JJNY : 5in1 คนที่5โผล่เชียงใหม่│พท.ยันข้อมูลแน่น│ชัชชาติอธิบายไม่เกี่ยวICAO│อย่าลืมกันต้นทางแบกปลายทาง│ปชป.เดือด

คนที่ 5 โผล่เชียงใหม่ แจ้งความอ้างอดีตรองหัวหน้าพรรคลวนลาม
https://news.thaipbs.or.th/content/314595
 
 
หญิงสาวอายุ 25 ปี เดินทางไป สภ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อ้างถูกลวนลาม ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ เมื่อต้นปี 2564
 
วันนี้ (16 เม.ย.2565) หญิงอายุ 25 ปี เข้าพบ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรเชียงใหม่ เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเคยถูกลวนลามเมื่อปี 2564 ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.เมืองเชียงใหม่ 
 
หญิงสาวคนดังกล่าวอ้างว่า รู้จักกับนายปริญญ์ ในงานสัมมนาแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ เมื่อ 2 ปีก่อน หลังเดินเข้ามาทักและพูดคุยด้วย และด้วยเป็นคนมีชื่อเสียงและนักการเมืองจึงได้พูดคุยและแลกเบอร์โทรศัพท์พร้อมมีไลน์ไว้คุยกัน
 
ต่อมาเมื่อต้นปี 2564 นายปริญญ์ได้โทรมาหาบอกว่ามีงานสัมมนาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและคริปโตฯ ใน จ.เชียงใหม่ จึงตอบตกลงนัดกับผู้ก่อเหตุที่โรงแรมที่จัดงาน แต่เมื่อไปถึงโรงแรมกลับไม่มีการจัดงาน โดยนายปริญญ์ ได้พาเข้าไปในห้องซึ่งน่าจะเป็นห้องพัก ก่อนจะชวนคุยเรื่องการศึกษา และขอดูลายมือ
 
หญิงสาวคนดังกล่าวอ้างว่า เมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงวิ่งหนีมาที่ประตูห้อง นายปริญญ์ ได้วิ่งตามมาและลงมือลวนลามกอดจูบ จึงผลักนายปริญญ์ออก และวิ่งหนีมาที่ลานจอดรถ เมื่อกลับถึงบ้านก็เล่าให้ผู้ปกครองฟังแต่ไม่กล้าแจ้งความเพราะกลัวอิทธิพล ที่กล้าออกมาเปิดเผยเรื่องราว เพราะอยากให้คนผิดรับโทษตามกฎหมาย ไม่อยากให้ใครต้องตกเป็นเหยื่ออีก และยืนยันว่า ไม่มีประเด็นเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองแน่นอน
 
ด้าน พล.ต.ต.ธวัชชัย ระบุว่า หลังสอบปากคำผู้เสียหายจะรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย โดยจะดูจากพยานหลักฐานอีกครั้ง เพราะเรื่องเกิดมาแล้วกว่า 1 ปี หากมีพยานหลักฐานครบถ้วนก็อาจใช้เวลาไม่นานในการสรุปสำนวนคดี ส่วนจะแจ้งข้อหาอะไรต้องดูพยานหลักฐานอีกครั้ง สำหรับคดีนี้จะไม่นำไปรวมกับคดีที่มีผู้เสียหายแจ้งความในกรุงเทพมหานคร เพราะเรื่องเกิดที่ จ.เชียงใหม่
 

 
เพื่อไทยยันข้อมูลอภิปรายแน่น เชื่อ ใกล้เลือกตั้ง ส.ส.หนุนรัฐบาลคิดหนัก
https://www.thairath.co.th/news/politic/2369140
  
“สุทิน” ยันความพร้อมศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่เน้นจำนวนคนซักฟอก แต่ข้อมูลแน่น ด้าน “ประเสริฐ” มั่นใจ ส.ส.ต้องคิดหนักเพราะใกล้เลือกตั้ง เชื่อ ไม่มีใครหลับหูหลับตาหนุนรัฐบาล
 
วันที่ 16 เม.ย. 2565 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า การประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านครั้งต่อไปคงได้ข้อสรุปถึงขั้นกำหนดวันยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ซึ่งในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ก็ได้ประสานงานกับพรรคร่วมทุกวัน ดูข้อมูล ดูประเด็น ยืนยันมีความพร้อมเต็มที่ คิดว่าวันที่ 26 เม.ย. 2565 จะรายงานต่อที่ประชุมใหญ่ได้ สำหรับเนื้อหาในการอภิปรายมีข้อมูลแน่นแน่นอน ส่วนจะเด็ดหรือไม่อยู่คนฟัง
 
