่อร้องเพลงมาตลอดน่ะค่ะ แต่คุณโปรดิวเซอร์(13)บอกกับฉันว่าเราต้องรู้สึกถึงมันจริงๆ ถึงจะเข้าถึงหัวใจของผู้คนได้ค่ะ ฉันเลยพยายามจะคิดถึงความหมายของเนื้อเพลงนี้ตลอดการอัดเสียง เพลงนี้เป็นเพลงที่เราอยากจะสื่อออกมาจริงๆ เพราะงั้นแม้แต่เวลาที่เราเต้น การแสดงออกและการเคลื่อนไหวของเราก็ออกมาโดยธรรมชาติ ฉันคิดว่ามันเป็นการแสดงแบบที่ไม่ต้องมาปรุงแต่งอะไรมากมายค่ะ แค่เป็นตัวของตัวเองเท่านั้น
ในเพลง Blue flame มีท่อนที่ใช้เสียงFalsetto ที่คุณทำได้ดีทีเดียว แม้ว่าคุณจะเคยร้องแบบนี้เป็นครั้งแรก
ซากุระ : ก็ต้องยอมรับว่าเนื้อเพลงภาษาอังกฤษพวกนั้นมันทำให้ยากมากกว่าเดิมค่ะ(หัวเราะ) ตอนนี้ฉันได้เรียนภาษาอังกฤษแล้ว และมันมีท่อนที่ยากๆในเนื้อเพลงด้วย ฉันเลยต้องระมัดระวังในการออกเสียงมากกกว่าเดิม ยุนจินช่วยฉันได้เยอะเลย เธอเก่งภาษามากจริงๆ ปกติฉันเคยฝึกแต่เพลงภาษาเกาหลีค่ะ เพิ่งจะได้ลองฝึกเพลงภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกตอนมาสังกัดค่ายนี้ ฉันเลยมีวิธีการออกเสียงที่เปลี่ยนไป และก็ได้เปิดประสบการณ์ใหม่มากขึ้น ปกติแล้วฉันจะรู้สึกกดดันมากเวลาต้องไปอัดเสียง แต่ตอนนี้ฉันคิดในแง่บวกมากขึ้น นี่มันสนุกจังเลย! ฉันอยากจะพัฒนาให้มากกว่านี้ แม้แต่ตอนซ้อมเพื่อการแสดงสดก็ด้วย
การเตรียมพร้อมเพื่อการแสดงยากบ้างไหม ท่าเต้นหลายท่าในBlueflameที่มันค่อนข้างเบสิค แต่เราคิดว่าคุณก็คงต้องฝึกอย่างหนักเพื่อให้พร้อมเพรียงกับสมาชิกคนอื่น
ซากุระ : ตอนเพลงFearless มันใช้เวลานานมากๆกว่าเราจะเริ่มเต้นได้เข้าจังหวะกัน ฉันว่าเพราะเราเพิ่งเคยเจอกันด้วย แต่พอต้องฝึกในเพลงนั้นไปนานๆเข้า ปรากฎว่าในBlue flameเราไม่ได้ต้องพยายามขนาดนั้น อะไรๆมันลงตัวโดยที่เราแทบไม่ต้องฝึกมากมายด้วยซ้ำ พวกเราถึงกับพูดว่า”เราเป็นทีมเดียวกันแล้วจริงๆสินะ!”(หัวเราะ) ฉันมีIpadเครื่องใหญ่ที่จะใช้อัดเวลาเราฝึกด้วยกันทุกวัน แล้วเอามากรอดูเพื่อหาจุดเล็กๆน้อยๆที่เราต้องแก้ไข ตอนนี้ในipadฉันเลยเต็มไปด้วยวิดีโอเหล่านี้ค่ะ(หัวเราะ) บางครั้งพอเรามาดูวิดีโอเก่าๆ เราก็จะคุยกันว่า “เราพัฒนาขึ้นเยอะเลยนะ” ฉันอยู่ในห้องซ้อมตลอดเลยค่ะนอกจากเวลานอน ฉันเลยรู้สึกว่าที่ทุ่มเทไปมันคุ้มค่ามากๆ ฉันภูมิใจในตัวพวกเราทุกคนเลย
คุณกับแชวอนมีประเด็นอะไรต้องคุยกันไหมตอนฝึกในวงใหม่ ถึงแม้ว่าคุณจะเคยอยู่ด้วยกันในIZ*ONEก็ตาม แต่มันน่าจะมีบางอย่างที่ต่างออกไปเมื่อพวกคุณอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆแล้ว
