เที่ยวยุโรป 6 ประเทศ 3 อาทิตย์ในยุคโควิด

สวัสดีคร้าบ กระทู้นี้เป็นกระทู้เที่ยวยุโรป 6 ประเทศภายใน 3 อาทิตย์ในยุคโควิด (ไปเองกับครอบครัวรวม 4 คน) [26 มี.ค. ถึง 17 เม.ย. 2022] โดยเหตุผลหลัก ๆ ที่เลือกวันไว้ตามนี้ก็เพราะ ผมอยู่ ม.6 ซึ่งสอบกสพท เสร็จเที่ยงวันที่ 26 มี.ค. แล้วก็มีพี่ชายที่เปิดเทอมออนไลน์ของมหาลัยญี่ปุ่นช่วงกลาง ๆ เมษา ช่วงวันของผมเลยค่อยช้างมีจำกัดครับ เพราะถ้าเป็นไปได้คงอยากมานานกว่านี้ 😿😿




ก่อนอื่นผมขอพูดถึง theme หลัก ๆ ของการเที่ยวครั้งนี้ก่อนนะครับ กลัวว่าหลาย ๆ อย่างอาจจะขัดใจผู้อ่าน: 1.ฟุตบอลสำคัญไม่แพ้ที่เที่ยวอื่น ฉะนั้นทริปนี้จะมีดูบอล รวมถึงผ่านหลายสนามบอลนะครับ 2.ผมและครอบครัวไม่ได้อินกับประวัติศาสตร์มาก ฉะนั้นอาจใช้เวลาในพิพิธภัณฑ์หรือโบสถ์น้อยหน่อย และใช้เวลากับเมืองที่สวย ๆ ถึงจะไม่ได้ดังมากเยอะหน่อยครับ


เกริ่นมามากพอฉะนั้นผมขอเริ่มเลยด้วย EP. 0 นะค้าบ
EP นี้ เป็น overview คร่าว ๆ พวกเรื่องเมืองที่ไปแต่ละวัน รวมถึงผมจะแนะนำการทำวีซ่าในยุคโควิด และเรื่องซื้อตั๋วเครื่องบิน ส่วนรายละเอียดการเที่ยวแต่ละเมือง รอติดตามใน EP ถัด ๆ ไปนะคร้าบ


อันนี้คือที่ ๆ ไปในแต่ละวันรวมถึงเมืองที่นอนในแต่ละคืนนะครับ




Day 1 [หลังจากลงเครื่องตอนเช้าที่ Paris; 27 มี.ค.]
เที่ยว Brussels (BEL)
นอนที่ Brussels


Day 2
เที่ยว Bruges1, Gent2, Brussels (BEL)
นอนที่ Brussels


Day 3
เที่ยว Brussels (BEL), Baarle-Hertog/Nassau3 (BEL/NED), Rotterdam4, Amsterdam (NED)
นอนที่ Amsterdam




Day 4
เที่ยว Amsterdam (NED)
นอนที่ Amsterdam


Day 5
เที่ยว Amsterdam, Giethoorn5 (NED) 
นอนที่ Amsterdam


Day 6
เที่ยว  Zaandam6, Lisse7 (NED)
นอนที่ Cologne


Day 7
เที่ยว Cologne, Bonn8, Dortmund9 (GER)
นอนที่ Dortmund


Day 8-9
เที่ยว Berlin (GER)
นอนที่ Berlin


Day 10
เที่ยว Dresden (GER), Prague (CZE)
นอนที่ Prague


Day 11
เที่ยว Prague (CZE)
นอนที่ Prague


Day 12
เที่ยว Cesky Krumlov (CZE)
นอนที่ Cesky Krumlov


Day 13
เที่ยว
นอนที่ Frankfurt


Day 14
เที่ยว Frankfurt (GER)
นอนที่ Frankfurt 


Day 15
เที่ยว Luxemburg10 (LUX)
นอนที่ Paris


Day 16-22
เที่ยว Paris (FRA) [ขึ้นเครื่องตอนบ่าย day 22 ที่ Paris; 17 เม.ย.]
นอนที่ Paris




