คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 27
ความคิดเห็นที่ 10
1. ตัวอ่อนไม่ใช่คน ไม่ใช่การฆ่า
เมื่อก่อนก็คิดเช่นนี้ครับ พอมาศึกษา พระพุทธศาสนา จึงได้รู้ว่า ชีวิตของคนเราในแต่ละชาติที่เกิดมาเป็น มนุษย์ เริ่มตั้งแต่ มี วิญญาณมาปฏิสนธิ ในเชื้อของมารดาบิดา ที่ผสมกันแล้ว ซึ่งการผสมของเชื้อนี้ มีอายุ ๗ วัน ระหว่างนี้ หากมีสัตว์อื่นตายลง แล้วมีบุญนำเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ส่งผลให้ วิญญาณมา ปฏิสนธิ ได้
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม บางคน แม่พยายามทำแท้งอย่างไร ก็มีบุญคุ้มครอง มีชีวิตต่อ คลอดออกมาจากท้องแม่ได้
บางคน ก็ตาย ตั้งแต่ ชั่วโมงแรก ๆ หลัง มีวิญญาณมาปฏิสนธิ เพราะมี อกุศลกรรม มาตัดรอน เพราะเคยฆ่าสัตว์ ทำสัตว์อื่นให้อายุสั้น ไว้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ใคร......ให้คุณเกิด
https://web.facebook.com/abhidhamonline/photos/1277591936098411
http://larndham.org/index.php?showtopic=30808&st=0#entry489409
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17004&view=previous
ความเป็นไปของรูปตั้งแต่ปฏิสนธิกาล
กรรมชกลาปที่เริ่มเกิดพร้อมกับอุปาทะของปฏิสนธิจิตที่กล่าวมาแล้วนั้น ย่อมเกิดขึ้น ๓ กลาป คือ
๑. กายทสกกลาป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ + กายปสาทรูป ๑ + ชีวิตรูป ๑
๒. ภาวทสกกลาป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ + ภาวรูป ๑ + ชีวิตรูป ๑ (ถ้าเป็นชาย ภาวรูปก็เป็น ปุริสภาวรูป ถ้าเป็นหญิง ก็คือ อิตถีภาวรูป)
๓. วัตถุทสกกลาป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ + หทยวัตถุ ๑ + ชีวิตรูป ๑
หมายความว่า กลุ่มรูปที่เกิดจากกรรมนี้มีถึง ๓ กลุ่ม กลุ่มละ ๑๐ รูป (จึงเรียกกลาปที่มี ๑๐ รูปนี้ว่า ทสกกลาป) รวม ๓๐ รูปที่เกิดในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ทุก ๆ อนุขณะจิตจะเกิดขึ้นจิตจะเกิดขึ้นเพิ่มอีกทีละ ๓ กลาปเรื่อยไป จนกว่าจะครบ ๑๗ ขณะของจิต หรือ ๕๑ อนุขณะ รูปนั้นจึงจะดับลงไป ๓ กลาป
นอกจากกลุ่มรูปที่เกิดจากอำนาจกรรม ความเป็นไปของชีวิตนั้นยังมีอำจาจอำนาจของจิต อุตุ และอาหาร ที่ทำให้เกิดกลุ่มรูปได้เช่นกัน จึงไม่แปลกเลยว่าขณะที่ปฏิสนธิเป็น “กลละ” ที่มีขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ซึ่งอุปมาว่าเอาขนจามรีมาจุ่งน้ำมันงาใส และสลัดออกไป ๗ ครั้ง หยดน้ำใสที่ติดอยู่ที่ปลายขนจามรีหลังสลัดครั้งที่ ๗ นี้เองที่มีขนาดเท่ากับกลละ ซึ่งเป็นขณะที่รูปกำลังเกิดขึ้น ๓ กลาป ซึ่งต่อมาจะเพิ่มขึ้นเป็น ๖…๙… ไปเรื่อยๆ จนเมื่อครบ ๑๗ ขณะจิต จะมีกลุ่มรูปที่เกิดจากอำนาจกรรมถึง ๑๕๓ กลาป และเมื่อนับรวมกับรูปที่เกิดจากอำนาจจิต และอุตุแล้วจะได้ทั้งสิ้น ๕๑๐ กลาป (ทั้งนี้ยังไม่นับรวมกับรูปอันเกิดจากอาหาร เพราะช่วงแรกของชีวิตที่เกิดใหม่นั้นทารกยังไม่ได้รับอาหารจากมารดาเลย จนกว่าจะมีการสร้างเส้นเลือด สายสะดือ)
นอกจากอาหารชกลาปที่จะมีเกิดขึ้นต่อไปแล้ว ยังมีกลุ่มของชีวิตนวกลาปซึ่งจะเกิดขึ้นภายหลังปฏิสนธิกาล และจักขุทสกกลาป โสตทสกกลาป ฆานทสกกลาป ชิวหาทสกกลาป ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ ๗ เป็นต้นไป จึงทำให้ชีวิตที่อุบัติขึ้นมานั้นมีกลาปเกิดขึ้นอย่างมากมาย
การที่มีรูปกลาปเพิ่มขึ้นอย่างมากมายดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้เกิดความเป็นกลุ่มเป็นก้อน ที่เรียกว่า ฆนสัญญา ซึ่งเป็นตัวการปิดบังไม่ให้ประจักษ์ความจริงว่า ชีวิตไม่มีตัวตน ไม่ใช่คน สัตว์ หญิง ชาย เป็นเพียงแค่รูปธรรม หรือธาตุต่างๆ ที่มาประชุมกันเป็นรูปร่าง โดยมีกรรม จิต อุตุ อาหาร เป็รตัวการสำคัญทำให้เกิด และเป็นเพราะการเกิดขึ้นมารวมตัวกันของกลุ่วรูปกลาปเหล่านี้เอง จึงทำให้ในที่สุดเราสามารถมองเห็นตัวอ่อนนั้นได้ว่ามีรูปลักษณะเช่นใด และมีการเจริญเติบโตอย่างไร นั่นคือจาก กลละ เจริญมาเป็น อัพพุทะ เปสิ ฆนะ และปัญจสาขา เปลี่ยนแปลงจนเจริญมาเป็นทารกได้
แม้ในหลักวิทยาศาสตร์เองก็กล่าวว่า ชีวิต ๑ ชีวิต ที่เห็นเป็นรูปร่าง (Body) นั้น ย่อมประกอบด้วยระบบต่างๆ (System) และแต่ละระบบประกอบด้วย อวัยวะ (Organ) ซึ่งแต่ละอวัยวะประกอบด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ และเมื่อย่อยลงไปแล้ว เนื้อเยื่อนั้นประกอบด้วย เซลล์ (Cell) และภายในเซลล์ย่อมต้องประกอบด้วยสสารต่าง ๆ ซึ่งเล็กที่สุดก็คือ รูปปรมาณู (Atom) ดังกล่าวมาแล้วนั้นเอง
จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ปฏิสนธิครั้งแรกที่มีกลุ่มรูปกลาปเกิดขึ้น ๓ มัดนั้น ย่อมบ่งบอกให้รู้ว่าชีวิตที่เกิดใหม่นั้นแม้จะยังไม่เป็นตัวเป็นตน แต่เพศย่อมปรากฏออกมาแน่นอนแล้วว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายเพราะนับตั้งแต่เป็นรูปกลละ ขณะนั้นได้เกิดรูปอันเป็นภาวทสกกลาปซึ่งเกิดขึ้นจากอำนาจกรรมเป็นตัวกำหนดมาแล้ว แม้ในทางวิทยาศาสตร์ก็อธิบายว่า เมื่อเกิดเซลล์ไซโกต ย่อมรู้แล้วว่าเซลล์นั้นมีโครโมโซมเพศเป็น XX (หญิง) หรือ XY (ชาย) หากทว่าทางพุทธศาสตร์สามารถอธิบายได้กว้างไกลไปถึงว่า เพราะอำนาจใดจึงทำให้เกิดเป็นหญิง หรือชาย นั่นคือ
หากชาติปางก่อน ผู้นั้นได้ประกอบกุศลกรรมมีกำลังอ่อน ( สสังขาริก ) มีความหวั่นไหว กุศลที่มีกำลังอ่อนนี้จะมีอำนาจทำให้เกิดรูปที่เป็นอิตถีภาวรูป (เพศหญิง)
หากชาติปางก่อน ผู้นั้นได้ประกอบกุศลกรรมมีกำลังเข้มแข็ง (อสังขาริก) มีศรัทธาอันแรงกล้า ไม่หวั่นไหว มีการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว กุศลที่มีกำลังมากเช่นนี้ ก็จะมีอำนาจทำให้เกิดรูปที่เป็นปุริสภาวรูป (เพศชาย)
ปัจจุบันนี้จึงสามารถทดสอบเพศของลูกได้แม้จะยังไม่ถึงเดือน ด้วยการเจาะน้ำคร่ำมาตรวจสอบหาโครโมโซมเพศ ซึ่งวิธีนี้วงการแพทย์จะใช้ในการตรวจสอบหาความผิดปกติของทารก อันเนื่องมาจากโรคถ่าทอดทางพันธุกรรมที่ร้ายแรง
นอกเหนือจากนี้ กรรมอื่นใดที่บุคคลผู้นั้นได้กระทำในอดีตส่งให้เจ้าของกรรมนั้นต้องได้รับผลทั้งดีทั้งชั่ว ตามเหตุที่กระทำมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย อาทิ
แม่บางคนยังไม่ได้ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่า มีการปฏิสนธิเกิดกลละ (ชีวิตใหม่) ขึ้นในครรภ์ของตนเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่าอำนาจฝ่ายอกุศลกรรมที่มีกำลังแรงมาทำหน้าที่เป็นกรรมตัดรอนบั่นทอนให้ชีวิตที่อุบัตินั้นไม่มีโอกาศได้ฝังตัวที่มดลูก ต้องตายไปภายในสัปดาห์แรกหลังการปฏิสนธิ หรือแม่บางรายฮอร์โมนที่สร้างน้อยเกินไป ทำให้เกิดการผิดปกติ นั่นคือตัวอ่อนในระยะ blastocyst ไม่อาจฝังตัวติดแน่นกับมดลูกได้จึงต้องเกิดการแท้ง สาเหตุของการเป็นเช่นนี้ ก็เพราะบุคคลผู้ที่จะมาเกิดเป็นลูกนั้น ได้กระทำปาณาติบาตที่มีกำลังของบาปมาก และผลจากการฆ่าสัตว์นี้เองทำให้เขาต้องมีอายุสั้น ต้องตายก่อนโดยที่ชีวิตไม่มีโอกาศได้เจริญเป็นทารกเลย
เด็กบางคนเจริญเป็นตัวมาจนถึงสัปดาห์ที่ ๕ - ๖ คือกำลังมีการเจริญเป็นปัญจสาขา แต่ปรากฏว่า ปุ่มที่จะเจริญไปเป็นแขน หรือขานั้นเกิดการผิดปกติไม่สามารถเจริญต่อไปได้ด้วยอำนาจกรรมที่เขาได้เบียดเบียนทำร้าย ตัดแขนขาของสัตว์มาแต่อดีตชาติ ได้มาส่งผลให้เขาต้องพิการแขนขา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายท่าน ๆ อาจเคยพบเห็นว่า ผู้ที่ชอบล่าสัตว์บางคน เมื่อมีลูกๆ ที่เกิดมานั้นจะมีลักษณะทุพพลภาพในอวัยวะบางส่วน บางคนสรุปว่าเป็นเพราะพ่อทำบาปลูกจึงต้องได้รับผลของบาปที่พ่อเคยทำ ความคิดเช่นนี้ย่อมผิดไปจากความเป็นจริง เพราะสัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของของตน ผู้ใดทำกรรมชนิดใดไว้ ผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้รับผลของกรรมที่ตนทำมานั่นเอง หมายความว่า ลูกที่เกิดมาพิการนั้น ก็เพราะอดีตชาติเขาทำกรรมของเขามาเอง ส่วนการล่าสัตว์ที่พ่อทำไว้ในชาตินี้ พ่อย่อมต้องได้รับผลของกรรมในชาติต่อๆ ไปเอง แต่เป็นเพราะธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาแต่เหตุจึงทำให้เขาต้องเกิดมาอยู่กับพ่อที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน คือชอบการเบียดเบียนทำร้ายสัตว์อยู่เป็นนิตย์
คนที่ปัญญาอ่อน ซึ่งเป็นสุคติอเหตุกบุคคล โดยปฏิสนธิด้วยจิตที่มีชื่อว่า อุเบกขาสันตีรณกุศลวิปากจิตนั้น (เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน) เป็นเพราะในอดีตชาติชอบสร้างเหตุแห่งความมึนเมา เป็นผู้ที่ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่รู้จักคิด และมีมิจฉาทิฐิ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติใหม่ กรรมเหล่านี้จะส่งผลให้ในปวัตติกาล คือในสัปดาห์ที่ ๕ และ ๖ ขณะที่มีการเจริญสร้างเนื้อเยื่อสมองขึ้นมานั้น พัฒนาการในส่วนนี้ของเขาไม่สมบูรณ์เท่ากับเด็กที่ปกติทั่วๆ ไป ที่เกิดเป็นทวิเหตุกบุคคล และติเหตุกบุคคล คือผู้ที่ปฏิสนธิด้วย มหาวิบากจิต ๘ ซึ่งในปัจจุบันนี้วิทยาการทางโลกได้มีการตรวจพบว่า ผู้ที่มีปัญญาอ่อนประเภท Down’s Syndrome นี้ เกิดขึ้นเนื่องจากการผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ ๒๑ (ปกติจะมี ๑ คู่ คือ ๒ ท่อน แต่คนปัญญาอ่อนจะมี ๓ ท่อน)
