( บทความนี้ลงไว้เมื่อ 5 วัน ก่อนในเพจ แต่เห็นว่ายังอยู่ในกระแส จึงขอนำมาลงอีกครั้งนะครับ )
“ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2022 ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ต่อสายหารือกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน เพื่อหาข้อยุติความขัดแย้ง” อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายกลับยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการทูตได้ ส่งผลให้การเสริมกำลังบริเวณชายแดนยังดำเนินต่อไป
ณ ปัจจุบันประเทศต่างๆ ได้ออกประกาศเตือนพลเรือนของตนให้อพยพจากยูเครนอย่างรวดเร็วที่สุด หลังจากกองทัพรัสเซียทำการระดมกำลังทหารกว่า 130,000 นาย พร้อมด้วยยุทโธปกรณ์หนักจำนวนมหาศาล มาประจำการบริเวณชายแดนยูเครนและเบลารุส ทำให้หลายฝ่ายแสดงความวิตกว่า “ความขัดแย้งอาจขยายตัวเป็นสงคราม?”
นี่ไม่ใช่การแสดงแสนยานุภาพครั้งแรกของรัสเซียที่ถือไพ่เหนือกว่ายูเครนในวิกฤตความขัดแย้งทุกครั้ง อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายเริ่มแสดงท่าทีวิตกว่าสิ้งที่กำลังเกิดขึ้น “อาจกลายเป็นสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อนที่ยูเครนจะกลายเป็นสนามรบแห่งใหม่บนแผ่นดินยุโรปในศตวรรษที่ 21?”

*** สัญญาณของสงครามครั้งใหม่? ***
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนกลายเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายต่างจับตามอง เมื่อผู้นำรัสเซียสั่งระดมกำลังทหารกว่า 1 แสนนาย พร้อมด้วยยุทโธปรณ์หนักต่างๆ ทั้ง รถถัง, ขีปนาวุธพิสัยใกล้, อากาศยานทางทหารต่างๆ, และกองเรือจำนวนมาก เข้าประชิดชายแดนฝั่งตะวันออกของยูเครน
โดยให้เหตุผลว่าพวกเขาจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตยของชาติ จากการขยายอำนาจของชาติตะวันตก
เพื่อตอบคำถามในประเด็นดังกล่าว… เราจำเป็นต้องเข้าแนวคิดการวางนโยบายด้านความมั่นคงและความกังวลของรัสเซียที่นำไปสู่การแสดงท่าทีแข็งกร้าวบนเวทีระหว่างประเทศ
สรุปง่ายๆ คือพวกเขาเห็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วขององค์การนาโต้ ซึ่งใช้เวลาเพียง 3 ทศวรรษในการจูงใจให้กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกที่เคยตกอยู่ใต้อำนาจของสหภาพโซเวียตมาเข้ากับตน จนชาติยุโรปตะวันออกมากถึง 14 ประเทศ ต่างหันไปสวามิภักดิ์ฝ่ายตะวันตก
ภาพแนบ: กองทัพรัสเซียในสงครามจอร์เจีย - รัสเซีย
การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ กลายเป็นความกังวลว่ารัสเซียกำลังถูกปิดล้อมทางภูมิศาสตร์ และถ้าหากพวกเขายอมให้ยูเครนดำเนินความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตะวันตกอยู่อย่างนี้ วันหนึ่งพวกเขาจะไม่เหลือแนวป้องกันด้านภูมิรัฐศาสตร์อีกเลย
ส่งผลให้นโยบายการต่างประเทศของรัสเซียต่ออดีตชาติสมาชิกโซเวียตในยุคหลัง (คือยุคปูติน) นั้น ดำเนินไปอย่างเเข็งกร้าว ตัวอย่างซึ่งชัดเจนที่สุดคือ การทำสงครามกับจอร์เจียเมื่อปี 2008 ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของกองทัพรัสเซียในเวลาเพียง 12 วันเท่านั้น!