เมืองมีลำธาร + ล่องเรือได้ มีร้านช๊อปปิ้ง แล้วก็หอคอยชมเมือง1

คหสต. คล้าย ๆ ลูกครึ่ง Bruges กับ Brussels2
เมืองพรหมแดนของ Belgium กับ Netherlands3

เมืองท่าของ Netherlands4

ฉายาVenice ของ Europe เหนือ5
เมืองบ้านกังหัน6
เมืองสวนดอกไม้ Keukenhof (มีทิวลิปช่วงกลางเมษา)7
เมืองบ้านเกิด Beethoven8

เมืองของ 1 ในทีมฟุตบอลที่เเก่งที่สุดใน Germany9
ประเทศเล็ก ๆ เป็นทางผ่าน France กับ Germany10









ถ้าให้สรุปง่าย ๆ ก็คือเริ่มที่ France [ยังไม่เที่ยว] -> Belgium -> Netherlands -> Germany -> Czech -> Germany -> Luxembourg-> France ตามนี้ครับ


บางคนเห็นplan ของผมแล้วอาจมีคำถามบ้าง ผมเลยขอตอบบางคำถามไว้ตรงนี้เลยนะครับ ส่วนถ้าใครสงสัยอะไรเม้นถามไว้ได้เลยนะคับ เดี๋ยวผมไปตอบให้😘


Q: ทำไมต้องเริ่มกับจบที่ France?
A : เหตุผลที่สำคัญสุดคือวีซ่าในช่วงโควิดครับ ถึงแม้หลาย ๆ ประเทศจะเป็นเชงเก้นเหมือนกัน แต่ว่ากฎการเข้าประเทศของแต่ละประเทศที่ผมไปแตกต่างกันมาก อย่างเช่น การขอวีซ่าไป Netherlands กับ Germany จะค่อนข้างยากในยุคนี้ อีกเหตุผลนึงคือเรื่องตั๋วเครื่องบินครับ พอดีเห็นว่ามีบินตรงจากไทยไปกลับฝรั่งเศสในราคาไม่แพงเกิน ครอบครัวเลยคิดว่าแผนเริ่มจบที่ France น่าจะดีที่สุด




Q: ไม่ไปเมืองอื่นใน France?
A: ครอบครัวเคยคุยกันไว้ว่า France ตอนกลางและใต้ น่าเหมารวมกับ Portugal กับ Spain ดีกว่าครับ เลยเก็บไว้ทริปถัดไป (ขอให้มี 🙏🙏) ฉะนั้นทริปนี้เลยลุยแค่เมืองหลวงพอครับ ไม่งั้นทริปนี้ต้องใช้เวลาอีกเยอะ และตอนอยู่ Paris พี่ชายผมเริ่มเปิดเทอมแล้ว เลยอยากขอชิว ๆ ดีกว่าครับ😌


Q: ไม่ผ่าน Munich (Ger) ?
A: จริง ๆ ผมกับครอบครัวเคยไปมาแล้วเมื่อ 2015 [ทริปนั้นเริ่มจาก Milan (ITA) ไปหลาย ๆ เมืองใน Austria กับ Switzerland รวมถึง Munich] รวมถึงถ้าไป Munich จะเสียเวลาไปอีกด้วยครับ ครอบครัวเลยคิดไว้ว่า ถ้าจะไปอีกรอบค่อยไปพร้อมพวก Vienna (AUT), Budapest (HUN)