แม้คนที่ตาบอด หรือหูหนวกมาแต่กำเนิด ก็เช่นเดียวกัน เป็นเพราะอำนาจอกุศลกรรมมาส่งผลให้ในปวัตติกาล คือ สัปดาห์ที่ ๗ และ ๘ มีผลทำให้เนื้อเยื่อที่กำลังผันแปรไปเป็นประสาทตา และประสาทหู เกิดผิดปกติไม่สามารถสร้างอวัยวะในส่วนนั้นๆ ได้ ทั้งนี้เพราะบุคคลใดชอบทิ่มแทงตาสัตว์ให้บอดอยู่บ่อยๆ จิตของเขาย่อมมีเจตนาที่จะให้สัตว์นั้นมองไม่เห็น เจตนาหรือกรรมนั้นย่อมถูกสั่งสมไว้ในจิต เมื่อปฏิสนธิในภพใหม่ อำนาจแห่งกรรมนั้นก็จะสร้างกรรมชรูปให้เป็นผู้ที่ตาบอดมาแต่กำเนิด
สรุปได้ว่า อำนาจกรรม ย่อมส่งผลให้ ๒ ขณะ คือ
๑.ปฏิสนธิกาล (ขณะเกิด) นั่นคือ กรรมหรืออารมณ์ที่เกิดในมรณาสันนวิถี จะมีอำนาจส่งผลให้ในขณะที่ชีวิตอุบัติขึ้นมาในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นกลละ โดยนับเพียงอุปาทขณะเท่านั้น
๒.ปวัตติกาล (ขณะเจริญ) นั่นคือ กรรมอันเป็นบุญ บาป ที่กระทำมาตลอดชีวิตนั้นจะมีอำนาจส่งผลให้ภายหลังที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้ว นับตั้งแต่ ฐีติขณะของปฏิสนธิจิตเป็นต้นไป
จะเห็นได้ว่า ชีวิตย่อมมีอยู่ได้ด้วยอำนาจกรรมเป็นใหญ่ ฉะนั้นจงหมั่นระลึกเสมอว่า บุญ บาป ที่
กระทำลงไปนั้น มิได้หายไปไหน แต่จะคอยเวลาส่งผลให้กับบุคคลผู้ที่กระทำอยู่ตลอดเวลา
มักมีคำถามว่า หากผู้ที่ตั้งครรภ์ทำแท้งตอนที่เด็กอายุต่ำกว่า ๘ สัปดาห์ โดยที่ขณะนั้นทารกยังไม่ปรากฏรูปร่างของความเป็นคนเลย จะเป็นบาปหรือไม่
หากว่ากันโดยสภาวธรรมแล้ว ชีวิตคือรูปนาม (ขันธ์ ๕) อันประกอบด้วย จิต เจตสิก และรูป นั้น ย่อมอุบัติขึ้นมาพร้อมกันนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดการปฏิสนธิ เพราะขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นนั้น ย่อมมีขันธ์ทั้ง ๕ ครบ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นการบ่งบอกให้รู้ชัดว่า สิ่งที่อุบัติขึ้นมานี้คือชีวิตแล้ว หากมีผู้คิดทำลายโดยมีองค์ประกอบของการตัดสินว่าเป็นปาณาติปาตครบ ๕ ประการ คือ สัตว์นั้นมีชีวิต รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต มีจิตคิดจะทำลาย มีความพยายามลงมือทำลาย และสัตว์นั้นได้ตายลง ย่อมถือว่าผู้ที่กระทำนั้นบาปอย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้หญิงคนใดก็ตามถ้ามีเพศสัมพันธ์แล้ว ภายในครรภ์ของเธอนั้นย่อมมีโอกาสเป็นสถานที่ปฏิสนธิและจุติของสัตว์ต่างๆ ได้ โดยที่หญิงคนนั้นอาจไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนั้นมีอะไรเกิดขึ้นภายในกายตน ทั้งนี้เพราะเพียงแค่สเปิร์มเข้าผสมกับไข่ และมีสัตว์ที่จุติจากภพอื่นมาปฏิสนธิเกิดเป็น กลละ โดยที่ชีวิตนั้นยังไม่ทันเจริญเป็น อัพพุทะ และเปสิ ก็ถูกกรรมตัดรอนให้ตายลงไป ทั้ง ๆ ที่ยังมิทันได้ฝังตัวที่มดลูกก็มีมาก ฉะนั้นย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่า ครรภ์แห่งสตรีย่อมมีโอกาสเป็นสุสานของชีวิตสัตว์ที่ผลักกันผ่านเข้ามาเวียนว่ายตายเกิดอยู่เป็นนิตย์
นี่คือ…. ความน่ากลัวของชีวิต ตราบใดที่ชีวิตนั้นยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไปในภพภูมิต่าง ๆ
ใคร? ให้คุณเกิด
อธิบายการเกิดในแง่ของวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ อ.บุษกร เมธางกูร
https://web.facebook.com/abhidhamonline/photos/1277591936098411
1. ตัวอ่อนไม่ใช่คน ไม่ใช่การฆ่า
เมื่อก่อนก็คิดเช่นนี้ครับ พอมาศึกษา พระพุทธศาสนา จึงได้รู้ว่า ชีวิตของคนเราในแต่ละชาติที่เกิดมาเป็น มนุษย์ เริ่มตั้งแต่ มี วิญญาณมาปฏิสนธิ ในเชื้อของมารดาบิดา ที่ผสมกันแล้ว ซึ่งการผสมของเชื้อนี้ มีอายุ ๗ วัน ระหว่างนี้ หากมีสัตว์อื่นตายลง แล้วมีบุญนำเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ส่งผลให้ วิญญาณมา ปฏิสนธิ ได้
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม บางคน แม่พยายามทำแท้งอย่างไร ก็มีบุญคุ้มครอง มีชีวิตต่อ คลอดออกมาจากท้องแม่ได้
บางคน ก็ตาย ตั้งแต่ ชั่วโมงแรก ๆ หลัง มีวิญญาณมาปฏิสนธิ เพราะมี อกุศลกรรม มาตัดรอน เพราะเคยฆ่าสัตว์ ทำสัตว์อื่นให้อายุสั้น ไว้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ใคร......ให้คุณเกิด
