เพื่อไทย ชี้ รัฐเลิก Test & Go แล้ว จี้ ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วย
https://www.thairath.co.th/news/politic/2377207
“เพื่อไทย” จี้ นายกฯ เลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และ Test & Go ชี้ เร่งช่วยผู้ประกอบการ ออกซอฟต์โลน ช่วยปรับซ่อมโครงสร้างหนี้ และลดภาษีที่ดิน แนะ จะเพิ่มนักท่องเที่ยวเป็น 10 ล้านคน อยู่เฉยไม่ได้ต้องเร่งทำการตลาด
วันที่ 26 เม.ย. นาย
จักรพล ตั้งสุทธิธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ รองเลขาธิการและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีแนวทางจะยกเลิกระบบ Test & Go ในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เพื่อให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างประเทศให้เข้ามา เป็นเรื่องที่ดีและถูกต้องและควรจะทำนานแล้ว เหมือนที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เสนอและได้แนะนำไว้แต่แรก โดยได้ยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้และประเทศสิงคโปร์ที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นจึงอยากให้พลเอก
ประยุทธ์ ได้เร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวและขจัดปัญหาความไม่สะดวกของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาทั้งหมดรวมถึงยกเลิกการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินด้วย
ทั้งนี้ เมื่อยกเลิกระบบ Test & Go และประเทศเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว พลเอก
ประยุทธ์ก็ควรจะต้องยกเลิก พ.ร.ก ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะตลอดเวลากว่า 2 ปี ที่ผ่านมา พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไม่ได้ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเลย แต่กลับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินในการควบคุมและกำจัดผู้เห็นต่างเท่านั้น ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ปกติและไม่มีความจำเป็นแล้ว จึงควรต้องยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พร้อมกันไปทีเดียว อย่าคิดแค่ว่าจะเก็บไว้เป็นเครื่องมือป้องกันรัฐบาล
ประยุทธ์ เท่านั้น เพราะจะเสียภาพลักษณ์ที่ดีว่า ประเทศไทยยังมีปัญหาถึงต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้
นอกจากนี้ พลเอก
ประยุทธ์ จะต้องหาทางช่วยเหลือผู้ประกอบการการท่องเที่ยวโดยเฉพาะด้านโรงแรมให้กลับมาทำธุรกิจได้ และจะช่วยให้ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานที่ยังเป็นปัญหาอย่างมาก โดยควรจะต้องออกซอฟต์โลน รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย ลดเงินต้น ยืดการชำระหนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ไม่ใช่หนี้ท่วมท้นทำอย่างไรก็ใช้หนี้ไม่ได้ก็คงจะไม่ไหว ซึ่งคงต้องพิจารณาเป็นรายๆ ตามหลักเกณฑ์ที่จะกำหนด อีกทั้งปัจจุบันผู้ประกอบการโรงแรมจำนวนมากนอกจากจะไม่มีรายได้เพียงพอแล้ว ยังต้องถูกเรียกเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแบบมหาโหด เพิ่มจากเดิมถึง 10 เท่า ทำให้ลำบากกันอย่างมาก ดังนั้นจึงอยากให้พลเอก
ประยุทธ์ ได้พิจารณาผ่อนผันลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ออกไปอีกอย่างน้อย 1 ปีเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถหารายได้เข้ามาเพียงพอเพื่อประคองธุรกิจและจ่ายภาษีนี้
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลขายฝันว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในปีนี้ 10 ล้านคนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายและน่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก จะนั่งเทียนคิด รออยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย แล้วรอนักท่องเที่ยวเข้ามาเอง 10 ล้านคน คงเป็นไปไม่ได้ การทำการตลาดเชิงรุกจึงมีความจำเป็น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ ดังนั้นจึงอยากให้พลเอก
ประยุทธ์ได้ศึกษาและหาแนวทางในการทำการตลาดเชิงรุกทางด้านท่องเที่ยวนี้ โดยพรรคเพื่อไทยได้เตรียมแผนงานไว้แล้ว และจะทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาประเทศไทยถึงปีละ 80 ล้านคน ภายใน 4 ปี
"คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ยากมากจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซามาตลอด 8 ปี ซึ่งต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างมากและต้องทำได้หลายๆ ทางพร้อมกัน การท่องเที่ยวจะเป็นแนวทางสำคัญที่จะฟื้นเศรษฐกิจไทยได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะรายได้จะเข้ามาเร็วและมีการกระจายรายได้สูง ดังนั้นการฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยวจึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วน โดยต้องให้ความสะดวกสบาย และ ลดปัญหาให้กับนักท่องเที่ยวให้มากที่สุดเพื่อจะนำรายได้กลับเข้ามาในประเทศโดยเร็ว" นาย
จักรพล กล่าว...