Q: บทบาทของสมาชิกครอบครัวแต่ละคน เพื่อช่วยให้เห็นภาพว่าแต่ละคนช่วยเหลือกันยังไง
A: 
พ่อ: เหมาเรื่องขับรถทั้งหมด (ประมาณ 5000 km ทั้งทริป ปล. ผมสงสารพ่อมาก แต่เราช่วยอะไรไม่ได้)
แม่: ซักผ้าวันที่โรงแรมไม่มีเครื่องซักผ้า, ซื้อเสบียงในซุปเปอร์วันไหนที่ไม่มีอาหารเช้า หรือวันที่รีบ ๆ, จัดกระเป๋า
พี่ชาย: นำทาง, ซื้อตั๋วพิพิธภัณฑ์, สื่อสาร, ซื้อของ + จ่ายเงิน
ผม: เติมน้ำมัน, ซื้อตั๋วฟุตบอล, สื่อสาร, ซื้อของ + จ่ายเงิน




Overview ของทริปก็จะเป็นประมาณนี้ครับ ผมขอเริ่มการทำวีซ่าเลยนะครับ



วีซ่า France ก็คือวีซ่าเชงเก้นนั่นแล่ะครับ เข้าได้ทุกประเทศที่เป็นเชงเก้น แต่เหตุผลที่เลือกขอฝรั่งเศสก็ตามข้างบนเลยครับ ถ้าจะไปทำต้องจองคิวไปนะครับโดยมี 2 ประเภท 1.นอกเวลา 2.ในเวลา คิวในเวลาเต็มค่อยข้างไวครับเพราะเค้ารับน้อย ส่วนคิวนอกเวลาต้องจ่ายเงินเพิ่มคนละ 1600 ครับ โดยเค้าจะเรียกมาทำเร็วขึ้น เหมาะสำหรับคนที่รีบเอาวีซ่าครับ ครอบครัวผมพึ่งคิดตอนต้นมีนาว่าจะไปฝรั่งเศสเลยยอมจ่ายเพิ่มเพื่อเร่ง (เพราะโทรไปเช๊คกะเค้า คิวในเวลาเร็วสุดก็ 20 ต้น ๆ มีนาเลย ซึ่งผมบิน 26 😢😢😢) ทางที่ดีคือโทรเช๊คก่อนครับ 


พอเราได้คิวแล้วเค้าก็จะให้เราเลือกว่าจะทำวีซ่าแบบพรีเมี่ยมมั้ย ซึ่งก็คือจ่ายเงินเพิ่มเพื่อได้นั่ง lounge ของเค้าแล้วก็ ถ้าเอกสารเราไม่เรียบร้อย เค้าก็จะช่วยคนpremium ทันทีเลย โดยไม่ต้องกลับไปเริ่มใหม่เหมือนคนธรรมดา ซึ่งพ่อแม่พี่ผมอ่านเรื่องเอกสารละเอียดทุกบรรทัดก็เลยมั่นใจว่าไม่น่าผิดพลาดอะไรก็เลยไม่ได้จ่ายเงินเพิ่มเป็น premium ครับ ผมขอไปวันอังคาร 15 มีนา สุดท้ายแม่ไปรับวีซ่าที่ตึกที่ทำ (สาธรซิตี้) วันที่ 21 มีนาครับ ค่าใช้จ่าย 4 คนประมาณ 23000 บาทครับผม


^ไหน ๆ พูดเรื่องวีซ่าแล้วก็ขอพูดเรื่อง passport เลยละกันนะครับ ของผมหมดอายุต้นปีพอดีก็เลยต้องไปทำใหม่ [ก็ตามที่หลาย ๆ คนคงทราบครับว่า passport หมดอายุจะทำวีซ่าไม่ได้] และสำหรับใครที่มีลูกอายุน้อยกว่า 20 ปี เวลาไปทำ passport ทั้งพ่อและแม่ต้องไปทั้งคู่นะครับ ต่างกับแต่ก่อนที่คนใดคนหนึ่งไปก็พอแล้ว ช่วงผมต้นมีนา จองคิวออนไลน์ไปแต่จริง ๆ คนน้อยจน walk in ได้เลยแหละครับ เล่มละ 1000 บาท สำหรับคนที่อายุต่ำกว่า 20 จะได้มากสุด 5 ปี ส่วนมากกว่านั้น 10 ปีครับ^