https://web.facebook.com/abhidhamonline/photos/1277591936098411
http://larndham.org/index.php?showtopic=30808&st=0#entry489409
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=17004&view=previous
ความเป็นไปของรูปตั้งแต่ปฏิสนธิกาล
กรรมชกลาปที่เริ่มเกิดพร้อมกับอุปาทะของปฏิสนธิจิตที่กล่าวมาแล้วนั้น ย่อมเกิดขึ้น ๓ กลาป คือ
๑. กายทสกกลาป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ + กายปสาทรูป ๑ + ชีวิตรูป ๑
๒. ภาวทสกกลาป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ + ภาวรูป ๑ + ชีวิตรูป ๑ (ถ้าเป็นชาย ภาวรูปก็เป็น ปุริสภาวรูป ถ้าเป็นหญิง ก็คือ อิตถีภาวรูป)
๓. วัตถุทสกกลาป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘ + หทยวัตถุ ๑ + ชีวิตรูป ๑
หมายความว่า กลุ่มรูปที่เกิดจากกรรมนี้มีถึง ๓ กลุ่ม กลุ่มละ ๑๐ รูป (จึงเรียกกลาปที่มี ๑๐ รูปนี้ว่า ทสกกลาป) รวม ๓๐ รูปที่เกิดในอุปาทขณะของปฏิสนธิจิต และเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ทุก ๆ อนุขณะจิตจะเกิดขึ้นจิตจะเกิดขึ้นเพิ่มอีกทีละ ๓ กลาปเรื่อยไป จนกว่าจะครบ ๑๗ ขณะของจิต หรือ ๕๑ อนุขณะ รูปนั้นจึงจะดับลงไป ๓ กลาป
นอกจากกลุ่มรูปที่เกิดจากอำนาจกรรม ความเป็นไปของชีวิตนั้นยังมีอำจาจอำนาจของจิต อุตุ และอาหาร ที่ทำให้เกิดกลุ่มรูปได้เช่นกัน จึงไม่แปลกเลยว่าขณะที่ปฏิสนธิเป็น “กลละ” ที่มีขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ซึ่งอุปมาว่าเอาขนจามรีมาจุ่งน้ำมันงาใส และสลัดออกไป ๗ ครั้ง หยดน้ำใสที่ติดอยู่ที่ปลายขนจามรีหลังสลัดครั้งที่ ๗ นี้เองที่มีขนาดเท่ากับกลละ ซึ่งเป็นขณะที่รูปกำลังเกิดขึ้น ๓ กลาป ซึ่งต่อมาจะเพิ่มขึ้นเป็น ๖…๙… ไปเรื่อยๆ จนเมื่อครบ ๑๗ ขณะจิต จะมีกลุ่มรูปที่เกิดจากอำนาจกรรมถึง ๑๕๓ กลาป และเมื่อนับรวมกับรูปที่เกิดจากอำนาจจิต และอุตุแล้วจะได้ทั้งสิ้น ๕๑๐ กลาป (ทั้งนี้ยังไม่นับรวมกับรูปอันเกิดจากอาหาร เพราะช่วงแรกของชีวิตที่เกิดใหม่นั้นทารกยังไม่ได้รับอาหารจากมารดาเลย จนกว่าจะมีการสร้างเส้นเลือด สายสะดือ)
นอกจากอาหารชกลาปที่จะมีเกิดขึ้นต่อไปแล้ว ยังมีกลุ่มของชีวิตนวกลาปซึ่งจะเกิดขึ้นภายหลังปฏิสนธิกาล และจักขุทสกกลาป โสตทสกกลาป ฆานทสกกลาป ชิวหาทสกกลาป ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ ๗ เป็นต้นไป จึงทำให้ชีวิตที่อุบัติขึ้นมานั้นมีกลาปเกิดขึ้นอย่างมากมาย
การที่มีรูปกลาปเพิ่มขึ้นอย่างมากมายดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้เกิดความเป็นกลุ่มเป็นก้อน ที่เรียกว่า ฆนสัญญา ซึ่งเป็นตัวการปิดบังไม่ให้ประจักษ์ความจริงว่า ชีวิตไม่มีตัวตน ไม่ใช่คน สัตว์ หญิง ชาย เป็นเพียงแค่รูปธรรม หรือธาตุต่างๆ ที่มาประชุมกันเป็นรูปร่าง โดยมีกรรม จิต อุตุ อาหาร เป็รตัวการสำคัญทำให้เกิด และเป็นเพราะการเกิดขึ้นมารวมตัวกันของกลุ่วรูปกลาปเหล่านี้เอง จึงทำให้ในที่สุดเราสามารถมองเห็นตัวอ่อนนั้นได้ว่ามีรูปลักษณะเช่นใด และมีการเจริญเติบโตอย่างไร นั่นคือจาก กลละ เจริญมาเป็น อัพพุทะ เปสิ ฆนะ และปัญจสาขา เปลี่ยนแปลงจนเจริญมาเป็นทารกได้
แม้ในหลักวิทยาศาสตร์เองก็กล่าวว่า ชีวิต ๑ ชีวิต ที่เห็นเป็นรูปร่าง (Body) นั้น ย่อมประกอบด้วยระบบต่างๆ (System) และแต่ละระบบประกอบด้วย อวัยวะ (Organ) ซึ่งแต่ละอวัยวะประกอบด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ และเมื่อย่อยลงไปแล้ว เนื้อเยื่อนั้นประกอบด้วย เซลล์ (Cell) และภายในเซลล์ย่อมต้องประกอบด้วยสสารต่าง ๆ ซึ่งเล็กที่สุดก็คือ รูปปรมาณู (Atom) ดังกล่าวมาแล้วนั้นเอง
จะเห็นได้ว่านับตั้งแต่ปฏิสนธิครั้งแรกที่มีกลุ่มรูปกลาปเกิดขึ้น ๓ มัดนั้น ย่อมบ่งบอกให้รู้ว่าชีวิตที่เกิดใหม่นั้นแม้จะยังไม่เป็นตัวเป็นตน แต่เพศย่อมปรากฏออกมาแน่นอนแล้วว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายเพราะนับตั้งแต่เป็นรูปกลละ ขณะนั้นได้เกิดรูปอันเป็นภาวทสกกลาปซึ่งเกิดขึ้นจากอำนาจกรรมเป็นตัวกำหนดมาแล้ว แม้ในทางวิทยาศาสตร์ก็อธิบายว่า เมื่อเกิดเซลล์ไซโกต ย่อมรู้แล้วว่าเซลล์นั้นมีโครโมโซมเพศเป็น XX (หญิง) หรือ XY (ชาย) หากทว่าทางพุทธศาสตร์สามารถอธิบายได้กว้างไกลไปถึงว่า เพราะอำนาจใดจึงทำให้เกิดเป็นหญิง หรือชาย นั่นคือ
หากชาติปางก่อน ผู้นั้นได้ประกอบกุศลกรรมมีกำลังอ่อน ( สสังขาริก ) มีความหวั่นไหว กุศลที่มีกำลังอ่อนนี้จะมีอำนาจทำให้เกิดรูปที่เป็นอิตถีภาวรูป (เพศหญิง)