เมื่อถามว่าการอภิปรายครั้งนี้จะล้มรัฐบาลได้หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า การล้มด้วยมือนั้นไม่แน่ใจ แต่ถ้าล้มด้วยศรัทธาประชาชนคิดว่ารัฐบาลเจอวิกฤติศรัทธาแน่นอน เพราะจากที่อภิปรายมาเป็นลำดับ ครั้งนี้จะชัดเจนเกี่ยวกับความทุกข์ยากของประชาชน และความคลอนแคลนสภาวะการเงินของประเทศไม่ได้เกิดจากสถานการณ์โลก แต่เกิดจากความผิดพลาดการบริหารและซ้ำด้วยการทุจริต
 
สำหรับผู้อภิปรายจะสรุปกันวันที่ 26 เม.ย. แต่ทุกคนเห็นตรงกันว่าจะไม่ใช้คนมาก มุ่งประเด็นไม่เยอะ แต่จะอธิบายประเด็นให้คมชัดแจ่มแจ้ง ลงลึก ซึ่งในแต่ละประเด็นอาจมีไม้หนึ่ง ไม้สอง ไม้สาม เปิดขยี้ ถ้ารัฐมนตรีตอบมาก็จะซักถามขยี้เพิ่มเติม และส่วนตัวมองว่าที่ผ่านมาข้อซักถามของฝ่ายค้านรัฐบาลไม่สามารถชี้แจงได้กระจ่างสักครั้ง แต่ใช้มือมากกว่าในการเอาตัวรอด ซึ่งครั้งนี้เมื่อใกล้เลือกตั้ง เชื่อว่าคนที่จะหลับหูหลับตายกมือให้รัฐบาลต้องคิดหนักกว่าเดิม เพราะประชาชนรอเลือกตั้ง รอพิพากษาพวกหลับหูหลับตายกมือให้รัฐบาลโดยไม่ฟังเหตุผลอยู่
 
ทางด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านในวันที่ 26 เม.ย. ว่า ในวันดังกล่าวพรรคร่วมฝ่ายค้านจะสรุปประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่แต่ละพรรคได้ไปทำการบ้านในช่วงสงกรานต์มา คงได้เห็นรูปร่างว่าจะดำเนินการอย่างไร จะมีเป้าหมายอภิปรายรัฐมนตรีกี่คน ส่วนวันยื่นอภิปรายคงได้มีหารหยิบยกมาหารือแต่จะสรุปได้เลยหรือไม่นั้นขอให้รอฟังวันที่ 26 เม.ย.
 
ทั้งนี้ สิ่งที่เราจะเห็นชัดเจนคือเนื้อหาและทิศทางว่าจะพุ้งเป้าไปที่ใคร ยืนยันรอบนี้เรามีข้อมูลแน่นสามารถมัดรัฐมนตรีที่ประพฤติมิชอบได้อย่างแน่นอน และ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเองต้องหนักใจหากจะยกมือให้ เชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าหลับหูหลับตายกมือค้านความรู้สึกประชาชน เพราะการเลือกตั้งรออยู่ ประชาชนเขาจับตาและคงไม่ปล่อยให้ ส.ส.ที่ไม่ทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ให้เขากลับเข้าสภาฯ อีก.


 
ชัชชาติ อธิบาย ไม่เกี่ยวกรณี ICAO ปักธงแดงยุค คสช. ยืนยันอนุมัติเปิดสายการบินตามมาตรฐาน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3292297

ชัชชาติอธิบาย ไม่เกี่ยวกรณี ICAO ปักธงแดงยุค คสช. ยืนยันอนุมัติเปิดสายการบินตามมาตรฐาน สอดคล้องตลาดการบินเติบโตทั่วโลก ย้ำประเทศและประชาชนได้ประโยชน์
 