มาต่อที่ตั๋วเครื่องบิน ครอบครัวจอง บินตรง economy ของการบินไทยคนละ 23000 ครับ ซึ่งถือว่าถูกกว่าช่วงก่อนโควิดมาก ๆ [ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี่อาจจะแตะ 30000 ได้เลยครับ] แล้วยิ่งถ้า transit ด้วยนี่ถูกกว่า 20000 ก็มีครับ
เวลาบิน 12 ชั่งโมง ตามเวลาออก 00.30 เวลาไทยถึง 9.30 เวลา France (14.30 เวลาไทย) โดยถึงเป็นยุคโควิดแต่เค้าก็ไม่ได้เว้นที่ครับ ทุกคนนั่งติดกันหมด แต่ตอนผมบิน คนไปไม่เต็ม 175 จาก 250 เลยยังพอมีที่เว้น ๆ ไว้บ้างครับ ส่วนเรื่องใส่แมสก็มีทั้งใส่ไม่ใส่ครับ แต่ผมไม่นะเพราะหายใจตอนหลับไม่สะดวก
อาหารเสริ์ฟ 2 มื้อครับ หลังออก 1 ชั่วโมง กับก่อนถึง 3 ชั่วโมง มื้อแรกเป็นพวกสตูเนื้อ มื้อหลังเป็นพวก ไส้กรอกกับscrambled eggs ระหว่างมื้อก็มีแจกแซนวิชแฮมชีสไปด้วยครับ



ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ🙏🏻🙇‍♂️🙇‍♂️ ผมว่ามันเริ่มยาวแล้ว เดี๋ยวมาต่อ EP.1 ต่อให้แน่นอนครับ🥰
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
Day 0 [ก่อนเดินทาง]: วันนั้นผมล้ามากเลยครับ😫 ตื่น6 โมงเช้ามาสอบกสพท ฉลองหลังสอบเสร็จกับเพื่อน แวะไปหาครู เดินเล่นแถวสยาม ก่อนรีบกลับมาจัดเป้ ผมนึกว่าครอบครัวไปถึง airport ช้าแล้ว แต่ปรากฎว่าการบริการของการบินไทยช้ามาก ทำให้คิวยาวขึ้นจนสุดท้ายดีเลย์ไฟลท์ จากเดิม 00.30 เป็น 02.30 ผมเลยเดินเล่นในสนามบินแล้วก็หาอะไรกิน สุดท้ายกินsubway เพราะทุกร้านในสุวรรณภูมิแทบจะปิดหมด เหลือแค่ subway กับร้านขายแซนวิชเย็น/ขนม ราคาก็รู้ ๆ กันอยู่นะครับ โดนมากกว่าร้านนอกสนามบิน 2 เท่า🥺🥺 เอาตรง ๆ ช่วงโควิด สุวรรณภูมิค่อนข้างร้างเลยล่ะครับ ร้านปิดเยอะมากเพราะก่อสร้าง ใครที่ไม่ได้บินนานอาจงงเลย…..
พอเครื่องออกผมก็พยายามนอนเลยครับ เพราะเหนื่อยมาก ๆ [รายละเอียดเรื่องตั๋วเครื่องบินย้อนดูได้ใน EP. 0 นะครับ🤟] แต่ตัวเองเป็นคนนอนบนเครื่องยากเลยงีบบ้างตื่นบ้าง ผมรู้สึกว่าการบินครั้งนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยเอง จะอาเจียนหลายรอบ มึน ๆ หัว ไม่อยากอาหาร โดยคนข้าง ๆ กินที่นิดหน่อย ใส่แมสนอน แต่ในที่สุด 12 ชั่วโมงก็ผ่านไปและผมก็ถึง Paris  9.30 เวลาท้องถิ่นโดยสวัสดิภาพ