นพ.ธีระ ชี้ไทยติดโควิดดับสูงที่ 4 ของโลก ซัดแคมเปญ “โรคประจำถิ่น” ทำปชช.เข้าใจผิด
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3308862
นพ.ธีระ ชี้ไทยติดโควิดเสียชีวิตสูงอันดับ 4 ของโลก ยอดติดเชื้อรวม ATK อันดับ 7 ซัดแคมเปญ “โรคประจำถิ่น” ทำปชช.เข้าใจผิด ‘โรคหวัดธรรมดา-ไม่น่ากลัว’
วันที่ 26 เม.ย. นพ.
ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก
Thira Woratanarat ระบุว่า
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 353,449 คน ตายเพิ่ม 1,627 คน รวมแล้วติดไปรวม 509,845,095 คน เสียชีวิตรวม 6,244,616 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 15 ใน 20 อันดับแรกของโลก
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 77.07 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 79.28
การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 32.02 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 26.61
สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย
ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก ทั้งนี้จำนวนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานนั้นคิดเป็น 28.63% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย
สถิติของไทย
หากดูจำนวนการติดเชื้อใหม่ต่อวัน รวม ATK เท่าที่ติดตามข้อมูลมา ไทยเราจะติดอันดับ Top 10 ของโลกมาติดต่อกันยาวนานถึง 39 วันแล้ว ส่วนจำนวนการเสียชีวิตต่อวันนั้น ติดอันดับ Top 10 มาต่อเนื่อง 10 วัน
ย้ำเตือนเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับโรคประจำถิ่น (Endemic diseases)
“Endemic doesn’t mean harmless” โรคประจำถิ่น ไม่ควรนำมาใช้ทำแคมเปญให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าเป็นโรคธรรมดา ไม่น่ากลัว ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
โรคประจำถิ่นนั้น โดยแท้จริงแล้วหมายถึงโรคที่ถูกระบุว่า พบได้บ่อยหากใครจะเดินทางไปยังพื้นที่นั้น ดินแดนนั้น ประเทศนั้น
โรคประจำถิ่นนั้น จะถูกใช้เมื่อเจอโรคนั้นอย่างเป็นประจำในถิ่นนั้น โดยรู้ว่ามีอัตราการติดเชื้อเพียงใดในลักษณะที่คงที่ โดยอาจมากขึ้นน้อยลงตามฤดูกาลได้ และสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของเชื้อโรคได้ดีในระดับหนึ่งเพื่อวางแผนจัดการรับมือ มิให้เกิดการระบาดจนเกินควบคุม
ทั้งนี้การจะจัดการโรคประจำถิ่นได้ดีนั้นยัง “จำเป็น”ต้องมียาที่ใช้ในการรักษาและวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้พึ่งพา”ยาผีบอก หรือพืชผักสมุนไพร” ที่คิดเอาเองว่าได้ผลโดยไม่ได้รับการพิสูจน์ตามขั้นตอนมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ
ที่สำคัญที่สุดคือ โรคประจำถิ่นนั้นไม่ได้แปลว่า “ไม่อันตราย” ไม่ได้แปลว่า “อ่อน กระจอก ธรรมดา ไม่รุนแรง”
หลายโรคที่เป็นโรคประจำถิ่นในบางทวีป บางประเทศ เช่น ไข้เหลือง อีโบล่า ฯลฯ ที่พบมากในแอฟริกา ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อ โดยยังมีอัตราการเสียชีวิตสูงได้เช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่โรคที่เราคุ้นเคยกันเช่น วัณโรค มาลาเรีย ก็พบว่าเป็นโรคประจำถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย แต่ก็เป็นโรคที่เป็นแล้วรุนแรง เสียชีวิตได้
ดังนั้น หากทำความเข้าใจเรื่องโรคประจำถิ่น และติดตามความเป็นไปในเครือข่ายสังคมตลอดช่วงที่ผ่านมาจะพบว่าน่าเป็นห่วง เพราะมีแนวโน้มความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าโควิด-19 จะกลายเป็นหวัดธรรมดา กระจอก ประจำถิ่น โดยไม่ต้องกังวลหรือป้องกันตัว
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ในภาพรวมเรามีจำนวนการติดเชื้อมาก และมากกว่าประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ดังนั้นคนที่จะเดินทางมา ก็ย่อมตระหนักดีว่ากำลังเข้าสู่พื้นที่ประเทศที่มีโอกาสติดเชื้อสูง แปลแบบบ้านๆ คือ “แดนดงโรค หรือถิ่นที่มีโรคนั้นชุกชุม” หรือ “endemic area”
คำว่า “โรคประจำถิ่น” จึงไม่มีความหมายสำคัญไปกว่าที่อธิบายมาข้างต้น
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ ทำอย่างไรให้การระบาดบรรเทาเบาบางลงกว่าที่เป็นมา
การป้องกันการแพร่เชื้อติดเชื้อ คือคำตอบสุดท้ายที่จะไขปัญหานี้ได้
มิใช่การพึ่งวัคซีนเป็นหลักเพียงอย่างเดียว เพราะวัคซีนนั้นหวังผลในแง่การลดความเสี่ยงการป่วยรุนแรง และการเสียชีวิต
การคิดและผลักดันนโยบายและมาตรการต่างๆ ในทุกมิติของสังคม เพื่อทำให้คนป้องกันตัว ไม่ให้ติดเชื้อหรือแพร่เชื้อ ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นมาคือสิ่งที่จำเป็น
ใส่หน้ากากนะครับ นี่คือหัวใจสำคัญที่จะปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของคุณและสมาชิกในครอบครัว
ปัญหาไม่ใช่แบบคิดตื้นๆ ว่า ติดเชื้อแล้วแป๊บเดียวก็หาย แต่โชคร้ายอาจเสียชีวิต แม้จะได้รับวัคซีนมาแล้วก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น โชคร้ายที่สุดคือการเกิดภาวะผิดปกติระยะยาวหรือ Long COVID ซึ่งเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเคยติดเชื้อแบบไม่มีอาการเลย มีอาการน้อย หรือมีอาการมาก ก็ล้วนเกิดได้ทั้งสิ้น และจะบั่นทอนคุณภาพชีวิต เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อผู้ป่วย ครอบครัว และสังคมในระยะยาว
ใช้ชีวิต ทำงาน เรียนหนังสือ ทำมาค้าขาย อย่างมีสติ ป้องกันตัวเสมอ จะลดความเสี่ยงไปได้มาก
ไม่ติดเชื้อย่อมดีที่สุด ด้วยความหวังดี
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224226416960591
คนปักกิ่งแห่กักตุนอาหาร กลัวถูกล็อกดาวน์เหมือนเซี่ยงไฮ้
https://www.nationtv.tv/news/378871035
ชาวเมืองปักกิ่งกลัวถูกล็อกดาวน์เหมือนเซี่ยงไฮ้ แห่กักตุนสินค้าและอาหารจนหมดเกลี้ยง หลังพบผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มในช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
ชาวเมืองปักกิ่งแห่กักตุนสินค้าที่จำเป็น โดยเฉพาะอาหาร หลังจากที่พบผู้ติดเชื้อโควิดในเขตฉาวหยาง 26 คน ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา และทางการได้สั่งให้ตรวจโควิดประชาชนแบบปูพรมเพื่อหาผู้ติดเชื้อเพิ่ม ทำให้ประชาชนกังวลว่าปักกิ่งอาจจะถูกสั่งล็อกดาวน์เข้มข้นแบบเซี่ยงไฮ้ จึงพากันไปซื้ออาหารในตลาดและซุเปอร์มาร์เก็ตเพื่อกักตุน จนสินค้าหมดเกลี้ยง
ทางการปักกิ่งได้สั่งให้ประชาชน 3,500,000 คน ที่อาศัยอยู่ในเขตฉาวหยาง ซึ่งเป็นย่านออฟฟิศและการทำธุรกิจ เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด โดยแบ่งออกเป็นสามรอบ ซึ่งเริ่มวันนี้เป็นวันแรก
แม้ทางการจะขอให้ประชาชนไม่กักตุนสินค้า โดยยืนยันว่ามีอาหารมากเพียงพอ แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าหลายแห่งก็มีประชาชนไปยืนต่อคิวอย่างยาวเหยียดเพื่อซื้อสินค้าที่จำเป็น ทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งประกาศขยายเวลาให้บริการและเร่งหาสินค้ามาเพิ่มเติม
JJNY : พท.จี้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน│นพ.ธีระชี้ไทยติดโควิดดับที่4โลก│คนปักกิ่งแห่ตุนอาหาร│สวีเดน-ฟินแลนด์เตรียมเข้านาโต
https://www.thairath.co.th/news/politic/2377207
“เพื่อไทย” จี้ นายกฯ เลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และ Test & Go ชี้ เร่งช่วยผู้ประกอบการ ออกซอฟต์โลน ช่วยปรับซ่อมโครงสร้างหนี้ และลดภาษีที่ดิน แนะ จะเพิ่มนักท่องเที่ยวเป็น 10 ล้านคน อยู่เฉยไม่ได้ต้องเร่งทำการตลาด
วันที่ 26 เม.ย. นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ รองเลขาธิการและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีแนวทางจะยกเลิกระบบ Test & Go ในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ เพื่อให้ความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างประเทศให้เข้ามา เป็นเรื่องที่ดีและถูกต้องและควรจะทำนานแล้ว เหมือนที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เสนอและได้แนะนำไว้แต่แรก โดยได้ยกตัวอย่างประเทศเกาหลีใต้และประเทศสิงคโปร์ที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้เร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวและขจัดปัญหาความไม่สะดวกของนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาทั้งหมดรวมถึงยกเลิกการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินด้วย