ภาพแนบ: ปูตินในการประชุมบูคาเรสต์
*** บทเรียนจากจอร์เจียถึงยูเครน ***
โดยก่อนหน้านั้นในปี 2008 ประธานาธิบดีปูตินได้ออกโรงเตือนผู้แทนของชาตินาโต้ ระหว่างการประชุมในกรุงบูคาเรสต์ว่า “การเสนอสถานะสมาชิกนาโต้ให้แก่จอร์เจียคือการคุกคามรัสเซียโดยตรง”
ต่อมาเกิดเหตุอากาศยานไร้คนบังคับของจอร์เจียถูกยิงตกเหนือน่านฟ้าอับคาเซีย ซึ่งเป็นบริเวณข้อพิพาทระหว่างกองทัพรัฐบาลและฝ่ายกบฎ
รายงานของรัสเซียระบุว่า ทางจอร์เจียดำเนินการเสริมกำลังทหารกว่า 1,500 นายใกล้กับพื้นที่ความขัดแย้ง ส่งผลให้รัสเซียตัดสินใจเพิ่มกำลังของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพกว่า 2,500 นายเพื่อควบคุมสถานการณ์ อย่างไรก็ตามความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายกลับมิได้ลดความตึงเครียดลงแม้แต่น้อย
ภาพแนบ: ทหารจอร์เจียระหว่างล่าถอย
จากนั้นกองทัพฝ่ายกบฏและรัฐบาลต่างเปิดฉากการต่อสู้อยู่เป็นระยะ จนกระทั่งเกิดเหตุกองทัพจอร์เจียส่งกำลังเข้ารุกรานพื้นที่ของฝ่ายเซาท์ออสซีเตีย เพื่อตอบโต้การโจมตีที่ออกมาจากจุดนั้น แต่การปะทะกลับขยายความรุนแรงขึ้นจนมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายรักษาสันติภาพชาวรัสเซียเสียชีวิตจากการสู้รบ
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นความชอบธรรมให้กับรัสเซียในการส่งกำลังเข้าควมคุมบริเวณข้อพิพาทและกดดันให้จอร์เจียถอนกำลัง แน่นอนว่าฝ่ายจอร์เจียนั้นปฏิเสธ ส่งผลให้ผู้นำรัสเซียประกาศสงครามในทันที และใช้กองทัพที่มีศักยภาพมากกว่า บุกเข้าบดขยี้ที่มั่นตามเมืองต่างๆ ของจอร์เจียจนพังพินาศในเวลาสั้นๆ
ภาพแนบ: พิธีรำลึกสงครามรัสเซีย-จอร์เจีย
แม้ว่าฝ่ายจอร์เจียจะทำการสู้รบอย่างสุดความสามารถ แต่พวกเขาก็กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ขณะที่ฝ่ายตะวันตกผู้เป็นความหวังในการคานอำนาจกับรัสเซีย สามารถทำได้เพียงรับบทเป็นไกล่เกลี่ยเจรจาเมื่อสงครามยุติลง
ความสำเร็จดังกล่าวกลายมาเป็นพื้นฐานของนโยบายการต่างประเทศของรัสเซียที่พร้อมจะใช้มาตรการแข็งกร้าว เพื่อกดดันอดีตประเทศสมาชิกโซเวียตใดๆ ซึ่งพยายามตีตัวออกห่าง เพราะพวกเขาเชื่อว่า “วิธีโหดๆ คือวิธีการเดียวที่จะปกป้องอธิปไตยของตนเองเอาไว้ได้”

*** ความสำคัญของยูเครน ***
เป็นที่ทราบกันดีว่ายูเครนนั้นเป็นประเทศซึ่งมีแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลและอุดมไปด้วยทรัพยากรที่สำคัญทั้งผลผลิตจากสินค้ากสิกรรมอาทิ น้ำมันดอกทานตะวัน, ข้าวสาลี, และน้ำตาล ทางภาคตะวันตก นอกจากนั้นยังมีโรงงานอุตสาหกกรรมหนักเช่น โรงถลุงเหล็กกล้า, โรงงานผลิตอาวุธสงคราม, อู่ต่อเรือ ฯลฯ อันเป็นมรดกตกทอดจากสมัยสหภาพโซเวียต รวมถึงเป็นทางผ่านของท่อก๊าซธรรมชาติสำคัญ
ภาพแนบ: ทหารเรือรัสเซียระหว่างออกกำลังประจำวัน