เมื่อวันที่ 16 เมษายน นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. เบอร์ 8 ชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาว่าอนุมัติเปิดสายการบินในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกว่า 40 ราย จนเป็นเหตุให้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO ให้ธงแดงแก่ประเทศไทย เพราะไม่ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัย ชัชชาติชี้แจงว่า ตลอดระยะเวลา 15 ปี ตั้งแต่ปี 2551-2562 ธุรกิจการบินในไทยเติบโตมากกว่า 280% จาก 58 ล้านคน เป็น 120 ล้านคน ซึ่งสอดคล้องกับการบินทั่วโลก ในการออกใบอนุญาตสายการบินจะมีอยู่ 2 ใบคือ

ใบอนุญาตประกอบกิจการค้าขายในการเดินอากาศ หรือ AOL  (Air Operating License) โดยจะพิจารณาจากคุณสมบัติต่างๆ อาทิ มีทุนจดทะเบียนเท่าไหร่ มีผู้ถือหุ้นเป็นใคร มีเส้นทางหลักและรองอย่างไร เพื่อให้มั่นใจว่าสายการบินมีทุนเพียงพอที่จะดำเนินการและสามารถรับผิดชอบผู้โดยสารได้หรือไม่ โดยมีกรรมการพิจารณาคุณสมบัติผู้ขออนุญาต ประกอบด้วย อธิบดีกรมการบินพลเรือน รองอธิบดีฝ่ายเศรษฐกิจ ผู้อำนวยการสำนักที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกสองท่าน ก่อนนำเสนอให้รัฐมนตรีอนุมัติต่อไป และถ้าเป็นไปตามคุณสมบัติและระเบียบทั้งหมด รัฐมนตรีก็ต้องอนุมัติ ถ้าเป็นอย่างอื่นก็จะมีความผิดได้ ซึ่งในส่วนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO
 
ชัชชาติอธิบายเพิ่มด้วยว่า นอกจากการที่ตนทำตามขั้นตอนทั้งหมดที่ถูกต้องตามระเบียบแล้ว ประเทศชาติและประชาชนก็ยังได้ประโยชน์ “เมื่อผู้โดยสารเยอะขึ้น โลว์คอสต์แอร์ไลน์ก็มากขึ้น ประชาชนได้ประโยชน์มากขึ้นจากการแข่งขัน ทำให้มีทางเลือกเยอะขึ้น” ขณะเดียวกันการอนุมัติสายการบินก็มีหลายประเภททั้งแบบประจำ แบบเช่าเหมาลำ ใบอนุญาตเฮลิคอปเตอร์ การต่อใบอนุญาตเดิม เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งจากไทยและต่างชาติมากขึ้น
 
แต่ทั้งหมดนี้สายการบินก็ยังไม่สามารถขึ้นบินได้ เพราะต้องขออนุมัติใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ หรือ AOC (Air Operator Certificate) เป็นใบที่สองเพื่อพิจารณาเรื่องความปลอดภัย ในส่วนนี้จะไม่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม แต่จะเป็นขั้นตอนของกรมการบินพลเรือน โดยมีอธิบดีกรมการบินพลเรือนเป็นผู้กำกับดูแล
 
ที่ผ่านมามีสายการบินได้รับอนุมัติ AOL ใบแรก แต่ไม่ได้รับอนุมัติ AOC ใบที่สอง ก็มีจำนวนมากเนื่องจากไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย
 
ชัชชาติกล่าวว่า สำหรับกรณี ICAO ให้ธงแดงไทยนั้นจะมาเกี่ยวข้องกับใบที่สอง AOC ที่จะเป็นผู้พิจารณาเรื่องความปลอดภัย ในปี 2554 ICAO ได้เข้ามาตรวจสอบและไม่พบว่ามีปัญหา หลังจากนั้นในสมัยที่ตนยังอยู่ในตำแหน่ง ทางกรมการบินพลเรือนได้แจ้งว่าพร้อมสำหรับการตรวจสอบจนกระทั่งยุบสภาปลายปี 2556-2557 และเกิดการรัฐประหาร ตนต้องออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ประเด็นสำคัญคือหลังปี 2558 ICAO ได้เปลี่ยนวิธีการตรวจให้เข้มข้นขึ้น ซึ่งกรมการบินพลเรือนอาจไม่ได้รองรับ หรือเตรียมเรื่องการตรวจใหม่ จึงทำให้ในที่สุด ICAO ให้ธงแดงประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2558 และส่งผลกระทบต่อธุรกิจการบินการท่องเที่ยวไทย ทำให้สายการบินในไทยไม่สามารถเปิดเส้นทางการบินใหม่ได้
 
