สวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากที่ติดไว้ในกระทู้ที่แล้วว่าจะมาเล่าประสบการณ์ก่อนที่จะมาลงทุนอสังหาฯ นั่นคือประสบการณ์การเป็นพนักงานประจำนั่นเองค่ะ
เราเป็นคนนึงที่เริ่มทำงานออฟฟิตตั้งแต่เรียนจบป.ตรี ตอนนั้นย้อนไป10ปีที่แล้ว เมื่อเรียนจบปี4และได้สมัครงานที่นึง ถือว่าเป็นบริษัทใหญ่พอตัวเลย ด้วยความมั่นหน้าหรือมั่นใจไม่รู้ เราเรียกเงินเดือนไปซะสูงเมื่อมองย้อนไปตอนนั้น 20K++ กับเด็กที่ไม่มีประสบการณ์และกล้าเรียกสูงกว่าพี่ที่มาสัมภาษณ์ในวันเดียวกัน แต่เซอร์ไพร์สกว่าที่คนสัมภาษณ์รับเข้าทำงาน หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตเป็นเด็กกรุงเทพเต็มรูปแบบ เช่าห้องพักใกล้ๆที่ทำงาน เดินไปได้เพียง5นาที เดือนละประมาณ 3500บาท แต่ก็แอบมีความเปลี่ยวเวลาดึกๆ กลับบ้านซื้อแกงถุงมาจะได้ยินเสียงคนเมา ผัวเมียตีกันตลอด ซึ่งแถวนั้นก็มีคอนโดแต่ก็ไม่อยากเสียเงินเยอะ จะได้มีเงินเก็บ จนทำงานครบ3เดือนได้ผ่านโปรพอดี ก็มีจดหมายจากทางประเทศจีนส่งมา ว่าที่เราสอบชิงทุนไป เราเข้ารอบสุดท้าย....นั่นแหละเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเลย ทำให้ต้องตัดสินใจและเราก็เลือกจะเปิดโลกกว้างให้ตัวเอง ตัดสินลาออกจากงานที่ได้เงินเดือนสูงมากในตอนนั้นและเพิ่งผ่านโปร!! เงินออมใน3เดือน เราเลยให้รางวัลชีวิตตัวเองด้วยการซื้อIphone 4s ซึ่งเป็นมือถือเครื่องแรกในชีวิตที่ซื้อเองเพราะก่อนหน้านี้ได้รับมือสองแบบส่งต่อจากแม่ตลอด
หลังจากนั้นก็ตัดมาที่เราใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศจีน และก็ไปกลับๆไทยปีละครั้งสองครั้ง เรื่องราวที่เคยใช้ชีวิตที่จีน เราเคยลงกระทู้ก่อนๆ ลองไปตามอ่านได้นะคะ เราใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ จากเรียนจบมณฑลนึงก็ไปได้งานที่เซี่ยงไฮ้ก่อนวีซ่านักเรียนจะหมด และก็เปลี่ยนงานย้ายไปเซี่ยงไฮ้ ย้ายประมาณ3งานกับที่อยู่อีก5-6ที่ จนครั้งสุดท้ายที่เราลาออกจากงาน คือช่วงก่อนที่โควิดกำลังมาที่อู่ฮั่นเลยก็เพิ่ง2-3ปีนี่เอง ซึ่งจริงๆมันเป็นแพลนที่เราตั้งใจไว้ก่อนหน้านั้นอยู่แล้วเกือบปี เพราะที่จีนต้องแจ้งล่วงหน้าก่อนหลายเดือนและต้องหาคนมาแทนและเทรนจนกว่าเค้าจะเป็นงานถึงจะออกได้