หากชาติปางก่อน ผู้นั้นได้ประกอบกุศลกรรมมีกำลังเข้มแข็ง (อสังขาริก) มีศรัทธาอันแรงกล้า ไม่หวั่นไหว มีการตัดสินใจเด็ดเดี่ยว กุศลที่มีกำลังมากเช่นนี้ ก็จะมีอำนาจทำให้เกิดรูปที่เป็นปุริสภาวรูป (เพศชาย)
ปัจจุบันนี้จึงสามารถทดสอบเพศของลูกได้แม้จะยังไม่ถึงเดือน ด้วยการเจาะน้ำคร่ำมาตรวจสอบหาโครโมโซมเพศ ซึ่งวิธีนี้วงการแพทย์จะใช้ในการตรวจสอบหาความผิดปกติของทารก อันเนื่องมาจากโรคถ่าทอดทางพันธุกรรมที่ร้ายแรง
นอกเหนือจากนี้ กรรมอื่นใดที่บุคคลผู้นั้นได้กระทำในอดีตส่งให้เจ้าของกรรมนั้นต้องได้รับผลทั้งดีทั้งชั่ว ตามเหตุที่กระทำมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย อาทิ
แม่บางคนยังไม่ได้ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่า มีการปฏิสนธิเกิดกลละ (ชีวิตใหม่) ขึ้นในครรภ์ของตนเอง ทั้งนี้ก็เพราะว่าอำนาจฝ่ายอกุศลกรรมที่มีกำลังแรงมาทำหน้าที่เป็นกรรมตัดรอนบั่นทอนให้ชีวิตที่อุบัตินั้นไม่มีโอกาศได้ฝังตัวที่มดลูก ต้องตายไปภายในสัปดาห์แรกหลังการปฏิสนธิ หรือแม่บางรายฮอร์โมนที่สร้างน้อยเกินไป ทำให้เกิดการผิดปกติ นั่นคือตัวอ่อนในระยะ blastocyst ไม่อาจฝังตัวติดแน่นกับมดลูกได้จึงต้องเกิดการแท้ง สาเหตุของการเป็นเช่นนี้ ก็เพราะบุคคลผู้ที่จะมาเกิดเป็นลูกนั้น ได้กระทำปาณาติบาตที่มีกำลังของบาปมาก และผลจากการฆ่าสัตว์นี้เองทำให้เขาต้องมีอายุสั้น ต้องตายก่อนโดยที่ชีวิตไม่มีโอกาศได้เจริญเป็นทารกเลย
เด็กบางคนเจริญเป็นตัวมาจนถึงสัปดาห์ที่ ๕ - ๖ คือกำลังมีการเจริญเป็นปัญจสาขา แต่ปรากฏว่า ปุ่มที่จะเจริญไปเป็นแขน หรือขานั้นเกิดการผิดปกติไม่สามารถเจริญต่อไปได้ด้วยอำนาจกรรมที่เขาได้เบียดเบียนทำร้าย ตัดแขนขาของสัตว์มาแต่อดีตชาติ ได้มาส่งผลให้เขาต้องพิการแขนขา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายท่าน ๆ อาจเคยพบเห็นว่า ผู้ที่ชอบล่าสัตว์บางคน เมื่อมีลูกๆ ที่เกิดมานั้นจะมีลักษณะทุพพลภาพในอวัยวะบางส่วน บางคนสรุปว่าเป็นเพราะพ่อทำบาปลูกจึงต้องได้รับผลของบาปที่พ่อเคยทำ ความคิดเช่นนี้ย่อมผิดไปจากความเป็นจริง เพราะสัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของของตน ผู้ใดทำกรรมชนิดใดไว้ ผู้นั้นย่อมต้องเป็นผู้รับผลของกรรมที่ตนทำมานั่นเอง หมายความว่า ลูกที่เกิดมาพิการนั้น ก็เพราะอดีตชาติเขาทำกรรมของเขามาเอง ส่วนการล่าสัตว์ที่พ่อทำไว้ในชาตินี้ พ่อย่อมต้องได้รับผลของกรรมในชาติต่อๆ ไปเอง แต่เป็นเพราะธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาแต่เหตุจึงทำให้เขาต้องเกิดมาอยู่กับพ่อที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน คือชอบการเบียดเบียนทำร้ายสัตว์อยู่เป็นนิตย์
คนที่ปัญญาอ่อน ซึ่งเป็นสุคติอเหตุกบุคคล โดยปฏิสนธิด้วยจิตที่มีชื่อว่า อุเบกขาสันตีรณกุศลวิปากจิตนั้น (เป็นกุศลที่มีกำลังอ่อน) เป็นเพราะในอดีตชาติชอบสร้างเหตุแห่งความมึนเมา เป็นผู้ที่ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่รู้จักคิด และมีมิจฉาทิฐิ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติใหม่ กรรมเหล่านี้จะส่งผลให้ในปวัตติกาล คือในสัปดาห์ที่ ๕ และ ๖ ขณะที่มีการเจริญสร้างเนื้อเยื่อสมองขึ้นมานั้น พัฒนาการในส่วนนี้ของเขาไม่สมบูรณ์เท่ากับเด็กที่ปกติทั่วๆ ไป ที่เกิดเป็นทวิเหตุกบุคคล และติเหตุกบุคคล คือผู้ที่ปฏิสนธิด้วย มหาวิบากจิต ๘ ซึ่งในปัจจุบันนี้วิทยาการทางโลกได้มีการตรวจพบว่า ผู้ที่มีปัญญาอ่อนประเภท Down’s Syndrome นี้ เกิดขึ้นเนื่องจากการผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ ๒๑ (ปกติจะมี ๑ คู่ คือ ๒ ท่อน แต่คนปัญญาอ่อนจะมี ๓ ท่อน)
แม้คนที่ตาบอด หรือหูหนวกมาแต่กำเนิด ก็เช่นเดียวกัน เป็นเพราะอำนาจอกุศลกรรมมาส่งผลให้ในปวัตติกาล คือ สัปดาห์ที่ ๗ และ ๘ มีผลทำให้เนื้อเยื่อที่กำลังผันแปรไปเป็นประสาทตา และประสาทหู เกิดผิดปกติไม่สามารถสร้างอวัยวะในส่วนนั้นๆ ได้ ทั้งนี้เพราะบุคคลใดชอบทิ่มแทงตาสัตว์ให้บอดอยู่บ่อยๆ จิตของเขาย่อมมีเจตนาที่จะให้สัตว์นั้นมองไม่เห็น เจตนาหรือกรรมนั้นย่อมถูกสั่งสมไว้ในจิต เมื่อปฏิสนธิในภพใหม่ อำนาจแห่งกรรมนั้นก็จะสร้างกรรมชรูปให้เป็นผู้ที่ตาบอดมาแต่กำเนิด
สรุปได้ว่า อำนาจกรรม ย่อมส่งผลให้ ๒ ขณะ คือ
๑.ปฏิสนธิกาล (ขณะเกิด) นั่นคือ กรรมหรืออารมณ์ที่เกิดในมรณาสันนวิถี จะมีอำนาจส่งผลให้ในขณะที่ชีวิตอุบัติขึ้นมาในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นเป็นกลละ โดยนับเพียงอุปาทขณะเท่านั้น