Day 1: Brussels
พอถึง Charles de Gaulle airport ผมก็รอคิวตรวจคนเข้าประเทศ พวกpassport EU + เกาหลี ญี่ปุ่น อเมริกา และประเทศพัฒนาแล้วจะได้แถวคนน้อยกว่า ของผมขนาดเป็นช่วงโควิด แต่คนก็เยอะมากครับ รอเกือบชั่วโมง จากนั้นก็รับกระเป๋าแล้วก็กละจะไปรับรถที่ terminal 1 เลยนั่งรถไฟสนามบินไป [ฟรี] แต่ปรากฏ terminal 1 ปิดอีกแล้วบริษัทเช่ารถก็ไม่แจ้ง ก็เลยต้องนั่งกลับมา terminal 2 อีกที 😥😥     3 คนไปรับรถ ส่วนพี่ชายไปซื้อซิมเนตของ Orange ที่ร้าน Relay [ร้านสะดวกซื้อยุโรป] (^เดี๋ยวมีรีวิวซิมให้แน่นอนครับ) … กลับมาที่เรื่องเช่ารถ [ผมขอเล่าคร่าว ๆ นะครับเพราะหลัก ๆ พ่อเป็นคนจัดการ แต่ถ้าสงสัยก็ถามไว้ได้เลยนะครับ] ครั้งนี้พ่อผมจองกับบริษัท Europcar โดยเขาให้เลือกรถตาม range ราคา ของผมจ่ายวันละ 1150 บาทมีให้เลือกระหว่าง Toyota Corolla กับ Suzuki Swace แต่แม่ผมเลือก Suzuki ซึ่งกระโปรงหลังใหญ่หว่า เพราะกระเป๋าเราเยอะมาก [ใหญ่ 2 + กลาง 1 + เป้ส่วนตัวคนละใบ + ของที่จะซื้อเพิ่ม ๆ ขึ้นในแต่ละวัน]
ปล. จริง ๆ เรื่องเช่ารถแต่ละบริษัทผมรู้สึกว่าต่างกันไม่มากหรอกครับ อย่างทริปที่แล้วพ่อผมใช้ Hertz ก่อนหน้านั้นใช้ Alamo ผมแนะนำว่าดูว่าบริษัทไหนให้ offer ดีสุดดีกว่าครับ และที่สำคัญอ่านพวกกฏการเช่าให้ดีนะครับ ไม่ใช่ว่า 18 แล้วขับได้เลย มันต้องมีพวก มีใบขับขี่เกิน 5 ปี, อายุมากกว่า 25 ปี บลา ๆๆๆๆ

^ยี่ห้อซิมที่นักท่องเที่ยวไทยใช้กันเยอะ ๆ ก็จะเป็น Orange ครับ พี่ผมซื้อเนต 20 กิ๊ก ใช้ได้ 2 อาทิตย์ 40 ยูโร แต่ครอบครับผมใช้ไม่ได้พอใช้กับ iPhone 12 Pro ของพี่ที่ซื้อที่ญี่ปุ่น คาดว่าญี่ปุ่นน่าจะล๊อคอะไรซักอย่างที่ทำให้ใช้ไม่ได้นี่แล่ะครับ (พอมาลองกับเครื่องอื่นที่ไทยก็ใช้ได้นะครับ และถ้าหมดแต่จะ top up ก็ทำได้ครับ เริ่มที่ 20 ยูโรได้เพิ่ม 5 กิ๊ก) พี่ผมต้องการเนตในเครื่องมากเพราะเป็น navigator เลยซื้อ E-sim จากอินเตอร์เน็ต ของ Orange 20 กิ๊กเท่ากัน ราคา 30 ยูโร ข้อแตกต่างหลัก ๆ คือ E-sim จะโทรไม่ได้นะครับ……
ซิมอีกยี่ห้อนึงที่ใช้คือ Sim2fly ครับ โดยซิมนี้แม่ผมซิ้อตั้งแต่ไทยกับ AIS ใช้ง่ายมาก ได้ทุกประเทศบนโลก เป็น package 899 บาท มี 6 กิ๊ก ใช้ได้ 15 วันแต่ถ้า top up ก็จะต่ออายุออกไปครับ อันนี้ใส่ไว้ที่เครื่องแม่ครับ เพราะหลัก ๆ ผมกับไปเที่ยวกับพี่ และ แม่จะอยู่กับพ่อครับ เลยซื่อเนตมา 2 อัน

