ผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ เป็นสิ่งที่ไม่อาจเจรจาต่อรองกันได้ จริงมั้ย?

ข้อตกลงใด ๆ ที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตลงนาม สหรัฐได้เปรียบทุกวิถีทาง สิ่งที่สหภาพโซเวียตได้จากการร้องขอก็คือ ขอไม่ให้องค์การนาโตซึ่งมีสหรัฐเป็นแกนนำรุกคืบหน้า โดยรับประเทศอดีตสหภาพโซเวียตเป็นสมาชิกจนประชิดพรมแดนสหภาพโซเวียต ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหภาพโซเวียตโดยตรง และใช้ประเทศเหล่านี้เป็น “รัฐกันชน” ระหว่างสหภาพโซเวียตกับยุโรปตะวันตก

ในขณะที่สหรัฐอเมริกา เป็นผู้นำโลกเสรีพัฒนาก้าวหน้าในทุกด้าน เป็นผู้สร้าง ระเบียบโลกไหม่ “โลกาภิวัฒน์ “ ที่สหรัฐเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของโลกทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอาวุธยุทโธปกรณ์การทหาร

ในช่วงที่รัสเซียตกต่ำสุด สหรัฐได้รุกคืบเข้าสู่ประเทศอดีตสหภาพโซเวียตปิดล้อมรัสเซียด้วยการ “ส่งออกประชาธิปไตย” ภายใต้ชื่อต่างๆ ที่ดูนุ่มนวล สวยงาม เช่น การปฏิวัติสี การปฏิวัติดอกไม้ เช่น ปฏิวัติดอกกุหลาบในจอร์เจีย (2546-47) ปฏิวัติดอกทิวลิบในอุซเบกิสถานและเคอร์กิสถาน (2548) ปฏิวติส้มในยูเครน (2548) ปฏิวัติแตงโมในเคอร์กิซสถาน (2548) การปฏิวัติไวโอเล็ต ในทาจิกิสถาน เป็นต้น เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกทั้งหมด ยุยงให้ประชาชนลุกขึ้นมาโค่นล้มผู้นำที่นิยมรัสเซีย และหนุนให้ผู้นำที่นิยมประชาธิปไตยตะวันตกขึ้นครองอำนาจแทน

ที่น่าสังเกตคือ มูลนิธิของจอร์จ โซรอส เอ็น.อี.ดี. ยูเสด กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ เอ็น.จี.โอ. ฟรีดอม เฮาส์ ฯลฯ มีบทบาทสำคัญในการยุแหย่ประชาชนให้ชุมนุมเดินขบวน ก่อความวุ่นวายเพื่อล้มรัฐบาลโปรรัสเซียและตั้งผู้นำที่โปรอเมริกันและตะวันตกขึ้นมาแทน ( เรื่องนี้สื่ออเมริกันเขียนเปิดโปงเอง ) 

นอกจากนั้น การที่สหรัฐแอบไปตกลงกับประเทศ และขอเอาจรวดนำวิธีมาติดตั้งในประเทศเหล่านั้น ซึ่งเท่ากับเอาอาวุธมาจ่อรัสเซีย

แต่รัสเซียพยายามกดดันประเทศเหล่านั้น จนต้องให้สหรัฐขนย้ายจรวดอเมริกันออกไป

ประธานาธิบดีปูตินได้ฟื้นฟูประเทศ ทั้งพลังอำนาจทางด้านการเศรษฐกิจ จนก้าวมาสู่ในลำดับต้นของโลก และเป็นประเทศที่ผลิต ส่งออกน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในลำดับต้นของโลก และพลังอำนาจทางการทหาร เพื่อให้โลกสหรัฐตระหนักว่า เป็นอภิมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่พร้อมที่สุดในโลก ปูตินประกาศว่า “ ผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ เป็นสิ่งที่ไม่อาจเจรจาต่อรองกันได้ “

นี่เป็นหลักคิดของทุกประเทศในโลก เมื่อครั้งที่โซเวียตส่งจรวดไปประจำในคิวบา อดีตประธานาธิบดีเคนเนดี้ไม่ยอมและไม่ประนีประนอม เพราะถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์และความมั่นคงสหรัฐโดยตรง ครุสชอฟ จึงยอมถอนจรวดออกจากคิวบา และแล้วความตึงเครียดของโลกก็ผ่อนคลายลง

แต่ โจ ไบเดน ต้องการจะยั่วยุ รัสเซีย เพื่อเป็นข้ออ้างปลุกระดมให้โลกช่วยกันโจมตีกล่าวหารัสเซียเป็นผู้คุกคาม กระหายสงคราม ฯลฯ และใช้โอกาสนี้ในการ “เตะตัดขา” รัสเซียที่ก้าวขึ้นมาทัดเทียมท้าทายการเป็นผู้นำโลก

วิเคราะห์ว่า สาเหตุสำคัญของความขัดแย้ง มาจากท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเชื่อมเยอรมนี ที่เรียกว่า “นอร์ดสตรีม 2”

ข้อตกลงนี้ทำขึ้นสมัย นางแมร์เกิล ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับประธานาธิบดีปูติน ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของเยอรมนีโดยตรง เพราะจะทำให้เยอรมนี มีแหล่งพลังงานสะอาด และไม่แพง

อีกทั้งเยอรมนี ไม่ต้องทำข้อตกลงด้านพลังงานเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่รัสเซีย มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นที่รู้กันว่า นางแมร์เคิล ขณะนั้น ถูกสหรัฐกดดัน.....อ่านต้นฉบับได้ที่ https://www.posttoday.com/politic/columnist/677183
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ เป็นสิ่งที่ไม่อาจเจรจาต่อรองกันได้ จริงมั้ย?

จริง ไม่มีใครอยากเป็นทาสถูกข่มเหงรังแกหรอก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่