JJNY : 4in1 ห้างดังเชียงใหม่ปิดชั่วคราว│ปชช.ร้องขึ้นค่าแรง│เตรียมรับมือ‘สายพันธุ์ใหม่’│“ผู้ชาย-เด็กชาย”ถูกรัสเซียข่มขืน

ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา ห้างดังเชียงใหม่ แบกไม่ไหว ประกาศปิดชั่วคราว
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_7032858
 
 
ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา ห้างดังเชียงใหม่ แบกไม่ไหว ประกาศปิดชั่วคราว แจ้งร้านค้าให้ทราบ ประคองสถานการณ์มา 3 ปี ตั้งแต่โควิดระบาด รายจ่ายมากกว่ารายรับ
 
วันที่ 5 พ.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ ทำหนังสือแจ้งร้านค้าในศูนย์การค้าทุกร้าน ประกาศปิดชั่วคราว มีรายละเอียดระบุว่า 

ตามที่ร้านค้าในศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ ทราบเป็นอย่างดีว่า ศูนย์การค้าได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์โควิด ตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 เป็นต้นมา
 
ศูนย์การค้าฯ ได้พยายามประคับประคองสถานการณ์ด้านการเงิน และต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกินกว่ารายรับอย่างเต็มความสามารถมาโดยตลอด 3 ปี และได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้ร้านค้าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยพยายามให้ส่วนลดค่าเช่า รวมถึงการงดเก็บค่าเช่าในบางเดือนเพื่อให้ร้านค้า และศูนย์การค้าฯสามารถฝ่าฟันสถานการณ์นี้ไปด้วยกันได้
  
บริษัท อีอีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด และ ผู้ถือหุ้นทุกท่าน ขอขอบคุณทุกร้านค้า สำหรับความไว้วางใจในการเปิดร้านค้า และ การลงทุนทำธุรกิจภายในศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ ด้วยดีเสมอมา
  
บริษัท อีอีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องแจ้งให้ร้านค้าในศูนย์ฯการค้า ทราบว่า บริษัทฯไม่อาจแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกินกว่ารายรับได้อีกต่อไป
  
บริษัท อีอีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด จึงมีความจำเป็นต้องปิด ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.65 เป็นต้นไป หรือ จนกว่าจะได้รับเงินลงทุน โดยหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อันเป็นสาระสำคัญบริษัทฯจะแจ้งให้ร้านค้าทุกร้านทราบต่อไป
 

 
ปชช.ร้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ พ้อรายได้ไม่พอรายจ่าย ต้องซื้อโครงไก่กินแล้ว
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/289776

สินค้าแพง สะท้อนชัดเจนจากเสียงประชาชน ที่ระบุตรงกันว่า วันนี้รายได้ไม่พอรายจ่าย ราคาสินค้าขึ้นแซงค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว

ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจการจับจ่ายของประชาชน พบว่า ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกตัว ทำให้ต้องควักกระเป๋าใช้จ่ายแต่ละครั้งมากขึ้น จากเดิมที่การซื้อสินค้าจำเป็นแต่ละครั้ง จะเตรียมเงินมาประมาณ 1-2 พันบาท แต่วันนี้ซื้อของเท่าเดิม แต่ต้องใช้เงินมากกว่า 2 พันบาทขึ้นไป ในขณะที่รายได้ไม่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องซื้อสินค้าเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น

ขณะที่กลุ่มผู้มีรายได้น้อย กระทบหนัก รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ทำให้พวกเขาต้องปรับการบริโภค หันไปซื้อสินค้าที่มีราคาถูกกว่าแทน เช่น จากที่เคยซื้อหมู ก็ต้องเปลี่ยนเป็นไก่ หรือ อาหารประเภทอื่นแทน และซื้อในจำนวนจำกัด จึงวอนให้ภาครัฐเห็นใจ ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และไม่ต้องกังวลว่าสินค้าจะปรับราคาขึ้นตาม เพราะวันนี้ราคาสินค้าได้ขึ้นแซงหน้าค่าแรงไปแล้ว

อย่างไรก็ดี จากการสำรวจราคาสินค้าภายในห้างค้าปลีก พบว่า มีการจัดแคมเปญสินค้าราคาพิเศษ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยเฉพาะชุดนักเรียน ที่กำลังจะเปิดเทอมกันกลางเดือนนี้ ซึ่งคาดว่า ความต้องการซื้อจะเพิ่มมากขึ้น จากการกลับมาเปิดเรียนแบบ Onsite
 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