ทำทุกอย่างที่สนามบินเสร็จประมาณ 11.30 ครับ จากนั้นก็เซท google map ไปโรงแรมที่ Brussels เลยครับ การเดินทางในฝรั่งเศสมีทั้งแบบขึ้นโทล (เสีย 31 ยูโร) กับทางปกติซึ่งผ่านเมืองเล็ก ๆ เยอะๆกับพวกทุ่งนา ใช้เวลามากกว่าแต่ฟรี ครอบครัวไม่ได้รีบอะไรเลยเลือกชมวิวไปครับ ระหว่างทางมันก็มีร้านอาหารแล่ะครับ ผมหิวเลยกิน wrap goat cheese ที่ McDonald’s





ถึงโรงแรมที่ Belgium เกือบ ๆ 6 โมง พนักงานต้อนรับเค้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับจุดท่องเที่ยวและก็รัานอาหารแล่ะครับ ฉะนั้นอยากรู้อะไรถามเค้าได้หมด
พ่อกับแม่ผมเหนื่อยเลยไปกินร้านอาหารขายพวก steak แถว ๆ รร ชื่อ Panorama Aviation ส่วนผมกับพี่อยากเที่ยวเลยออกไปกลางเมือง ในเมืองจุดที่คนไปเยอะ ๆ ก็มี 2 ที่ครับ 1. รูปปั้นเด็กยืนฉี่ (อย่าถามผมว่าทำไมถึงดังนะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน🥲) 2. Grand Palace (เป็นจตุรัสมีตึกสวย ๆ + ร้านขายของ) ผมกับพี่ไปกิน waffle ที่ร้าน Waffle Factory มาครับ ขายทั้งคาวและหวาน ผมกับพี่สั่งไส้ 3 chocolates ละก็ ranch (อกไก่ เบคอน ไข่) จากนั้นก็กิน French fries จุ่มซอสที่ร้าน Georgette (ร้านมีให้เลือกทั้งมาโย พริกไทยซอสของร้าน etc.)   ทั้ง French Fries กับ Waffle เป็น signature ของ Belgium เลยแล่ะครับ ฉะนั้นห้ามพลาดครับ !! จริง ๆ ถ้าจะเก็บที่เที่ยว ในใจกลางเมืองก็มีแค่นี้แล่ะครับ แต่ผมกับพี่เป็นคนชอบตึกยุคเก่า ๆ ก็เลยเดินมันแทบทุกซอกซอยเลยครับ5555 ก็กลับถึงรร ประมาณ 3 ทุ่ม อาบน้ำแล้วก็นอนครับ [รายละเอียดรรอยู่ด้านล่างนะครับ]
Day 2: Bruges & Gent & Brussels
แม่กับพ่อซื้อพวกมันฝรั่งกับแฮมมากินแบ่ง ๆ กันตอนเช้า จากนั้นก็ทำธุระส่วนตัวแล้วพ่อก็ขับรถไปเมือง Bruges โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชมครึ่งครับ เอาจริง ๆ Bruges ก็คล้าย ๆ Brussels แล่ะ แต่คึกคักน้อยกว่า เมืองมีเรือล่องลำธารคล้ายๆ Venice + มีจตุรัสเหมือนหลาย ๆ เมืองในยุโรป + มีตึกให้เราเดินไปชมเมือง (เราต้องเดินเองนะครับ 300 กว่าก้าว เป็นบันไดวนแต่ว่าไม่มึนหัวเท่าไหร่เพราะมีที่ให้พักเป็นพวกห้องให้อ่านประวัติศาสตร์ของเมืองอะไรประมาณนี้ครับ) ชั้นบนสุดมองลงมาก็เห็นตัวเมืองซึ่งสวยมาก ๆ เลยครับ เห็นทั้งลำธารแล้วก็สิ่งก่อสร้างที่เป็น theme เดียวกัน [หลังคาแดง/น้ำตาล/ครีม] นอกจากนี้ข้างบนยังชี้ทิศของเมืองต่าง ๆ พวก London Berlin Amsterdam ผมกับพี่ชอบภูมิศาสตร์เลย enjoy มาก ๆ ครับ [เรื่องตั๋วซื้อขึ้นผมอาจจำได้ไม่ละเอียดนะครับเพราะแต่ละที่มันแตกต่างมาก และผมขึ้นหลายที่ แต่ว่าที่นี่ ราคา แบ่งตามช่วงอายุครับเช่น 16-25 จะถูกกว่าผู้ใหญ่ ยิ่งเด็กก็ถูกลงไปอีก แต่ว่าที่อื่น ๆ จะเน้นต่ำกว่า 18 ปีได้ราคาถูก ทางที่ดีลองถามเค้าดูไปเลยครับว่า มีส่วนลดนักเรียน นักศึกษา หรือคนอายุน้อยมั้ย + อย่าลืมนำหลักฐานพวกบัตรปชช หรือ passport ไปด้วยนะครับ]