อย่างไรก็ตามความสำคัญสูงสุดของดินแดนแห่งนี้คือเป็น “จุดยุทธศาสตร์ป้องกันการปิดล้อมของตะวันตก” ซึ่งกำลังกระชับพื้นที่เข้ามาถึงกลุ่มประเทศบอลติก (ที่ก่อนหน้านี้โซเวียตก็เคยใช้กำลังผนวกมา แต่เสียไป) นอกจากนี้แหลมไครเมียยังเป็นหนึ่งในที่ตั้งฐานทัพเรือของกองเรือทะเลดำ ซึ่งดูแลพื้นที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของรัสเซียในตะวันออกกกลางอีกด้วย
ภาพ: การปฏิวัติยูโรไมดาน
ดังนั้นรัสเซียจึงต้องดำเนินยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าวเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยการช่วยเหลือผูกมิตรเหมือนในช่วงรัฐบาลของประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช หรือการแทรกแซงด้วยกำลังทหารที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติยูโรไมดาน เพื่อกดดันไม่ให้ยูเครนดำเนินความสัมพันธ์ใกล้กับตะวันตกจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อตน
ภาพแนบ: ทหารรัสเซียเข้าควบคุมฐานทัพยูเครนในไครเมีย
*** การตอบโต้ของรัสเซียที่ผ่านมา ***
((( การผนวกไครเมีย (2014) )))
ท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองในปี 2014 ประธานาธิบดีปูตินได้ออกคำสั่งให้กองทัพรัสเซียยกกำลังเข้าควบคุมแหลมไครเมีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือทะเลดำซึ่งรัสเซียทำการเช่าพื้นที่ไว้เป็นเวลา 25 ปีในสมัยของประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช
ครั้งนั้นรัสเซียอาศัยจังหวะที่รัฐบาลกลางของยูเครนกำลังอ่อนแอ บวกกับความนิยมรัสเซียของประชาชนในพื้นที่ ทำให้สามารถส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษเข้ายึดครองสถานที่ต่างๆ อาทิสนามบิน, รัฐสภา, และสถานที่สำคัญอื่นๆ ในเมืองซิมเฟโรโพล หรือเมืองหลวงของไครเมีย โดยไม่มีการต่อต้านใดๆ กองทัพยูเครนในไครเมียนั้นยังแปรพักต์ไปอยู่กับฝ่ายรัสเซียกันไม่น้อย
จากนั้นรัสเซียก็ผลักดันกระบวนการลงประชามติหาข้อสรุปในพื้นที่พิพาทในเดือนมีนาคม 2014 โดยมีชาวไครเมียเทคะแนนสนับสนุนการเข้าร่วมกับรัสเซียอย่างล้นหลาม ทำให้ไครเมียถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แม้ว่าฝ่ายยูเครนจะพยายามประท้วงเรื่องนี้แต่ก็ไม่เป็นผล…
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นละเมิดกฎหมายนานาชาติ แต่กฎที่แท้จริงที่โลกเราใช้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยนคือ “กฎของกำลัง” และ รัสเซีย อเมริกา และจีน คือสามประเทศที่อยู่เหนือกฏทุกอย่าง เพราะมีกำลังมากที่สุด

ไครเมียไม่ใช่พื้นที่เดียว ซึ่งรัสเซียพยายามแทรกแซง พวกเขายังให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านชาวยูเครนที่โปรรัสเซียในจังหวัดโดเนตสก์ (Donetsk) และลูฮันสก์ (Luhansk) ให้ทำการสู้รบกับกองทัพฝ่ายรัฐบาลจนยกระดับไปเป็นสงครามกลางเมืองในวันที่ 4 เมษายน 2014 เมื่อฝ่ายกบฏระดมกำลังบุกเข้าจู่โจมอาคารของฝ่ายรักษาความมั่นคงภายใน ขณะที่กองทัพรัสเซียเรียกระดมพลกว่า 40,000 บริเวณชายแดนติดกับยูเครน เพื่อส่งสัญญาณว่า “ตูพร้อมทำทุกอย่าง!”