ตอนนั้นในหัวคิดอะไรอ่ะหรอ ?? บอกตรงๆเลยแทบไม่คิดอะไรเลย จู่ๆตื่นมาก็รู้สึกว่าหมดไฟ ไม่รู้คนที่อยากจะออกจากงานมีความรู้สึกนี่มั้ย หมดไฟคือหมดไฟจริงๆ แบบลืมตาตื่นเช้าไม่ไหวอีกแล้ว ทั้งๆที่มันก็ต้องตื่นเช้าปกติ แต่มันหมดพลังที่จะลุกและทำอะไรทุกอย่าง แต่ละวันของการทำงานผ่านไปอย่างเชื่องช้า เราเริ่มง่วงเยอะขึ้น ข้อดีของจีนคือ พักเบรคตรงเวลาแต่เริ่มงานจริงๆประมาณบ่าย 2 ทุกคนจะรีบทานข้าวและนอนกลางวันกัน ก็ฟุบลงบนโต๊ะใครโต๊ะมันนี่แหละ ตอนนั้นเวลานอนถึงบ่าย2ของเรายังแทบไม่พอ งานที่เราเคยทำเริ่มลดประสิทธิภาพลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ทำให้เราเริ่มโดนหัวหน้าตำหนิ เราเริ่มคิดวนเรื่อยๆว่าจะเอายังไงต่อไปดี ซึ่งที่ทำให้เราต้องวางแผนก็คงเพราะเรามีแฟนคนไทยด้วยมั้ง มาอยู่จีนแบบโสดกะมาโกอินเตอร์สะไภ้คนจีน ไหงอยู่ไปอยู่มาได้แฟนไทยซะงั้น 555+ มันทำให้เราเริ่มคิดหนักขึ้นว่าจะเอายังไงดี?? เงินเดือนที่นี่ถือว่าดีใช้ได้เลยแหละ เดือนนึงก็ประมาณ 60-70K แต่ถ้าอยู่ต่อไป ยังไงก็ไม่โต ถ้าบริษัทเค้าจะโปรโมทก็ต้องเป็นคนประเทศเค้าก่อนอยู่แล้ว ตอนนั้นจึงตกลงกับแฟนว่า ถ้าเราจะออกจากงานประจำก็รีบออกเหอะตอนนี้อายุ30ปี ถ้าเราอายุเยอะกว่านี้ เรากลัวว่าเราจะติดกับดัก Comfort Zone แล้วจะทำให้เราไม่กล้าออกไปเสี่ยงอีก อย่างน้อยถ้าออกไปแล้วไม่รอด กลับไปทำงานประจำตอนอายุ35เค้าก็น่าจะยังรับอยู่มั้ง ฮ่าๆ ก็เลยเริ่มตกลงกันกับแฟน ใครจะออกใครจะอยู่ต่อ เพราะเรากับแฟนทำงานที่เดียวกัน ง่ายๆคือแอบพาแฟนมาสมัครงานด้วยกัน แต่ปิดคนในทำงานว่าเป็นเพื่อนกัน และโต๊ะทำงานนั่งหันหลังชนกัน ก็คืออยู่ด้วยกันจนเบื่อ 24ชม ><
หลังจากความหมดไฟ และการตัดสินใจคนใดคนนึงต้องกลับมาสร้างโอกาสที่ไทยก่อน อีกคนจะได้ไม่ต้องเสี่ยงตาม สรุปก็เป็นเราขอออกมาก่อน ตอนนั้นยังแอบคิดเลยว่า ถ้าเราออกมาแล้วไม่รอดจริงๆคงบอกเลิกแฟน แล้วให้เค้าใช้ชีวิตที่โน่นต่อ เพราะเราไม่อยากฉุดเค้าลงด้วยและทำลายโอกาสในชีวิตคนๆนึง หลังจากตัดสินใจได้ตามที่คุยกันไว้เราก็ยื่นใบลาออกแบบไม่มีแผนสำรองเลย ไม่หางานสำรองที่ไทยด้วย คิดแค่วันจะทำฟรีแลนซ์ และไม่รู้ด้วยว่าต้องทำอะไร กลับมาย้อนคิดการตัดสินใจของตัวเองวันนั้น เราว่าความคิดเราโคตรเสี่ยงเลย โชคดีตรงที่เราไม่มีภาระหนี้ เข้าใจความรู้สึกหลายคนเลยทำไมหมดไฟแต่ยังต้องไปต่อ เพราะด้วยภาระหนี้ที่มันต้องจ่ายต่อเดือนและวุฒิภาวะการเป็นผู้ใหญ่ มันไม่สามารถตัดสินใจแบบเด็กๆได้ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราเอาความบ้ามาจากไหน แต่เราเป็นคนที่ถ้ามีไฟกับอะไร ลุยสุดไม่ยั้ง แต่ถ้าหมดไฟก็เลิกแบบไม่คิดเลย ซึ่งนั่นแหละสิ่งที่ตามมาคือ โลกแห่งความเป็นจริงหลังจากเป็นอิสระจากงานประจำแล้ว.... แต่ทำไมเวลาออกมาจริงๆแล้วความรู้สึกมันไม่อิสระแบบที่คิดไว้เลย
(เดี๋ยวมาเล่าต่อค่ะ ว่าความรู้สึกต่อจากนี้มันเป็นยังไง และสิ่งที่เราอยากจะเตือนสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจจะออก ฝากคอมเม้น ติดตามกันด้วนะคะ ^^)
เตือนใจคนที่จะออกจากงานประจำ(แบบไม่มีแผนสำรอง)
เราเป็นคนนึงที่เริ่มทำงานออฟฟิตตั้งแต่เรียนจบป.ตรี ตอนนั้นย้อนไป10ปีที่แล้ว เมื่อเรียนจบปี4และได้สมัครงานที่นึง ถือว่าเป็นบริษัทใหญ่พอตัวเลย ด้วยความมั่นหน้าหรือมั่นใจไม่รู้ เราเรียกเงินเดือนไปซะสูงเมื่อมองย้อนไปตอนนั้น 20K++ กับเด็กที่ไม่มีประสบการณ์และกล้าเรียกสูงกว่าพี่ที่มาสัมภาษณ์ในวันเดียวกัน แต่เซอร์ไพร์สกว่าที่คนสัมภาษณ์รับเข้าทำงาน หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตเป็นเด็กกรุงเทพเต็มรูปแบบ เช่าห้องพักใกล้ๆที่ทำงาน เดินไปได้เพียง5นาที เดือนละประมาณ 3500บาท แต่ก็แอบมีความเปลี่ยวเวลาดึกๆ กลับบ้านซื้อแกงถุงมาจะได้ยินเสียงคนเมา ผัวเมียตีกันตลอด ซึ่งแถวนั้นก็มีคอนโดแต่ก็ไม่อยากเสียเงินเยอะ จะได้มีเงินเก็บ จนทำงานครบ3เดือนได้ผ่านโปรพอดี ก็มีจดหมายจากทางประเทศจีนส่งมา ว่าที่เราสอบชิงทุนไป เราเข้ารอบสุดท้าย....นั่นแหละเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเลย ทำให้ต้องตัดสินใจและเราก็เลือกจะเปิดโลกกว้างให้ตัวเอง ตัดสินลาออกจากงานที่ได้เงินเดือนสูงมากในตอนนั้นและเพิ่งผ่านโปร!! เงินออมใน3เดือน เราเลยให้รางวัลชีวิตตัวเองด้วยการซื้อIphone 4s ซึ่งเป็นมือถือเครื่องแรกในชีวิตที่ซื้อเองเพราะก่อนหน้านี้ได้รับมือสองแบบส่งต่อจากแม่ตลอด