ตอนเช้าวันนั้น ครอบครัวผม เดินไปตามซอกเมือง แล้วก็กินข้าวเที่ยงที่ร้านชื่อ Casey Patato (ไม่ชังร์ชื่อแต่ประมาณนี้แล่ะครับ) ขายพวก hamburger กับ French fries (กินวันนั้นก็อร่อยครับ แต่พอได้กินร้านอื่น ๆ ในทริปก็รู้สึกว่าอร่อยกว่าร้านนี้ 🥲 แห่ะ) จากนั้นก็ขึ้นตึกที่เล่าตะกี้ ประมาณบ่าย 2 แล้ว 3 โมงครึ่งก็ลงมาเดินเล่น มีร้านขายของฝาก พวก brand name ละก็ของกินะยอะมากครับ นี่ได้ช็อกโกแลตมา 1 กล่อง [ของดีของ Belgium อีกอย่าง] แล้วก็เหมา waffle ที่แม่ซื้อมาไปด้วยครับ (จริง ๆ ผมว่าร้านมันขายซ้ำ ๆ กัน ซื้อได้ทุกร้านแล่ะครับ อร่อยหมด) เสร็จจากนั้นก็แวะไปสนามบอลของทีม Club Bruges สั้น ๆ ครับ (ทีมนี้เสมอ PSG ที่มี Messi ด้วยนะ 😍)



ที่ต่อไปที่ไปในวันนั้นคือเมือง Gent ครับ มันจะวุ่นว่ายกว่า Bruges เล็กน้อย มีแม่น้ำแล้วก็ร้านอาหารริมน้ำเยอะแยะแล้วก็พวกที่นั่งริมแม่น้ำ บรรยากาศดีมากครับ ดูมีชีวิตชีวาดี ไม่ได้มีแต่นักท่องเที่ยว มีคนท้องถิ่นปนเยอะ และแน่นอนครับมาเมืองนี้ผมก็แวะ Ghelamco Arena สนามฟุตบอลของ Gent (1 ในทีมอันดับต้น ๆ ของประเทศ)




หลังจากนั้นก็มุ่งหน้ากลับเข้า Brussels โดยที่ ๆ จะไปคือ Atomium (รูปทรงคล้าย ๆ atom ต่อกันด้วยพันธะเดี่ยวในวิชาเคมีนั่นแล่ะครับ555) จริง ๆ ตึกนี้ขึ้นไปได้นะครับแต่ว่าผมไปก็เกือบ 1 ทุ่มแล้ว เค้าปิดตั้งแต่ 5-6 โมงเลยอดครับ ข้าง ๆ ตึกนี้ก็มีสวนสาธารณะด้วย ระหว่างทางที่ไป Atomium เป็นย่านตึกสูงด้วยครับ เป็นอีกมุมของ Brussels ที่สวยดี