นอกจากนั้นเชื่อว่ารัสเซียมีการแอบสนับสนุนกบฏ ด้วยการส่งที่ปรึกษาทางทหาร, หน่วยปฏิบัติการพิเศษ, และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองมายังพื้นที่พิพาท จนกองกำลังฝ่ายกบฎแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันมาก และสามารถเอาชนะกองทัพยูเครนได้ในหลายสมรภูมิ
เมื่อสงครามดำเนินไปได้ซักระยะ… ทั้งสองฝ่ายต่างก็เดินหน้าเข้าสู่ขึ้นตอนการเจรจาสงบศึกตามกรอบพิธีสารกรุงมินสก์ครั้งที่ 1 โดยมีใจความสำคัญเพื่อการยุติความขัดแย้งระหว่างคู่สงครามทั้งสองฝ่าย พร้อมกับแลกเปลี่ยนเชลยศึก ภายใต้การสังเกตการณ์ขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE)
ซึ่งฝ่ายยูเครนเมื่อขาดการช่วยเหลือจริงจังจากฝ่ายตะวันตก (หรือพูดง่ายๆ ว่าอเมริกา) จึงต้องยอมทำสัญญาเสียเปรียบ ยอมรับสถานะพิเศษของจังหวัดทั้งสองในภูมิภาคดอนบัสให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น รวมถึงให้มีหน่วยงานท้องถิ่นที่จำเป็นเช่นตำรวจและศาล, และให้มีการตั้งจุดผ่านแดนร่วมกันระหว่างกองกำลังรัสเซียและยูเครน
ต่อมาตัวแทนจาก OSCE, ยูเครน, รัสเซีย, โดเนตสก์, และลูฮันสก์ ได้เข้าสู่กระบวนการเจรจาในพิธีสารกรุงมินสก์ครั้งที่ 2 ในปี 2016 เพื่อหาข้อยุติการความขัดแย้งอีก โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อตกลงจำนวน 9 จาก 13 ข้อ ซึ่งประกอบด้วย การถอนอาวุธหนักจากบริเวณข้อพิพาท, การนิรโทษกรรมกำลังพลของคู่ขัดแย้ง, การแลกเปลี่ยนเชลยศึกของทั้งสองฝ่าย, การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม, และการยุติการปฏิบัติการของทหารต่างชาติในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ยูเครนเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบในข้อตกลงครั้งนี้เช่นกัน
((( สะพานไครเมียและเหตุการณ์ช่องแคบเคิร์ช (2016-2018) )))
เมื่อเข้าครอบครองไครเมียได้ รัฐบาลรัสเซียได้ตัดสินใจสร้างสะพานไครเมียเพื่อเป็นทางเชื่อมต่อ ระหว่างภาคใต้ของรัสเซียกับแหลมไครเมียคร่อมช่องแคบเคิร์ชอันเป็นจุดผ่านทะเลอาซอฟที่ทั้งสองประเทศต่างมีสิทธิตามสนธิสัญญาทวิภาคีที่ลงนามเอาไว้ในปี 2003
…ซึ่งการดังกล่าวเป็นการละเมิดสัญญาทวิภาคีนั้น ประดุจว่ารัสเซียเป็นเจ้าของช่องแคบนั้นคนเดียว…

ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2016 รัสเซียได้ทำการยึดเรือของกองทัพยูเครนซึ่งประกอบด้วย เรือลากจูงและเรือหุ้มเกราะติดปืนรวม 3 ลำ ซึ่งพยายามเดินเรือผ่านบริเวณข้อพิพาท ด้วยข้อกล่าวหาว่า “อีกฝ่ายพยายามรุกล้ำน่านน้ำของรัสเซีย” ส่วนยูเครนก็พยายามแสดงสิทธิว่าตนนั้นสามารถเดินเรือผ่านพื้นที่ดังกล่าวได้ตามข้อตกลงทวิภาคี (ที่รัสเซียไม่เคารพ …เพราะโลกเราใช้กฎของกำลังตามที่บอกนะครับ)
เหตุการณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าของรัสเซียทำให้ยูเครนกลายเป็นฝ่ายต้องยอมถอยแล้วถอยอีกตามเคย
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** (ถ้าเกิด) สงครามยูเครนรัสเซีย จะเป็นอย่างไร? ***
“ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2022 ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ต่อสายหารือกับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน เพื่อหาข้อยุติความขัดแย้ง” อย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายกลับยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการทูตได้ ส่งผลให้การเสริมกำลังบริเวณชายแดนยังดำเนินต่อไป
ณ ปัจจุบันประเทศต่างๆ ได้ออกประกาศเตือนพลเรือนของตนให้อพยพจากยูเครนอย่างรวดเร็วที่สุด หลังจากกองทัพรัสเซียทำการระดมกำลังทหารกว่า 130,000 นาย พร้อมด้วยยุทโธปกรณ์หนักจำนวนมหาศาล มาประจำการบริเวณชายแดนยูเครนและเบลารุส ทำให้หลายฝ่ายแสดงความวิตกว่า “ความขัดแย้งอาจขยายตัวเป็นสงคราม?”