 
หมอธีระ ชี้เปิดประเทศ เตรียมรับมือ ‘สายพันธุ์ใหม่’ ปะทุ ป่วยลองโควิด ใช้จ่ายยาว
https://www.matichon.co.th/covid19/news_3326859
 
หมอธีระ ชี้เปิดประเทศ เตรียมรับมือ ‘สายพันธุ์ใหม่’ ปะทุ ป่วยลองโควิด ใช้จ่ายยาว
 
เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า 
 
ทางต่างประเทศอีเมล์มาถาม 2 เรื่องที่น่าสนใจ
 
โดยถามว่าไทยเรานั้นกำลังโปรโมทท่องเที่ยวเต็มที่ และยกเลิก Test and Go ไป เค้าอยากรู้ว่าจะส่งผลกระทบต่อการระบาดหรือไม่ รัฐบาลควรทำอย่างไรที่จะรักษาสมดุลระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจ และจะแนะนำประชาชนอย่างไรดี ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้
 
ตอบไปยาว แต่สรุปได้ว่า ปัจจุบันการระบาดกระจายทั่ว เนื่องจากนโยบายและมาตรการด้านสาธารณสุขในช่วงปีที่ผ่านมานั้นไม่สามารถจัดการการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ (ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าตัวเลขขาลงในปัจจุบันนั้นมันเป็นไปตามธรรมชาติของระลอกการระบาดดังที่เคยอธิบายไปแล้วหลายครั้ง โดยขาลงของไทยเรานั้นช้าและยาวนานกว่าหลายประเทศทั่วโลก)
 
ดังนั้น ณ จุดนี้ คงทำอะไรได้ยาก
 
แต่การโปรโมทท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยยกเลิก Test and Go ไปนั้นย่อมส่งผลแน่นอน ในเรื่องการแพร่กระจายของสายพันธุ์ใหม่ๆ เช่น BA.4, BA.5, BA.2.12.1 ที่จะเข้ามาและทำให้ระบาดในประเทศปะทุขึ้นได้ในอนาคต ทั้งนี้ประชากรของเรานั้น กลุ่มเสี่ยงได้แก่ ผู้สูงอายุ และเด็กเล็กนั้น ยังได้รับวัคซีนกันน้อย โดยเฉพาะเข็มกระตุ้น ดังนั้นจึงเสี่ยงต่อการป่วยและเสียชีวิตได้
 
เหนืออื่นใด ปัญหาที่จะเกิดขึ้นแน่นอน ณ ปลายอุโมงค์คือ Long COVID ที่จะส่งผลบั่นทอนคุณภาพชีวิต บั่นทอนสมรรถนะในการใช้ชีวิต การทำงาน และเป็นภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว
 
คำแนะนำที่คิดว่าพอทำได้คือ
 
หนึ่ง การใส่หน้ากากอย่างเป็นกิจวัตรนั้นเป็นเรื่องที่ควรทำ จนกว่าการระบาดทั่วโลกจะสามารถควบคุมได้
 
สอง รัฐควรให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนว่าปัญหา Long COVID นั้นเป็นเรื่องสำคัญ และการป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีกว่า นอกจากนี้รัฐควรเร่งจัดระบบบริการทางการแพทย์และบริการสนับสนุนทางสังคม เพื่อรองรับการดูแลผู้ที่ประสบปัญหา Long COVID
 
สาม ครึ่งหลังของปีนี้ ควรขันน็อตระบบการเฝ้าระวังในสถานที่เสี่ยงสูงต่อการระบาดให้ดี ได้แก่ โรงพยาบาล สถานดูแลผู้สูงอายุระยะยาว สถานศึกษา เพื่อให้การดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการเป็นไปได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย สถานที่ที่มีกิจกรรมเสี่ยงนั้นคงต้องดูแลระบบภายในของตนเองให้ดี ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท
 
เหนืออื่นใด หากประชาชนแต่ละคนมี health conscious รู้เท่าทันสถานการณ์ ได้รับรู้ข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้อง ไม่บิดเบือน ไม่ปกปิด ก็ย่อมจะสามารถตัดสินใจเลือกประพฤติปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
 
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224275049936385
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่