ทั้งนี้ เมื่อยกเลิกระบบ Test & Go และประเทศเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว พลเอกประยุทธ์ก็ควรจะต้องยกเลิก พ.ร.ก ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะตลอดเวลากว่า 2 ปี ที่ผ่านมา พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไม่ได้ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดเลย แต่กลับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินในการควบคุมและกำจัดผู้เห็นต่างเท่านั้น ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ปกติและไม่มีความจำเป็นแล้ว จึงควรต้องยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พร้อมกันไปทีเดียว อย่าคิดแค่ว่าจะเก็บไว้เป็นเครื่องมือป้องกันรัฐบาลประยุทธ์ เท่านั้น เพราะจะเสียภาพลักษณ์ที่ดีว่า ประเทศไทยยังมีปัญหาถึงต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้
นอกจากนี้ พลเอกประยุทธ์ จะต้องหาทางช่วยเหลือผู้ประกอบการการท่องเที่ยวโดยเฉพาะด้านโรงแรมให้กลับมาทำธุรกิจได้ และจะช่วยให้ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานที่ยังเป็นปัญหาอย่างมาก โดยควรจะต้องออกซอฟต์โลน รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย ลดเงินต้น ยืดการชำระหนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ไม่ใช่หนี้ท่วมท้นทำอย่างไรก็ใช้หนี้ไม่ได้ก็คงจะไม่ไหว ซึ่งคงต้องพิจารณาเป็นรายๆ ตามหลักเกณฑ์ที่จะกำหนด อีกทั้งปัจจุบันผู้ประกอบการโรงแรมจำนวนมากนอกจากจะไม่มีรายได้เพียงพอแล้ว ยังต้องถูกเรียกเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแบบมหาโหด เพิ่มจากเดิมถึง 10 เท่า ทำให้ลำบากกันอย่างมาก ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้พิจารณาผ่อนผันลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ออกไปอีกอย่างน้อย 1 ปีเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถหารายได้เข้ามาเพียงพอเพื่อประคองธุรกิจและจ่ายภาษีนี้
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลขายฝันว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในปีนี้ 10 ล้านคนนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายและน่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก จะนั่งเทียนคิด รออยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย แล้วรอนักท่องเที่ยวเข้ามาเอง 10 ล้านคน คงเป็นไปไม่ได้ การทำการตลาดเชิงรุกจึงมีความจำเป็น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามามากๆ ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาและหาแนวทางในการทำการตลาดเชิงรุกทางด้านท่องเที่ยวนี้ โดยพรรคเพื่อไทยได้เตรียมแผนงานไว้แล้ว และจะทำให้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาประเทศไทยถึงปีละ 80 ล้านคน ภายใน 4 ปี
"คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ยากมากจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซามาตลอด 8 ปี ซึ่งต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถอย่างมากและต้องทำได้หลายๆ ทางพร้อมกัน การท่องเที่ยวจะเป็นแนวทางสำคัญที่จะฟื้นเศรษฐกิจไทยได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะรายได้จะเข้ามาเร็วและมีการกระจายรายได้สูง ดังนั้นการฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยวจึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วน โดยต้องให้ความสะดวกสบาย และ ลดปัญหาให้กับนักท่องเที่ยวให้มากที่สุดเพื่อจะนำรายได้กลับเข้ามาในประเทศโดยเร็ว" นายจักรพล กล่าว...