นี่ไม่ใช่การแสดงแสนยานุภาพครั้งแรกของรัสเซียที่ถือไพ่เหนือกว่ายูเครนในวิกฤตความขัดแย้งทุกครั้ง อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายเริ่มแสดงท่าทีวิตกว่าสิ้งที่กำลังเกิดขึ้น “อาจกลายเป็นสัญญาณเตือนสุดท้าย ก่อนที่ยูเครนจะกลายเป็นสนามรบแห่งใหม่บนแผ่นดินยุโรปในศตวรรษที่ 21?”
*** สัญญาณของสงครามครั้งใหม่? ***
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนกลายเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายต่างจับตามอง เมื่อผู้นำรัสเซียสั่งระดมกำลังทหารกว่า 1 แสนนาย พร้อมด้วยยุทโธปรณ์หนักต่างๆ ทั้ง รถถัง, ขีปนาวุธพิสัยใกล้, อากาศยานทางทหารต่างๆ, และกองเรือจำนวนมาก เข้าประชิดชายแดนฝั่งตะวันออกของยูเครน
โดยให้เหตุผลว่าพวกเขาจำเป็นต้องปกป้องอธิปไตยของชาติ จากการขยายอำนาจของชาติตะวันตก
เพื่อตอบคำถามในประเด็นดังกล่าว… เราจำเป็นต้องเข้าแนวคิดการวางนโยบายด้านความมั่นคงและความกังวลของรัสเซียที่นำไปสู่การแสดงท่าทีแข็งกร้าวบนเวทีระหว่างประเทศ
สรุปง่ายๆ คือพวกเขาเห็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วขององค์การนาโต้ ซึ่งใช้เวลาเพียง 3 ทศวรรษในการจูงใจให้กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกที่เคยตกอยู่ใต้อำนาจของสหภาพโซเวียตมาเข้ากับตน จนชาติยุโรปตะวันออกมากถึง 14 ประเทศ ต่างหันไปสวามิภักดิ์ฝ่ายตะวันตก
ภาพแนบ: กองทัพรัสเซียในสงครามจอร์เจีย - รัสเซีย
การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ กลายเป็นความกังวลว่ารัสเซียกำลังถูกปิดล้อมทางภูมิศาสตร์ และถ้าหากพวกเขายอมให้ยูเครนดำเนินความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตะวันตกอยู่อย่างนี้ วันหนึ่งพวกเขาจะไม่เหลือแนวป้องกันด้านภูมิรัฐศาสตร์อีกเลย
ส่งผลให้นโยบายการต่างประเทศของรัสเซียต่ออดีตชาติสมาชิกโซเวียตในยุคหลัง (คือยุคปูติน) นั้น ดำเนินไปอย่างเเข็งกร้าว ตัวอย่างซึ่งชัดเจนที่สุดคือ การทำสงครามกับจอร์เจียเมื่อปี 2008 ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของกองทัพรัสเซียในเวลาเพียง 12 วันเท่านั้น!