ในส่วนปัญหาของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ชัชชาติกล่าวว่า การบินไทย ไม่ได้มีปัญหาจากการออกใบอนุญาต และควรจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เนื่องจากตลาดที่ขยายขึ้น แต่เป็นปัญหาต่อเนื่องเพราะการบินไทยมีการขาดทุนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2551
 


อย่าลืมกันต้นทางแบกปลายทางขี้นใครคุม
https://www.innnews.co.th/video/general-news-clips/news_323577/
 
เสียงบ่นจากทุกหย่อมหญ้าว่าราคาสินค้าแพงขี้น แต่ทำไมเมื่อถามไปถึงภาคเอกชนผู้ผลิตสินค้า กลับได้รับคำตอบว่า การเสนอขอปรับราคาสินค้าไปยังกระทรวงพาณิชย์ ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เสียงสั่งการให้มีการผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่องสินค้าต้องไม่ขาดแคลนและให้ตรึงราคาไว้ก่อน หลายบริษัทโดยเฉพาะบริษัทขนาดเล็กที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนซึ่งสะท้อนมาจากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกที่มีการปรับราคาสูงขึ้น แน่นอนว่าสายป่านที่ไม่ยาวนักอาจแบกรับภาระได้อีกไม่นาน
 
โดยนายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า เวลานี้ยังไม่มีสัญญาณจากภาครัฐให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการผลิตอาหารกระป๋อง สามารถปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นได้ โดยให้เหตุผลในเรื่องของการดูแลลดผลกระทบค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อให้กับผู้บริโภค ซึ่งทางภาคเอกชนเองเข้าใจและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือตรึงราคาสินค้าจนถึงที่สุด
 
โดยเวลานี้อาจยังสามารถทำได้เพราะสินค้ายังคงเป็นสต๊อกเดิมที่ต้นทุนยังไม่ได้สะท้อนผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งหลังจากนี้จะมีผลในเรื่องของการแย่งซื้อวัตถุดิบในการผลิตสินค้ามากขึ้นและอาจทำให้การผลิตสินค้าของไทยได้รับผลกระทบ หากยังไม่ วางแผนรับมือล่วงหน้า และยิ่งมาตรการคว่ำบาตรยืดเยื้อ จะเป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวเพราะจะเกิดการแย่งซื้อสินค้ามีผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของโลกได้
 
เมื่อกลไกตลาดไม่ทำงาน ปรับราคาตามต้นทุนที่สูงไม่ได้ ภาครัฐจะต้องช่วยเหลือลดต้นทุนในการผลิตสินค้าให้กับผู้ประกอบการ ด้วยการลดภาษีนำเข้าสินค้าทุนที่ใช้ผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศ ดูแลค่าขนส่งคงราคาน้ำมันดีเซลไว้ และค่ากระแสไฟฟ้าจะต้องไม่ปรับเพิ่มขึ้นให้เป็นภาระกับผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยให้ยังสามารถเดินหน้าผลิตสินค้าเลี้ยงตัวเองโดยไม่ต้องปิดกิจการลง เพราะจากต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นเวลานี้ถ้าไม่ช่วยก็คงแบกได้ไม่นานนัก
 
และภาครัฐต้องไม่ลืมว่าการผลิตสินค้าในประเทศ ผู้ประกอบการรายย่อย ถือว่ามีบทบาทที่สำคัญ ถึงแม้จะมีผู้ประกอบการรายใหญ่ กุมส่วนแบ่งตลาดส่วนมากไว้ แต่หากไม่มีกลไกการแข่งขันในตลาดคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนักสำหรับผู้บริโภคในระยะยาวที่อาจถูกมัดมือชกให้ซื้อสินค้าได้เฉพาะผลิตภัณฑ์จากรายใหญ่
 
ต้นทางไม่ขึ้นราคา แต่ทำไมปลายทางถึงบอกสินค้าราคาแพงขึ้น ระหว่างทางมีใครฉวยโอกาสเป็นตาอยู่หยิบชิ้นปลามัน ทิ้งภาระต้นทุนไว้ที่ผู้ประกอบการและทิ้งสินค้าราคาแพงไว้ที่ผู้บริโภค ใครจะเป็นคนแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่