นพ.ธีระ ชี้ไทยติดโควิดดับสูงที่ 4 ของโลก ซัดแคมเปญ “โรคประจำถิ่น” ทำปชช.เข้าใจผิด
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_3308862
นพ.ธีระ ชี้ไทยติดโควิดเสียชีวิตสูงอันดับ 4 ของโลก ยอดติดเชื้อรวม ATK อันดับ 7 ซัดแคมเปญ “โรคประจำถิ่น” ทำปชช.เข้าใจผิด ‘โรคหวัดธรรมดา-ไม่น่ากลัว’
วันที่ 26 เม.ย. นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 353,449 คน ตายเพิ่ม 1,627 คน รวมแล้วติดไปรวม 509,845,095 คน เสียชีวิตรวม 6,244,616 คน
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 15 ใน 20 อันดับแรกของโลก
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 77.07 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 79.28
การติดเชื้อใหม่ในทวีปเอเชียนั้นคิดเป็นร้อยละ 32.02 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 26.61
สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่ รวม ATK สูงเป็นอันดับ 7 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย
ในขณะที่จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก ทั้งนี้จำนวนเสียชีวิตของไทยเมื่อวานนั้นคิดเป็น 28.63% ของการเสียชีวิตทั้งหมดที่รายงานของทวีปเอเชีย
สถิติของไทย
หากดูจำนวนการติดเชื้อใหม่ต่อวัน รวม ATK เท่าที่ติดตามข้อมูลมา ไทยเราจะติดอันดับ Top 10 ของโลกมาติดต่อกันยาวนานถึง 39 วันแล้ว ส่วนจำนวนการเสียชีวิตต่อวันนั้น ติดอันดับ Top 10 มาต่อเนื่อง 10 วัน
ย้ำเตือนเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับโรคประจำถิ่น (Endemic diseases)
“Endemic doesn’t mean harmless” โรคประจำถิ่น ไม่ควรนำมาใช้ทำแคมเปญให้เข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าเป็นโรคธรรมดา ไม่น่ากลัว ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป
โรคประจำถิ่นนั้น โดยแท้จริงแล้วหมายถึงโรคที่ถูกระบุว่า พบได้บ่อยหากใครจะเดินทางไปยังพื้นที่นั้น ดินแดนนั้น ประเทศนั้น
โรคประจำถิ่นนั้น จะถูกใช้เมื่อเจอโรคนั้นอย่างเป็นประจำในถิ่นนั้น โดยรู้ว่ามีอัตราการติดเชื้อเพียงใดในลักษณะที่คงที่ โดยอาจมากขึ้นน้อยลงตามฤดูกาลได้ และสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของเชื้อโรคได้ดีในระดับหนึ่งเพื่อวางแผนจัดการรับมือ มิให้เกิดการระบาดจนเกินควบคุม
ทั้งนี้การจะจัดการโรคประจำถิ่นได้ดีนั้นยัง “จำเป็น”ต้องมียาที่ใช้ในการรักษาและวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้พึ่งพา”ยาผีบอก หรือพืชผักสมุนไพร” ที่คิดเอาเองว่าได้ผลโดยไม่ได้รับการพิสูจน์ตามขั้นตอนมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ
ที่สำคัญที่สุดคือ โรคประจำถิ่นนั้นไม่ได้แปลว่า “ไม่อันตราย” ไม่ได้แปลว่า “อ่อน กระจอก ธรรมดา ไม่รุนแรง”
หลายโรคที่เป็นโรคประจำถิ่นในบางทวีป บางประเทศ เช่น ไข้เหลือง อีโบล่า ฯลฯ ที่พบมากในแอฟริกา ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อ โดยยังมีอัตราการเสียชีวิตสูงได้เช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่โรคที่เราคุ้นเคยกันเช่น วัณโรค มาลาเรีย ก็พบว่าเป็นโรคประจำถิ่นในพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทย แต่ก็เป็นโรคที่เป็นแล้วรุนแรง เสียชีวิตได้
ดังนั้น หากทำความเข้าใจเรื่องโรคประจำถิ่น และติดตามความเป็นไปในเครือข่ายสังคมตลอดช่วงที่ผ่านมาจะพบว่าน่าเป็นห่วง เพราะมีแนวโน้มความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าโควิด-19 จะกลายเป็นหวัดธรรมดา กระจอก ประจำถิ่น โดยไม่ต้องกังวลหรือป้องกันตัว