ภาพแนบ: ปูตินในการประชุมบูคาเรสต์
*** บทเรียนจากจอร์เจียถึงยูเครน ***
โดยก่อนหน้านั้นในปี 2008 ประธานาธิบดีปูตินได้ออกโรงเตือนผู้แทนของชาตินาโต้ ระหว่างการประชุมในกรุงบูคาเรสต์ว่า “การเสนอสถานะสมาชิกนาโต้ให้แก่จอร์เจียคือการคุกคามรัสเซียโดยตรง”
ต่อมาเกิดเหตุอากาศยานไร้คนบังคับของจอร์เจียถูกยิงตกเหนือน่านฟ้าอับคาเซีย ซึ่งเป็นบริเวณข้อพิพาทระหว่างกองทัพรัฐบาลและฝ่ายกบฎ
รายงานของรัสเซียระบุว่า ทางจอร์เจียดำเนินการเสริมกำลังทหารกว่า 1,500 นายใกล้กับพื้นที่ความขัดแย้ง ส่งผลให้รัสเซียตัดสินใจเพิ่มกำลังของเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพกว่า 2,500 นายเพื่อควบคุมสถานการณ์ อย่างไรก็ตามความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายกลับมิได้ลดความตึงเครียดลงแม้แต่น้อย
ภาพแนบ: ทหารจอร์เจียระหว่างล่าถอย
จากนั้นกองทัพฝ่ายกบฏและรัฐบาลต่างเปิดฉากการต่อสู้อยู่เป็นระยะ จนกระทั่งเกิดเหตุกองทัพจอร์เจียส่งกำลังเข้ารุกรานพื้นที่ของฝ่ายเซาท์ออสซีเตีย เพื่อตอบโต้การโจมตีที่ออกมาจากจุดนั้น แต่การปะทะกลับขยายความรุนแรงขึ้นจนมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายรักษาสันติภาพชาวรัสเซียเสียชีวิตจากการสู้รบ
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็นความชอบธรรมให้กับรัสเซียในการส่งกำลังเข้าควมคุมบริเวณข้อพิพาทและกดดันให้จอร์เจียถอนกำลัง แน่นอนว่าฝ่ายจอร์เจียนั้นปฏิเสธ ส่งผลให้ผู้นำรัสเซียประกาศสงครามในทันที และใช้กองทัพที่มีศักยภาพมากกว่า บุกเข้าบดขยี้ที่มั่นตามเมืองต่างๆ ของจอร์เจียจนพังพินาศในเวลาสั้นๆ
ภาพแนบ: พิธีรำลึกสงครามรัสเซีย-จอร์เจีย
แม้ว่าฝ่ายจอร์เจียจะทำการสู้รบอย่างสุดความสามารถ แต่พวกเขาก็กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน ขณะที่ฝ่ายตะวันตกผู้เป็นความหวังในการคานอำนาจกับรัสเซีย สามารถทำได้เพียงรับบทเป็นไกล่เกลี่ยเจรจาเมื่อสงครามยุติลง
ความสำเร็จดังกล่าวกลายมาเป็นพื้นฐานของนโยบายการต่างประเทศของรัสเซียที่พร้อมจะใช้มาตรการแข็งกร้าว เพื่อกดดันอดีตประเทศสมาชิกโซเวียตใดๆ ซึ่งพยายามตีตัวออกห่าง เพราะพวกเขาเชื่อว่า “วิธีโหดๆ คือวิธีการเดียวที่จะปกป้องอธิปไตยของตนเองเอาไว้ได้”
*** ความสำคัญของยูเครน ***
เป็นที่ทราบกันดีว่ายูเครนนั้นเป็นประเทศซึ่งมีแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลและอุดมไปด้วยทรัพยากรที่สำคัญทั้งผลผลิตจากสินค้ากสิกรรมอาทิ น้ำมันดอกทานตะวัน, ข้าวสาลี, และน้ำตาล ทางภาคตะวันตก นอกจากนั้นยังมีโรงงานอุตสาหกกรรมหนักเช่น โรงถลุงเหล็กกล้า, โรงงานผลิตอาวุธสงคราม, อู่ต่อเรือ ฯลฯ อันเป็นมรดกตกทอดจากสมัยสหภาพโซเวียต รวมถึงเป็นทางผ่านของท่อก๊าซธรรมชาติสำคัญ
ภาพแนบ: ทหารเรือรัสเซียระหว่างออกกำลังประจำวัน