๒.ปวัตติกาล (ขณะเจริญ) นั่นคือ กรรมอันเป็นบุญ บาป ที่กระทำมาตลอดชีวิตนั้นจะมีอำนาจส่งผลให้ภายหลังที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้ว นับตั้งแต่ ฐีติขณะของปฏิสนธิจิตเป็นต้นไป
จะเห็นได้ว่า ชีวิตย่อมมีอยู่ได้ด้วยอำนาจกรรมเป็นใหญ่ ฉะนั้นจงหมั่นระลึกเสมอว่า บุญ บาป ที่
กระทำลงไปนั้น มิได้หายไปไหน แต่จะคอยเวลาส่งผลให้กับบุคคลผู้ที่กระทำอยู่ตลอดเวลา
มักมีคำถามว่า หากผู้ที่ตั้งครรภ์ทำแท้งตอนที่เด็กอายุต่ำกว่า ๘ สัปดาห์ โดยที่ขณะนั้นทารกยังไม่ปรากฏรูปร่างของความเป็นคนเลย จะเป็นบาปหรือไม่
หากว่ากันโดยสภาวธรรมแล้ว ชีวิตคือรูปนาม (ขันธ์ ๕) อันประกอบด้วย จิต เจตสิก และรูป นั้น ย่อมอุบัติขึ้นมาพร้อมกันนับตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดการปฏิสนธิ เพราะขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นนั้น ย่อมมีขันธ์ทั้ง ๕ ครบ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นการบ่งบอกให้รู้ชัดว่า สิ่งที่อุบัติขึ้นมานี้คือชีวิตแล้ว หากมีผู้คิดทำลายโดยมีองค์ประกอบของการตัดสินว่าเป็นปาณาติปาตครบ ๕ ประการ คือ สัตว์นั้นมีชีวิต รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต มีจิตคิดจะทำลาย มีความพยายามลงมือทำลาย และสัตว์นั้นได้ตายลง ย่อมถือว่าผู้ที่กระทำนั้นบาปอย่างแน่นอน
ดังนั้นผู้หญิงคนใดก็ตามถ้ามีเพศสัมพันธ์แล้ว ภายในครรภ์ของเธอนั้นย่อมมีโอกาสเป็นสถานที่ปฏิสนธิและจุติของสัตว์ต่างๆ ได้ โดยที่หญิงคนนั้นอาจไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนั้นมีอะไรเกิดขึ้นภายในกายตน ทั้งนี้เพราะเพียงแค่สเปิร์มเข้าผสมกับไข่ และมีสัตว์ที่จุติจากภพอื่นมาปฏิสนธิเกิดเป็น กลละ โดยที่ชีวิตนั้นยังไม่ทันเจริญเป็น อัพพุทะ และเปสิ ก็ถูกกรรมตัดรอนให้ตายลงไป ทั้ง ๆ ที่ยังมิทันได้ฝังตัวที่มดลูกก็มีมาก ฉะนั้นย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่า ครรภ์แห่งสตรีย่อมมีโอกาสเป็นสุสานของชีวิตสัตว์ที่ผลักกันผ่านเข้ามาเวียนว่ายตายเกิดอยู่เป็นนิตย์
นี่คือ…. ความน่ากลัวของชีวิต ตราบใดที่ชีวิตนั้นยังต้องเวียนว่ายตายเกิดไปในภพภูมิต่าง ๆ
ใคร? ให้คุณเกิด
อธิบายการเกิดในแง่ของวิทยาศาสตร์และพุทธศาสตร์ อ.บุษกร เมธางกูร
https://web.facebook.com/abhidhamonline/photos/1277591936098411
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 10
1. ตัวอ่อนไม่ใช่คน ไม่ใช่การฆ่า
2. ตัวอ่อนไม่มีสิทธิ์เกินตัวผู้หญิง มันยังเป็นร่างกายของผุ้หญิงอยู่ เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเลือกทำอะไรกับร่างกายเขาเอง
3. การมีลูกเมื่อไม่พร้อม ไม่ส่งผลดีกับใครเลย
4. การบังคับให้คนที่ร่างกายไม่พร้อมอุ้มท้อง สามารถส่งผลอันตรายต่อผู้หญิงให้ถึงตายได้
5. การทำแท้งอย่างปลอดภัย ดีกว่าให้คนไปทำเถื่อน เพราะคุณไม่สามารถห้ามเค้าได้จริง คนที่หมดสิ้นหนทาง เค้าจะหาหนทางอยู่แล้ว แม้มันจะอันตราย
6. นรกเป็นแค่ความเชื่อทางศาสนา อย่าเอาไปยัดหัวคนอื่นที่เค้าไม่เชื่อ
สุดท้ายแล้ว
การสนับสนุนให้มีการทำแท้งที่ปลอดภัย ไม่ใช่การบังคับให้คนต้องทำแท้ง
ถ้าคุณเคร่งศาสนา ถ้าตัวคุณไม่สนับสนุนการทำแท้ง ตัวคุณเองก็อย่าทำแท้ง ไม่ได้มีใครบังคับให้คุณทำแท้ง
แต่อย่าไปบังคับคนอื่นให้คิดเหมือนคุณ
pro choices ไม่ได้แปลว่า forced abortion
2. ตัวอ่อนไม่มีสิทธิ์เกินตัวผู้หญิง มันยังเป็นร่างกายของผุ้หญิงอยู่ เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเลือกทำอะไรกับร่างกายเขาเอง
3. การมีลูกเมื่อไม่พร้อม ไม่ส่งผลดีกับใครเลย
4. การบังคับให้คนที่ร่างกายไม่พร้อมอุ้มท้อง สามารถส่งผลอันตรายต่อผู้หญิงให้ถึงตายได้
5. การทำแท้งอย่างปลอดภัย ดีกว่าให้คนไปทำเถื่อน เพราะคุณไม่สามารถห้ามเค้าได้จริง คนที่หมดสิ้นหนทาง เค้าจะหาหนทางอยู่แล้ว แม้มันจะอันตราย
6. นรกเป็นแค่ความเชื่อทางศาสนา อย่าเอาไปยัดหัวคนอื่นที่เค้าไม่เชื่อ
สุดท้ายแล้ว
การสนับสนุนให้มีการทำแท้งที่ปลอดภัย ไม่ใช่การบังคับให้คนต้องทำแท้ง
ถ้าคุณเคร่งศาสนา ถ้าตัวคุณไม่สนับสนุนการทำแท้ง ตัวคุณเองก็อย่าทำแท้ง ไม่ได้มีใครบังคับให้คุณทำแท้ง
แต่อย่าไปบังคับคนอื่นให้คิดเหมือนคุณ
pro choices ไม่ได้แปลว่า forced abortion
ความคิดเห็นที่ 18
เป็นผู้ชายพูดง่ายสิครับ ไม่ได้ต้องมานั่งท้องเอง แล้วเอาสิทธิ์อะไรไปตัดสินแทนผู้หญิงเค้า?