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ในภาพรวมเรามีจำนวนการติดเชื้อมาก และมากกว่าประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ดังนั้นคนที่จะเดินทางมา ก็ย่อมตระหนักดีว่ากำลังเข้าสู่พื้นที่ประเทศที่มีโอกาสติดเชื้อสูง แปลแบบบ้านๆ คือ “แดนดงโรค หรือถิ่นที่มีโรคนั้นชุกชุม” หรือ “endemic area”
คำว่า “โรคประจำถิ่น” จึงไม่มีความหมายสำคัญไปกว่าที่อธิบายมาข้างต้น
สิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือ ทำอย่างไรให้การระบาดบรรเทาเบาบางลงกว่าที่เป็นมา
การป้องกันการแพร่เชื้อติดเชื้อ คือคำตอบสุดท้ายที่จะไขปัญหานี้ได้
มิใช่การพึ่งวัคซีนเป็นหลักเพียงอย่างเดียว เพราะวัคซีนนั้นหวังผลในแง่การลดความเสี่ยงการป่วยรุนแรง และการเสียชีวิต
การคิดและผลักดันนโยบายและมาตรการต่างๆ ในทุกมิติของสังคม เพื่อทำให้คนป้องกันตัว ไม่ให้ติดเชื้อหรือแพร่เชื้อ ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นมาคือสิ่งที่จำเป็น
ใส่หน้ากากนะครับ นี่คือหัวใจสำคัญที่จะปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยของคุณและสมาชิกในครอบครัว
ปัญหาไม่ใช่แบบคิดตื้นๆ ว่า ติดเชื้อแล้วแป๊บเดียวก็หาย แต่โชคร้ายอาจเสียชีวิต แม้จะได้รับวัคซีนมาแล้วก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้น โชคร้ายที่สุดคือการเกิดภาวะผิดปกติระยะยาวหรือ Long COVID ซึ่งเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเคยติดเชื้อแบบไม่มีอาการเลย มีอาการน้อย หรือมีอาการมาก ก็ล้วนเกิดได้ทั้งสิ้น และจะบั่นทอนคุณภาพชีวิต เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อผู้ป่วย ครอบครัว และสังคมในระยะยาว
ใช้ชีวิต ทำงาน เรียนหนังสือ ทำมาค้าขาย อย่างมีสติ ป้องกันตัวเสมอ จะลดความเสี่ยงไปได้มาก
ไม่ติดเชื้อย่อมดีที่สุด ด้วยความหวังดี
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10224226416960591
คนปักกิ่งแห่กักตุนอาหาร กลัวถูกล็อกดาวน์เหมือนเซี่ยงไฮ้
https://www.nationtv.tv/news/378871035
ชาวเมืองปักกิ่งกลัวถูกล็อกดาวน์เหมือนเซี่ยงไฮ้ แห่กักตุนสินค้าและอาหารจนหมดเกลี้ยง หลังพบผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มในช่วงเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา
ชาวเมืองปักกิ่งแห่กักตุนสินค้าที่จำเป็น โดยเฉพาะอาหาร หลังจากที่พบผู้ติดเชื้อโควิดในเขตฉาวหยาง 26 คน ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา และทางการได้สั่งให้ตรวจโควิดประชาชนแบบปูพรมเพื่อหาผู้ติดเชื้อเพิ่ม ทำให้ประชาชนกังวลว่าปักกิ่งอาจจะถูกสั่งล็อกดาวน์เข้มข้นแบบเซี่ยงไฮ้ จึงพากันไปซื้ออาหารในตลาดและซุเปอร์มาร์เก็ตเพื่อกักตุน จนสินค้าหมดเกลี้ยง
ทางการปักกิ่งได้สั่งให้ประชาชน 3,500,000 คน ที่อาศัยอยู่ในเขตฉาวหยาง ซึ่งเป็นย่านออฟฟิศและการทำธุรกิจ เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด โดยแบ่งออกเป็นสามรอบ ซึ่งเริ่มวันนี้เป็นวันแรก
แม้ทางการจะขอให้ประชาชนไม่กักตุนสินค้า โดยยืนยันว่ามีอาหารมากเพียงพอ แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าหลายแห่งก็มีประชาชนไปยืนต่อคิวอย่างยาวเหยียดเพื่อซื้อสินค้าที่จำเป็น ทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งประกาศขยายเวลาให้บริการและเร่งหาสินค้ามาเพิ่มเติม