ซากุระ : แชวอนเปลี่ยนไปมากจริงๆเลยค่ะ เมื่อก่อนเรามีทั้งสมาชิกที่แก่กว่า และเราก็มีลีดเดอร์ด้วย ฉันเลยไม่เคยได้ยินเธอพูดหรือออกความเห็นเลยเวลาเราซ้อมด้วยกัน แต่ตอนนี้ในLe sserfim เรา2คนแก่ที่สุด เพราะงั้นเราต้องคอยแนะแนวให้เด็กๆของเรา ฉันยังประหลาดใจไม่หายเวลาได้ยินเธอพูดประโยคประมาณว่า”ท่อนนี้เรายังไม่ได้เรื่องเลย มาฝึกให้มากขึ้นกันเถอะ” จากปากของเธอ และฉันว่าเธอเท่มากเลยเวลาพูดอะไรแบบนั้น เราไม่ค่อยได้คุยกันมากนักตอนเราเตรียมเดบิวท์ แต่แค่มองตากันเราก็เข้าใจกันค่ะ(หืม?) ฉันบอกเธอว่าฉันคงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้ถ้าไม่มีเธอ เธอเองก็บอกว่ารู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ฉันเลยรู้สึกดีมากๆ(หืมมมม??) เมื่อก่อนแชวอนและฉันไม่เคยมานั่งปรับทุกข์อะไรกันเลยค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เรารู้สึกสบายใจที่เราบ่นหรือระบายถึงสิ่งที่ยากลำบากให้อีกฝ่ายฟังได้มากขึ้น แม้แต่ต่อหน้าเมมเบอร์คนอื่นๆ
ดูเหมือนมิตรภาพระหว่างเมมเบอร์คือตัวช่วยที่ทำให้ผ่านเวลาที่ยากลำบากด้วยกัน
ซากุระ : มันน่าทึ่งมากที่เราสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่เราไม่ได้ฝึกด้วยกันมานานขนาดนั้น(หัวเราะ) มันใช้เวลาสักพักกว่าจะมีการกำหนดตัวเมมเบอร์
มีบางช่วงที่เราต้องอดทนฝึกไปเรื่อยๆแบบไม่รู้ชะตากรรมว่าเราจะได้เดบิวท์ไหม แต่พอมองย้อนกลับไปแล้ว ฉันว่าเพราะความลำบากนั้นมันเลยหล่อหลอมเราเข้าด้วยกัน ถ้าเราแค่คนใดคนนึงเลือกทางที่ต่างออกไป เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวันนี้ ฉันคงยังทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น แชวอนคงอยู่ที่อื่น ยุนจินก็คงเรียนอยู่ที่อเมริกา เพราะงั้นฉันคิดว่ามันเป็นโชคชะตาที่ทำให้เราอยู่ด้วยกันค่ะ ฉันเคยเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง หลายๆคนเลยคิดว่าฉันเป็นคนเย็นชา แต่ตอนนี้ฉันสนใจในการดูแลเมมเบอร์คนอื่นมากกว่าตัวเอง และมันปวดใจที่จะเห็นเมมเบอร์คนอื่นลำบากแทนที่จะเป็นฉันเอง ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ และในฐานะคนที่มีประสบการณ์มากที่สุด ฉันอยากจะดูแลเด็กๆของฉันทุกคนค่ะ
มีอะไรที่คุณอยากจะแนะนำสมาชิกคนอื่น จากประสบการณ์ของคุณบ้างไหม?