การที่ผู้หญิงเค้าตัดสินใจจะทำแท้ง ต้องมีเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคนอยู่แล้ว ยกตัวอย่างให้ชัดๆ 2 กรณี
เช่น ในกรณีที่อย่างปัจจุบันที่มีสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ก็เหมือนกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีผู้หญิงมากมายที่ถูกข่มขืน และต้องตั้งครรภ์โดนไม่ได้สมัครใจ ในกรณีเช่นนี้ ผู้ชายมีสิทธิ์อะไรไปตัดสินในกรณีที่ผู้หญิงเค้าต้องการจะทำแท้ง? ให้เค้าคลอดลูกออกมา เพื่อเตือนใจเค้าตลอดชีวิตว่า เด็กที่เกิดมา เพราะเกิดจากการขืนใจ?
เช่นเดียวกับในหลายๆกรณีที่เด็กผู้หญิง 14-15 พลาดไปมีเพศสัมพันธ์โดยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์แล้วท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเด็กปกติไม่พร้อมอยู่แล้ว ภาระก็ไปตกที่ตากับยายอยู่ดี และนี่เราพูดกันถึงภาระทางด้านการเงินส่วนนึง ไหนจะต้องมีความรับผิดชอบไปอีกอย่างน้อยๆนู่น 20 ปี ในกรณีเช่นนี้ถ้าเด็กที่ตั้งครรภ์เค้าตัดสินใจว่า จะทำแท้ง ผู้ชายมีสิทธิ์อะไรไปตัดสินใจแทนตัวผู้หญิงเค้า? ร่างกายเค้า อนาคตเค้า เลิกกับผู้ชายไป ผู้ชายไม่ได้ต้องมานั่งเดือดร้อนเท่าผู้หญิงนะ ต่อให้ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเลี้ยงดู แต่ไม่ได้เป็นคนเดือดร้อนตรง เพราะปกติเด็กก็จะอยู่กับแม่มากกว่าพ่อ ศาลทั้งหลายทั่วโลกปกติแล้ว ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น เค้าก็ตัดสินใจเข้าข้างแม่มากกว่าพ่อ
WHO เค้าสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนมีสิทธิ์ในการ "ตัดสินใจ" เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง มี "อิสระ" ในการตัดสินใจในเรื่องของร่างกายของผู้หญิงเค้าเอง และหากผู้หญิงเค้าตัดสินใจเลือกทางนี้ WHO เค้าก็สนับสนุนให้มีกฎหมายรองรับ เช่นเดียวกับที่ผู้หญิงเค้าต้องได้รับการดูแลที่ถูกต้องจากแพทย์ ไม่ใช่ไปทำแท้งเถื่อน แล้วดีไม่ดีจะเสียชีวิตเอาได้
แล้วให้ไปคิดกลับกันด้วยว่า การไปบังคับผู้หญิงให้เค้ามีลูก ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจ นั่นก่อผลกระทบในแง่ลบทั้งกับตัวแม่ และเด็กในอนาคต แม่ที่ไม่ได้ต้องการมีลูก แต่ถูกกฎหมาย ถูกสิ่งแวดล้อมบังคับให้ต้องมี ห้ามทำแท้ง ก็คือผู้หญิงที่ไม่พร้อมทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ คิดว่า เด็กที่เกิดมาจะถูกเลี้ยงได้ดี มีความสุข เป็นเด็กที่ได้รับความรักและความอบอุ่นที่สมควรได้? สรุปสังคมก็จะมีทั้งผู้หญิงและเด็กที่มีปัญหาด้านจิตใจเพิ่มมาอีก 2 คน ดีไม่ดีโตไปกลายเป็นเด็ก / ผู้ใหญ่มีปัญหาทางจิตอีก แบบนี้เป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง?
เป็นผู้ชายอย่าเห็นแก่ตัว และอย่าถือดีไปตัดสินใจอะไรแทนผู้หญิงเขา ผู้ชายไม่มีสิทธิ์ครับ เพราะท้ายที่สุดผู้ที่ต้องตั้งท้อง 10 เดือนไม่ใช่ผู้ชาย ผู้ที่ต้องเจ็บแทบตายตอนคลอดลูกก็ไม่ใช่ผู้ชาย ผู้ที่ต้องเอาสุขภาพตัวเองไปเสี่ยงในการตั้งครรภ์ก็ไม่ใช่ผู้ชายอีก ร่างกายของผู้หญิงทุกคน ก็ต้องเจ้าตัวเท่านั้นที่มีสิทธิ์และอิสระในการตัดสินใจ ผู้ชายแสดงความคิดเห็นได้ในกรณีสามีภรรยา และในกรณีที่เป็นคู่สมรส ผู้ชายก็ต้องรู้และเข้าใจว่า ทำไมภรรยาของตนจึงจะตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นก็ต้องมีการปรึกษา คุยกันระหว่างสามีภรรยากันเองเช่นกัน ซึ่งถ้าเป็นกรณีแบบนี้ คนนอกก็ไม่จำเป็นจะต้องไปยุ่ง ไปตัดสินใจ หรือไปวิจารณ์เค้าเช่นกัน
จขกท มีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ แต่มันก็แค่ความเห็นของ จขกท ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ในการจะไปตัดสิน หรือวิจารณ์ในการตัดสินใจส่วนตัวของใคร เพราะนั่นคือชีวิตของเค้า การตัดสินใจของเค้า ความรับผิดชอบในชีวิตของเค้า ตัดสินใจผิดหรือถูก ผู้ที่ตัดสินใจเองก็รับผลเอง คนข้างนอกไม่ได้ต้องไปช่วยรับผลการตัดสินใจของเค้า โดยเฉพาะในเรื่องนี้ที่มีผลทั้งกับสุขภาพ และอนาคตของผู้หญิงเค้า มันยิ่งต้องให้สิทธิ์ในการตัดสินใจกับเค้า นั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า "เคารพสิทธิส่วนบุคคล" ของผู้อื่น
การที่ผู้หญิงเค้าตัดสินใจจะทำแท้ง ต้องมีเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคนอยู่แล้ว ยกตัวอย่างให้ชัดๆ 2 กรณี
เช่น ในกรณีที่อย่างปัจจุบันที่มีสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ก็เหมือนกับสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีผู้หญิงมากมายที่ถูกข่มขืน และต้องตั้งครรภ์โดนไม่ได้สมัครใจ ในกรณีเช่นนี้ ผู้ชายมีสิทธิ์อะไรไปตัดสินในกรณีที่ผู้หญิงเค้าต้องการจะทำแท้ง? ให้เค้าคลอดลูกออกมา เพื่อเตือนใจเค้าตลอดชีวิตว่า เด็กที่เกิดมา เพราะเกิดจากการขืนใจ?