อย่างไรก็ตามความสำคัญสูงสุดของดินแดนแห่งนี้คือเป็น “จุดยุทธศาสตร์ป้องกันการปิดล้อมของตะวันตก” ซึ่งกำลังกระชับพื้นที่เข้ามาถึงกลุ่มประเทศบอลติก (ที่ก่อนหน้านี้โซเวียตก็เคยใช้กำลังผนวกมา แต่เสียไป) นอกจากนี้แหลมไครเมียยังเป็นหนึ่งในที่ตั้งฐานทัพเรือของกองเรือทะเลดำ ซึ่งดูแลพื้นที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของรัสเซียในตะวันออกกกลางอีกด้วย
ภาพ: การปฏิวัติยูโรไมดาน
ดังนั้นรัสเซียจึงต้องดำเนินยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์ดังกล่าวเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยการช่วยเหลือผูกมิตรเหมือนในช่วงรัฐบาลของประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช หรือการแทรกแซงด้วยกำลังทหารที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติยูโรไมดาน เพื่อกดดันไม่ให้ยูเครนดำเนินความสัมพันธ์ใกล้กับตะวันตกจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อตน
ภาพแนบ: ทหารรัสเซียเข้าควบคุมฐานทัพยูเครนในไครเมีย
*** การตอบโต้ของรัสเซียที่ผ่านมา ***
((( การผนวกไครเมีย (2014) )))
ท่ามกลางวิกฤตทางการเมืองในปี 2014 ประธานาธิบดีปูตินได้ออกคำสั่งให้กองทัพรัสเซียยกกำลังเข้าควบคุมแหลมไครเมีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือทะเลดำซึ่งรัสเซียทำการเช่าพื้นที่ไว้เป็นเวลา 25 ปีในสมัยของประธานาธิบดี วิกเตอร์ ยานูโควิช
ครั้งนั้นรัสเซียอาศัยจังหวะที่รัฐบาลกลางของยูเครนกำลังอ่อนแอ บวกกับความนิยมรัสเซียของประชาชนในพื้นที่ ทำให้สามารถส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษเข้ายึดครองสถานที่ต่างๆ อาทิสนามบิน, รัฐสภา, และสถานที่สำคัญอื่นๆ ในเมืองซิมเฟโรโพล หรือเมืองหลวงของไครเมีย โดยไม่มีการต่อต้านใดๆ กองทัพยูเครนในไครเมียนั้นยังแปรพักต์ไปอยู่กับฝ่ายรัสเซียกันไม่น้อย
จากนั้นรัสเซียก็ผลักดันกระบวนการลงประชามติหาข้อสรุปในพื้นที่พิพาทในเดือนมีนาคม 2014 โดยมีชาวไครเมียเทคะแนนสนับสนุนการเข้าร่วมกับรัสเซียอย่างล้นหลาม ทำให้ไครเมียถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แม้ว่าฝ่ายยูเครนจะพยายามประท้วงเรื่องนี้แต่ก็ไม่เป็นผล…
แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นละเมิดกฎหมายนานาชาติ แต่กฎที่แท้จริงที่โลกเราใช้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยนคือ “กฎของกำลัง” และ รัสเซีย อเมริกา และจีน คือสามประเทศที่อยู่เหนือกฏทุกอย่าง เพราะมีกำลังมากที่สุด
ไครเมียไม่ใช่พื้นที่เดียว ซึ่งรัสเซียพยายามแทรกแซง พวกเขายังให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านชาวยูเครนที่โปรรัสเซียในจังหวัดโดเนตสก์ (Donetsk) และลูฮันสก์ (Luhansk) ให้ทำการสู้รบกับกองทัพฝ่ายรัฐบาลจนยกระดับไปเป็นสงครามกลางเมืองในวันที่ 4 เมษายน 2014 เมื่อฝ่ายกบฏระดมกำลังบุกเข้าจู่โจมอาคารของฝ่ายรักษาความมั่นคงภายใน ขณะที่กองทัพรัสเซียเรียกระดมพลกว่า 40,000 บริเวณชายแดนติดกับยูเครน เพื่อส่งสัญญาณว่า “ตูพร้อมทำทุกอย่าง!”