ซากุระ : ฉันอยากจะบอกพวกเค้าถึงวิธีการรับมือกับความยากลำบากหรือสิ่งต่างๆที่พวกเค้าจะได้เจอตอนที่เราเดบิวท์ เพราะพวกเค้าอาจจะได้เจอสิ่งที่ฉันเคยเจอ เมื่อเธออยู่ในแสงไฟเธอจะต้องเจอคำพูดและความเกลียดชังมากมายที่ถาโถมใส่เธอ แรกๆมันยากมากที่จะต้องทนเห็นคนที่ไม่แม้แต่จะเคยเจอฉัน มาพูดถึงเรื่องเสียหายมากมายเกี่ยวกับฉันโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจริงหรือไม่จริง มันจะมีสิ่งที่เรียกว่ากฎ 2:6:2 อยู่ คน20%จะรักเธอเสมอไม่ว่าเธอจะทำอะไร อีก60%จะตัดสินเธอตามสิ่งที่เธอเป็น และอีก20%จะเกลียดเธอไม่ว่าจะทำดีแค่ไหนก็ตาม เพราะฉนั้นสิ่งที่ฉันจะบอกคือ ไม่ว่าเธอจะทำอะไร ไม่ต้องไปให้ค่าคนที่เกลียดเธอ พยายามให้เต็มที่เพื่อแสดงให้คนที่ตัดสินเธออย่างเป็นธรรมเห็นก็พอ เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรที่มันผ่านไปแล้วได้ แต่ถ้าเธอทำวันนี้ให้ดีที่สุด เธอจะสามารถเปลี่ยนคนเหล่านั้น(60%)ให้มาสนับสนุนเธอได้ นี่คืออนาคตที่ฉันอยากจะให้พวกเธอได้รู้ไว้ค่ะ
ฉันคิดว่าคุณคงมีประสบการณ์มากมายที่จะแชร์ ด้วยความที่คุณทำงานมาอย่างยาวนาน และเป็นที่รู้กันว่าคุณชอบอ่านหนังสือและดูหนังมากจนคุณอยากจะแต่งนิยายเกี่ยวกับประสบการณ์ความเป็นไอดอล ทำไมคุณถึงชอบพวกมัน
ซากุระ : ครอบครัวของฉันเพิ่งส่งนิยายขายดีที่ญี่ปุ่นมาให้เมื่อเดือนที่แล้วค่ะ และฉันก็อ่านมันเสมอเมื่อมีเวลาว่างแม้จะแค่แปปเดียวก็ตาม บางครั้งฉันก็คิดว่าที่ชีวิตฉันยากขนาดนี้เพราะเลือกที่จะเป็นไอดอลหรือเปล่านะ หรือถ้าฉันทำอย่างอื่นจะมีความสุขมากกว่านี้หรือเปล่า? แต่พอฉันได้อ่านหนังสือถึงคนอาชีพอื่นๆที่ฉันไม่เคยสัมผัส ฉันก็รู้ได้ว่าทุกคนต่างก็มีช่วงเวลายากลำบาก และก็มีช่วงเวลาที่แสนสุขของตัวเองทั้งนั้น ฉันเลยชอบอ่านหนังสือและดูหนังค่ะ
แถมคุณยังเคยเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับหนังที่ญี่ปุ่นอีกด้วย ฉันประหลาดใจกับบทความรีวิวหนังเรื่องClose-Knit ที่คุณเขียนว่า “เราควรจะทำความเข้าใจกลุ่มLGBTQให้มากกว่านี้”
ซากุระ : ในตอนนั้นมันจะมีบรรยากาศอะไรบางอย่างที่ทำให้ไอดอลต้องระมัดระวังในการแสดงความเห็นค่ะ แต่ฉันคิดว่าฉันควรพูดมันออกมาอยู่ดี ไอดอลไม่ใช่แค่คนที่ร้องหรือเต้นบนเวที พวกเขาต้องเป็นตัวอย่างให้กับผู้คน และบางครั้งก็ต้องเคียงข้างผู้ที่แตกต่างด้วย ฉันอยากจะให้คนได้รู้ว่าในสังคมเรามีความแตกต่างนี้อยู่ และฉันคิดว่าถ้าไอดอลเป็นคนพูดมันจะสามารถทำให้คนหันมาสนใจเรื่องพวกนี้ได้มากขึ้น สักวันวงของเราจะมีเพลงที่เกี่ยวกับความรัก และฉันอยากจะร้องเพลงรักที่มันไม่ต้องมีสถานะหรือข้อจำกัดเรื่องเพศใดๆ
มีต่อที่ คห.1