ทักทายชาวพันพิปอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายกันไปนานนะ 😅
เชื่อว่าหลายคนที่ดู รุ้งสีเทา EP.4 จบแล้ว(ในครั้งแรก) คงจะเข้าใจความรู้สึกของเรา ว่าช็อกขนาดไหน และทำให้กระทู้เรื่องนี้ ต้องหยุดอยู่แค่ EP.3 นั่นเอง
แล้ววันนึง ที่เวลาผ่านไปเกือบ 6 ปี ก็ได้มีบุคคลหนึ่ง ที่ได้ดูซีรีย์ และอ่านกระทู้ของเรา พยายามติดต่อมาเพื่อถามว่า ใช่เราจริง ๆ หรอ?
เค้าคนนั้น..ที่เราจำได้ดี
เค้าคนนั้น..ที่แม้จะไม่ได้เจอกันถึง 8 ปี แต่ความรู้สึกที่มีให้ก็ยังเหมือนเดิม
เค้าคนนั้น..ที่ความทรงจำยังคงอบอวนในใจเราเสมอมา
และเค้าคนนั้น..ที่เป็นทั้งรูมเมท และโซลเมทในวันที่เราไม่โอเค 😊
หลังจากที่ได้กลับมาพูดคุย ทักทาย ถามไถ่เรื่องราวของกันและกัน เราจึงได้ตัดสินใจที่ทำให้กระทู้ของซีรีย์เรื่องนี้ จบลงโดยสมบูรณ์อีกครั้ง
อย่างที่เราได้บอกไป ขอบคุณมากนะ ที่ทำให้เราได้มองย้อนกลับไปที่ตัวเราคนนั้นอีกครั้ง ขอบคุณที่ทำให้เราได้พยายามตามหาตัวเราในเวอร์ชันนั้นกลับมา
และขอบคุณที่เข้ามาเติมไฟให้เราได้กลับมาเขียนอีกครั้ง
ต้องขอบอกทุกคนไว้ก่อนนะ ว่าการกลับมาเขียนครั้งนี้ อาจจะเป็นมุมมองของเราในเวอร์ชันปัจจุบันเสียมาก ซึ่งอาจจะมีทั้งเหมือน และแน่นอนว่าแตกต่างจากทั้ง 3 กระทู้ที่ผ่านมา อย่างไรก็ขอให้ทุกคนสนุกกับการออกเดินทางไปยังจุดสิ้นสุด พร้อมกันอีกครั้งนะครับ 😇
ในอีพีนี้ เปิดต้นเรื่องด้วยการเปิดเผยของพ่อเหนือว่า แท้ที่จริงแล้ว 'เหนือ' ไม่ได้เป็นลูกแท้ ๆ ของเขา หากแต่เป็นลูกติดของภรรยา แต่เขา ก็ยังยินดีที่จะมอบความรักให้ทั้งแม่และเหนือ แม้ว่า ความรู้สึกของแม่เหนือ จะมิได้อาจเปลี่ยนไปเลยก็ตาม
ส่วนตัวของเรามองว่า นี่เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของความรัก ที่การแค่ได้มองเห็นคนที่เรารักมีความสุข แม้จะไม่ได้ครอบครองก็ตาม เป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไขใด และความรักในรูปแบบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกความสัมพันธ์ ไม่ใช่เพียงคนรักหรือเชิงชู้สาวเท่านั้น
สำหรับคนที่กำลังพยายามรักษาความรักและความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้อยู่ เราอยากบอกว่า เราเป็นอีกคนที่เข้าใจนะ เข้าใจดีเลยแหละ เพราะฉะนั้น เรามาพยายามสู้ต่อไปด้วยกันนะ
"แล้วผมจะไปบอกใครต่อใครเค้ายังไงล่ะพ่อเลี้ยง" เป็นคำถามจากพ่อของพอร์ช ที่เราเชื่อว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่หลายคนคงสงสัยเหมือนกัน
"มันก็อยู่ที่ความรู้สึกของเราแล้วแหละ ว่าเห็นอะไรเป็นเรื่องใหญ่มากกว่ากัน..." และนี่คือคำตอบจากพ่อเหนือ
ใช่แล้ว มันอยู่ที่ว่า เราจะโฟกัสไปที่ความรู้สึกของใคร ระหว่างคนอื่นที่เป็นคนนอก กับคนที่เรารักและเคียงข้างกันมาโดยตลอด
แต่ก่อนอื่นเลย เราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน ว่าอะไร และใคร ที่สำคัญกับเรามากที่สุด และนั่น คงเป็นคำตอบให้เราได้ ว่าเราควรที่จะโฟกัสไปที่อะไรเป็นอันดับแรก
แล้วเราจะยอมรับได้จริง ๆ หรอ ที่ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร?