เช่นเดียวกับในหลายๆกรณีที่เด็กผู้หญิง 14-15 พลาดไปมีเพศสัมพันธ์โดยการรู้เท่าไม่ถึงการณ์แล้วท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเด็กปกติไม่พร้อมอยู่แล้ว ภาระก็ไปตกที่ตากับยายอยู่ดี และนี่เราพูดกันถึงภาระทางด้านการเงินส่วนนึง ไหนจะต้องมีความรับผิดชอบไปอีกอย่างน้อยๆนู่น 20 ปี ในกรณีเช่นนี้ถ้าเด็กที่ตั้งครรภ์เค้าตัดสินใจว่า จะทำแท้ง ผู้ชายมีสิทธิ์อะไรไปตัดสินใจแทนตัวผู้หญิงเค้า? ร่างกายเค้า อนาคตเค้า เลิกกับผู้ชายไป ผู้ชายไม่ได้ต้องมานั่งเดือดร้อนเท่าผู้หญิงนะ ต่อให้ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเลี้ยงดู แต่ไม่ได้เป็นคนเดือดร้อนตรง เพราะปกติเด็กก็จะอยู่กับแม่มากกว่าพ่อ ศาลทั้งหลายทั่วโลกปกติแล้ว ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น เค้าก็ตัดสินใจเข้าข้างแม่มากกว่าพ่อ
WHO เค้าสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคนมีสิทธิ์ในการ "ตัดสินใจ" เลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง มี "อิสระ" ในการตัดสินใจในเรื่องของร่างกายของผู้หญิงเค้าเอง และหากผู้หญิงเค้าตัดสินใจเลือกทางนี้ WHO เค้าก็สนับสนุนให้มีกฎหมายรองรับ เช่นเดียวกับที่ผู้หญิงเค้าต้องได้รับการดูแลที่ถูกต้องจากแพทย์ ไม่ใช่ไปทำแท้งเถื่อน แล้วดีไม่ดีจะเสียชีวิตเอาได้
แล้วให้ไปคิดกลับกันด้วยว่า การไปบังคับผู้หญิงให้เค้ามีลูก ทั้งๆที่เจ้าตัวไม่ได้เต็มใจ นั่นก่อผลกระทบในแง่ลบทั้งกับตัวแม่ และเด็กในอนาคต แม่ที่ไม่ได้ต้องการมีลูก แต่ถูกกฎหมาย ถูกสิ่งแวดล้อมบังคับให้ต้องมี ห้ามทำแท้ง ก็คือผู้หญิงที่ไม่พร้อมทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ คิดว่า เด็กที่เกิดมาจะถูกเลี้ยงได้ดี มีความสุข เป็นเด็กที่ได้รับความรักและความอบอุ่นที่สมควรได้? สรุปสังคมก็จะมีทั้งผู้หญิงและเด็กที่มีปัญหาด้านจิตใจเพิ่มมาอีก 2 คน ดีไม่ดีโตไปกลายเป็นเด็ก / ผู้ใหญ่มีปัญหาทางจิตอีก แบบนี้เป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง?
เป็นผู้ชายอย่าเห็นแก่ตัว และอย่าถือดีไปตัดสินใจอะไรแทนผู้หญิงเขา ผู้ชายไม่มีสิทธิ์ครับ เพราะท้ายที่สุดผู้ที่ต้องตั้งท้อง 10 เดือนไม่ใช่ผู้ชาย ผู้ที่ต้องเจ็บแทบตายตอนคลอดลูกก็ไม่ใช่ผู้ชาย ผู้ที่ต้องเอาสุขภาพตัวเองไปเสี่ยงในการตั้งครรภ์ก็ไม่ใช่ผู้ชายอีก ร่างกายของผู้หญิงทุกคน ก็ต้องเจ้าตัวเท่านั้นที่มีสิทธิ์และอิสระในการตัดสินใจ ผู้ชายแสดงความคิดเห็นได้ในกรณีสามีภรรยา และในกรณีที่เป็นคู่สมรส ผู้ชายก็ต้องรู้และเข้าใจว่า ทำไมภรรยาของตนจึงจะตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นก็ต้องมีการปรึกษา คุยกันระหว่างสามีภรรยากันเองเช่นกัน ซึ่งถ้าเป็นกรณีแบบนี้ คนนอกก็ไม่จำเป็นจะต้องไปยุ่ง ไปตัดสินใจ หรือไปวิจารณ์เค้าเช่นกัน
จขกท มีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ แต่มันก็แค่ความเห็นของ จขกท ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ในการจะไปตัดสิน หรือวิจารณ์ในการตัดสินใจส่วนตัวของใคร เพราะนั่นคือชีวิตของเค้า การตัดสินใจของเค้า ความรับผิดชอบในชีวิตของเค้า ตัดสินใจผิดหรือถูก ผู้ที่ตัดสินใจเองก็รับผลเอง คนข้างนอกไม่ได้ต้องไปช่วยรับผลการตัดสินใจของเค้า โดยเฉพาะในเรื่องนี้ที่มีผลทั้งกับสุขภาพ และอนาคตของผู้หญิงเค้า มันยิ่งต้องให้สิทธิ์ในการตัดสินใจกับเค้า นั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า "เคารพสิทธิส่วนบุคคล" ของผู้อื่น
แสดงความคิดเห็น
องค์กรระดับโลกอย่าง WHO (องค์การอนามัยโลก) สนับสนุนการทำแท้งเหรอครับ?
https://twitter.com/WHO/status/1521458234246193159/photo/1
แล้วไม่ผิดศีลธรรมหรือขัดต่อคำสอนของบางศาสนาเหรอครับ?