ครอบครัวกละจะไปกินร้านที่อยู่กลางเมืองเลยขับเข้าไปแถว ๆ Grand Palace และ^^จอดรถใกล้ ๆ ตรงนั้น ตอนเย็นกินที่ร้านชื่อ 9 & VOISINS ขายอาหาร Belgian เอาจริง ๆ ก็คล้าย ๆ อาหารต่างชาติที่เรากินบ่อย ๆ พวก resotto steak sausage… เป็น 1 ในร้านที่ผมชอบที่สุดในทริปเลยแล่ะครับ อาหารหลากหลายดี อร่อย แต่จะแพงนิดนึงนะครับ 4 คน 80 กว่า ๆ ยูโร จากนั้นก็เดินอยู่แถว ๆ นั้น ดูพวก Grand Palace กับรูปปั้นเด็กตอนมืด แต่คนก็ยังไม่แผ่วเหมือนเดิม ถึงรรก็ 4 ทุ่มกว่า ๆ

^^เรื่องการจอดรถหลาย ๆ คนคงสงสัย เอาคร่าว ๆ ก็คือที่จอดรถใต้ดินของ Europe มีเยอะมาก ๆ เลยครับ rate ส่วนใหญ่ที่ขึ้นทุก ๆ 15 นาที รับบัตรและจ่ายเงินที่ตู้นั่นแล่ะครับ จอดบนดินก็ได้ครับแต่ผมไม่แนะนำเพราะว่าบางทีเราไม่แน่ใจว่าจอดได้มั้ย (เคยไปอังกฤษ แล้วพ่อจอดบนดิน ปรากฎว่าโดนปรับไปหลายพันเลย 🥺🥺) เพราะมันอาจเป็นที่ห้าม หรือที่ส่วนบุคคลไรงี้ครับ แต่จะมีวันอาทิตย์นะที่จอดรถได้ฟรีบนดินทุกที่ใน Europe



โรงแรมที่ผมนอนที่ Belgium ชื่อ Marco Polo เอาจริง ๆ ก็อารมณ์คล้าย ๆ Air bnb แล่ะครับ ไม่มีอาหารเช้า ไม่ทำความสะอาดให้เหมือนโรงแรม ราคาประมาณ 2700 บาทต่อคืน สำหรับ 4 คนผมว่าใหญ่มากเลยนะครับ มี 2 ห้องนอน ห้องครัวละก็ห้องน้ำ ห้องก็ตกแต่งสวยด้วย [แต่ไม่มีเครื่องซักผ้านะ ผมเลยซักแค่พวกชั้นใน เพราะพวก jacket มันไม่ค่อยมีกลิ่น 👃] ห่างจากเมือง 20 นาที (ถ้าเดิน) โรงแรมมีที่จอดรถด้วยนะครับ จองพร้อมกับโรงแรมเลย เค้าคิดตามเวลาหรือคืนที่จอดนี่แล่ะครับ


Day 3: Brussels, Baarle-Hertog, Baarle-Nassau, Rotterdam, Amsterdam


วันนี้เป็นวันข้ามประเทศครับ จริง ๆ ใน Brussels ที่เหลืออยู่ก็มีแค่ headquarters ของ NATO ที่อยากไปสำรวจ แล้วก็สนามบอลของทีม Anderlecht พวกนั้นขับผ่านเฉย ๆ ไม่ได้แวะลงเลยประหยัดเวลาไปครับ พอถึง 11 โมงก็ข้ามเข้า Netherlands (การข้ามประเทศในเชงเก้นจริง ๆ ไม่มีอะไรเลยครับ ไม่มีการตรวจเอกสารอะไรเลย ขับเข้าไปตรง ๆ แถมยังไม่มีป้ายบอกว่า ‘Welcome to ….’ อีก ก็คือถ้าไม่ดู Google Maps ก็อาจจะไม่รู้ว่าอยู่ประเทศอะไรแล้ว

ตอนต่อไปเข้า Netherlands แล้วนะครับ ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันต่อนะ ✌️😍
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่