นอกจากนั้นเชื่อว่ารัสเซียมีการแอบสนับสนุนกบฏ ด้วยการส่งที่ปรึกษาทางทหาร, หน่วยปฏิบัติการพิเศษ, และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองมายังพื้นที่พิพาท จนกองกำลังฝ่ายกบฎแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันมาก และสามารถเอาชนะกองทัพยูเครนได้ในหลายสมรภูมิ
เมื่อสงครามดำเนินไปได้ซักระยะ… ทั้งสองฝ่ายต่างก็เดินหน้าเข้าสู่ขึ้นตอนการเจรจาสงบศึกตามกรอบพิธีสารกรุงมินสก์ครั้งที่ 1 โดยมีใจความสำคัญเพื่อการยุติความขัดแย้งระหว่างคู่สงครามทั้งสองฝ่าย พร้อมกับแลกเปลี่ยนเชลยศึก ภายใต้การสังเกตการณ์ขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE)
ซึ่งฝ่ายยูเครนเมื่อขาดการช่วยเหลือจริงจังจากฝ่ายตะวันตก (หรือพูดง่ายๆ ว่าอเมริกา) จึงต้องยอมทำสัญญาเสียเปรียบ ยอมรับสถานะพิเศษของจังหวัดทั้งสองในภูมิภาคดอนบัสให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น รวมถึงให้มีหน่วยงานท้องถิ่นที่จำเป็นเช่นตำรวจและศาล, และให้มีการตั้งจุดผ่านแดนร่วมกันระหว่างกองกำลังรัสเซียและยูเครน
ต่อมาตัวแทนจาก OSCE, ยูเครน, รัสเซีย, โดเนตสก์, และลูฮันสก์ ได้เข้าสู่กระบวนการเจรจาในพิธีสารกรุงมินสก์ครั้งที่ 2 ในปี 2016 เพื่อหาข้อยุติการความขัดแย้งอีก โดยทั้งสองฝ่ายยอมรับข้อตกลงจำนวน 9 จาก 13 ข้อ ซึ่งประกอบด้วย การถอนอาวุธหนักจากบริเวณข้อพิพาท, การนิรโทษกรรมกำลังพลของคู่ขัดแย้ง, การแลกเปลี่ยนเชลยศึกของทั้งสองฝ่าย, การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม, และการยุติการปฏิบัติการของทหารต่างชาติในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ยูเครนเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบในข้อตกลงครั้งนี้เช่นกัน
((( สะพานไครเมียและเหตุการณ์ช่องแคบเคิร์ช (2016-2018) )))
เมื่อเข้าครอบครองไครเมียได้ รัฐบาลรัสเซียได้ตัดสินใจสร้างสะพานไครเมียเพื่อเป็นทางเชื่อมต่อ ระหว่างภาคใต้ของรัสเซียกับแหลมไครเมียคร่อมช่องแคบเคิร์ชอันเป็นจุดผ่านทะเลอาซอฟที่ทั้งสองประเทศต่างมีสิทธิตามสนธิสัญญาทวิภาคีที่ลงนามเอาไว้ในปี 2003
…ซึ่งการดังกล่าวเป็นการละเมิดสัญญาทวิภาคีนั้น ประดุจว่ารัสเซียเป็นเจ้าของช่องแคบนั้นคนเดียว…
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2016 รัสเซียได้ทำการยึดเรือของกองทัพยูเครนซึ่งประกอบด้วย เรือลากจูงและเรือหุ้มเกราะติดปืนรวม 3 ลำ ซึ่งพยายามเดินเรือผ่านบริเวณข้อพิพาท ด้วยข้อกล่าวหาว่า “อีกฝ่ายพยายามรุกล้ำน่านน้ำของรัสเซีย” ส่วนยูเครนก็พยายามแสดงสิทธิว่าตนนั้นสามารถเดินเรือผ่านพื้นที่ดังกล่าวได้ตามข้อตกลงทวิภาคี (ที่รัสเซียไม่เคารพ …เพราะโลกเราใช้กฎของกำลังตามที่บอกนะครับ)
เหตุการณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าของรัสเซียทำให้ยูเครนกลายเป็นฝ่ายต้องยอมถอยแล้วถอยอีกตามเคย
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***