พูดในฐานะคนยังไม่เคยมีลูกนะครับ 555 ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เราต้องยอมรับความจริงก่อนว่า ลูกก็คือลูกของเรา มันเปลี่ยนความจริงไปไม่ได้ เหมือนกันกับลูกที่ต้องยอมรับความจริงว่า พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ของเรา จะเปลี่ยนความจริงไปไม่ได้
ถ้าในขณะที่พ่อ-แม่ จะคาดหวังให้ลูกยอมรับ และรักที่พ่อเป็นพ่อ ที่แม่เป็นแม่ หรือ อยากให้ลูกรักคนที่พ่อ/แม่รัก (เช่นกรณีแต่งงานใหม่) นั่นก็อาจเป็นความรู้สึกเดียวกัน ที่ลูกจะต้องการสิ่งเหล่านี้จากพ่อแม่เช่นกัน
การมีเพศสภาพหรือเพศวิถีที่แตกต่างไปจากแค่หญิงหรือชาย ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลย หากแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่กดทับคนเหล่านี้เอาไว้ ไม่ให้สามารถยอมรับตัวตน หรือมีวิถีชีวิตตามแบบที่พ่อแม่เรียกว่า 'คนทั่วไป' ได้
และหากเรามองให้กว้างขึ้นว่า แม้ลูกเราจะมีเพศวิถีที่แตกต่างจากเราไป แต่เค้าก็ยังใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข มีคนที่รัก คอยดูแล และที่สำคัญคือ เค้าได้เป็นตัวเอง ในแบบที่เค้าพึงพอใจ และสร้างขึ้นเองได้ เท่านี้ ความเป็นพ่อแม่ของคุณ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ
ในวันที่เรารู้สึกแย่ที่สุด เราจะต้องการอะไรหรอ? นอกจากใครสักคนที่จะคอยกอดเรา ลูบหัวเราเบา ๆ พร้อมบอกว่าไม่เป็นอะไร เค้าอยู่ตรงนี้นะ
เราคิดว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์ สิ่งที่ต้องการมากที่สุด ณ ตอนนั้น คือการฮีลหัวใจ คือความอบอุ่นที่ได้จากใครสักคน คือการเอนหลังลงบนความอ่อนโยนแม้ชั่วขณะ เพื่อให้หัวใจของเราแข็งแรงขึ้น และให้ผ่านเรื่องร้าย ๆ ไปได้ ซึ่งซีนนี้ ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดออกมาให้เราได้เห็นแล้ว
"รักแท้ รักบริสุทธิ์ รักที่คอยอยู่เคียงข้างกันตลอดไปทั้งยามสุขและยามทุกข์"
"คนเรามีสิทธิ์ที่จะรัก ตามหลักของธรรมชาติ"
"เวลาคนสองคนรักกันน่ะ คนที่ทุกข์ ก็มีแค่เราสองคนที่ทุกข์ ถ้ามีสุข ก็มีแค่เราที่สุข...มีแค่เราสองคน ที่จะเผชิญทุกอย่างไปด้วยกัน"
เราว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะเหนือ เพราะการรักกันของคนสองคน อาจจะสร้างทั้งทุกข์และสุขให้คนรอบข้างก็ได้ เพียงแค่ คนที่จะสุขและทุกข์มากที่สุด ก็คือคนสองคนที่มีความรักต่อกันนั่นแหละ รู้แบบนี้แล้ว คุณยังพร้อมที่จะรักใครสักคนอยู่มั๊ยล่ะ
"แล้วการแต่งงาน ต้องใช้อะไรบ้างล่ะ"
"ชุดแต่งงาน ดอกไม้ การ์ดเชิญ ทะเบียนสมรส" คำตอบของพอร์ชเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนประกอบที่ทำให้การจัดงานแต่งงานสมบูรณ์ แต่สิ่งที่เราคิดว่าสำคัญที่สุดนั่นคือ 'การยอมรับและยินยอมของคนสองคน' ซึ่งเพียงพอแล้ว องค์ประกอบอื่น ๆ เป็นเพียงสัญลักษณ์ และภาพความทรงจำของการแต่งงาน ที่จะติดไปกับชีวิตหลังแต่งงานต่อไปจากนี้ต่างหาก
"แล้วเราจดทะเบียนสมรสกับได้ด้วยหรอ" ซึ่งแน่นอนว่า 'ไม่ได้'
ทำไมเราถึงควรสนับสนุนการจดทะเบียนสมรส ก็เพราะนั่นคือสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ที่จะได้รับการรับรองสิทธิตามกฎหมายไปพร้อมกับการมีความรักหรือชีวิตคู่ยังไงล่ะ ความรักเป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ ฉะนั้น การสมรส จึงควรเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ทำได้ ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะเป็นเพศใดก็ตาม
คุณคิดยังไงกับการที่พอร์ชบอกว่า แค่ทำเป็นหนังสือสัญญาขึ้นมาก็ได้ เพราะอยากให้การแต่งงานสมบูรณ์?
สำหรับเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เราอาจจะเห็นด้วย แต่ถ้าถามเราวันนี้ คือไม่สนับสนุนความคิดนี้แน่นอน
เพราะการแต่งงานของเราไม่ใช่เพียงเพื่อประกาศให้คนรู้ว่าเราสองคนรักกัน แต่มันคือการยินยอมของเราทั้งคู่ และทะเบียนสมรสจริง จะเป็นพยานที่ยอมรับและให้สิทธิในการมีชีวิตคู่ของเราต่อไปด้วย สำหรับเรา อย่างนี้จึงจะเรียกว่า 'สมบูรณ์'
"การแต่งงานมันไม่ใช่จุดสูงสุดของความรักหรอกครับ แต่มันสามารถเติมเต็มความรู้สึกซึ่งกันและกันได้"
"มันคือเป้าหมายสูงสุดของคนรักกัน" ซีรีย์ใส่ประโยคนี้มา ซึ่งก็อาจจะใช่ หรือจาจจะไม่ใช่ก็ได้ เราไม่มีทางทางรู้หรอก ว่าเป้าหมายสูงสุดในความรักของแต่ละคนคืออะไร และแน่นอนว่าไม่เหมือนกัน รวมทั้ง ตัวเราเองก็มิอาจแน่ใจได้ว่า การแต่งงาน จะเป็นเป้าหมายที่สูงสุดแล้ว เพราะมันอาจจะใช่สำหรับวันนี้ แต่อาจะไม่ใช่สำหรับวันข้างหน้า
หลังจากแต่งงาน ชีวิตคู่ที่อาจมีเป้าหมายที่เพิ่มขึ้น สูงขึ้น รวมทั้งลดลงในบางคู่
เช่น อาจจะอยากมีลูก เพื่อมาเติมเต็ม, อยากมีทรัพย์สินร่วมกัน, อยากมีความมั่นคงในชีวิตคู่ หรือกล่าวคือ อยากให้คนที่เรารักอยู่กับเราไปนาน ๆ
ส่วนบางคู่ที่ลดลง เพราะหลังจากแต่งงาน อาจจะค้นพบว่าที่จริงแล้วเราไม่ได้เหมาะสมกัน ฉะนั้น การรักกันของคนสองคน จึงยังมีอยู่เพียงเพื่อใครสักคน หรือเหตุผลบางประการ หรือแค่ ยังได้ครอบครองความรักเพียงฝ่ายเดียวก็ยังดี มันเกิดขึ้นได้หมดแหละ ทุกคนว่ามั๊ย
"พอร์ชจะแต่งงานกับเหนือครับ" อบอุ่นดีจัง
"ไผจะเป็นเจ้าบ่าว ไผจะเป็นเจ้าสาว"
ทุกคนครับ คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบเลย ขอแค่ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง อยากจะเรียกตัวเองและคู่ว่าอะไร ในงานแต่งงานของตัวเอง ก็ตามสบายเลย เรามีขนบที่ตีกรอบความรักของเรามากพอแล้ว ขอให้การแต่งงานของทุกคน เป็นอีเวนท์ที่เพิ่มความสุขให้กับชีวิตคู่ของคุณ ลดทอนบางสิ่งที่รู้สึกว่าไม่จำเป็นออกไป แล้วคงไว้ซึ่งความรู้สึกที่มีต่อกัน ก็เพียงพอแล้วนะ
[ชำแหละ] มิติรักผ่านเลนส์ ตอน รุ้งสีเทา EP.4 | คนเรามีสิทธิ์ที่จะรัก ตามหลักของธรรมชาติ
เค้าคนนั้น..ที่ความทรงจำยังคงอบอวนในใจเราเสมอมา