หลังจากนั้นก็ตัดมาที่เราใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศจีน และก็ไปกลับๆไทยปีละครั้งสองครั้ง เรื่องราวที่เคยใช้ชีวิตที่จีน เราเคยลงกระทู้ก่อนๆ ลองไปตามอ่านได้นะคะ เราใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ จากเรียนจบมณฑลนึงก็ไปได้งานที่เซี่ยงไฮ้ก่อนวีซ่านักเรียนจะหมด และก็เปลี่ยนงานย้ายไปเซี่ยงไฮ้ ย้ายประมาณ3งานกับที่อยู่อีก5-6ที่ จนครั้งสุดท้ายที่เราลาออกจากงาน คือช่วงก่อนที่โควิดกำลังมาที่อู่ฮั่นเลยก็เพิ่ง2-3ปีนี่เอง ซึ่งจริงๆมันเป็นแพลนที่เราตั้งใจไว้ก่อนหน้านั้นอยู่แล้วเกือบปี เพราะที่จีนต้องแจ้งล่วงหน้าก่อนหลายเดือนและต้องหาคนมาแทนและเทรนจนกว่าเค้าจะเป็นงานถึงจะออกได้
ตอนนั้นในหัวคิดอะไรอ่ะหรอ ?? บอกตรงๆเลยแทบไม่คิดอะไรเลย จู่ๆตื่นมาก็รู้สึกว่าหมดไฟ ไม่รู้คนที่อยากจะออกจากงานมีความรู้สึกนี่มั้ย หมดไฟคือหมดไฟจริงๆ แบบลืมตาตื่นเช้าไม่ไหวอีกแล้ว ทั้งๆที่มันก็ต้องตื่นเช้าปกติ แต่มันหมดพลังที่จะลุกและทำอะไรทุกอย่าง แต่ละวันของการทำงานผ่านไปอย่างเชื่องช้า เราเริ่มง่วงเยอะขึ้น ข้อดีของจีนคือ พักเบรคตรงเวลาแต่เริ่มงานจริงๆประมาณบ่าย 2 ทุกคนจะรีบทานข้าวและนอนกลางวันกัน ก็ฟุบลงบนโต๊ะใครโต๊ะมันนี่แหละ ตอนนั้นเวลานอนถึงบ่าย2ของเรายังแทบไม่พอ งานที่เราเคยทำเริ่มลดประสิทธิภาพลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ทำให้เราเริ่มโดนหัวหน้าตำหนิ เราเริ่มคิดวนเรื่อยๆว่าจะเอายังไงต่อไปดี ซึ่งที่ทำให้เราต้องวางแผนก็คงเพราะเรามีแฟนคนไทยด้วยมั้ง มาอยู่จีนแบบโสดกะมาโกอินเตอร์สะไภ้คนจีน ไหงอยู่ไปอยู่มาได้แฟนไทยซะงั้น 555+ มันทำให้เราเริ่มคิดหนักขึ้นว่าจะเอายังไงดี?? เงินเดือนที่นี่ถือว่าดีใช้ได้เลยแหละ เดือนนึงก็ประมาณ 60-70K แต่ถ้าอยู่ต่อไป ยังไงก็ไม่โต ถ้าบริษัทเค้าจะโปรโมทก็ต้องเป็นคนประเทศเค้าก่อนอยู่แล้ว ตอนนั้นจึงตกลงกับแฟนว่า ถ้าเราจะออกจากงานประจำก็รีบออกเหอะตอนนี้อายุ30ปี ถ้าเราอายุเยอะกว่านี้ เรากลัวว่าเราจะติดกับดัก Comfort Zone แล้วจะทำให้เราไม่กล้าออกไปเสี่ยงอีก อย่างน้อยถ้าออกไปแล้วไม่รอด กลับไปทำงานประจำตอนอายุ35เค้าก็น่าจะยังรับอยู่มั้ง ฮ่าๆ ก็เลยเริ่มตกลงกันกับแฟน ใครจะออกใครจะอยู่ต่อ เพราะเรากับแฟนทำงานที่เดียวกัน ง่ายๆคือแอบพาแฟนมาสมัครงานด้วยกัน แต่ปิดคนในทำงานว่าเป็นเพื่อนกัน และโต๊ะทำงานนั่งหันหลังชนกัน ก็คืออยู่ด้วยกันจนเบื่อ 24ชม ><
หลังจากความหมดไฟ และการตัดสินใจคนใดคนนึงต้องกลับมาสร้างโอกาสที่ไทยก่อน อีกคนจะได้ไม่ต้องเสี่ยงตาม สรุปก็เป็นเราขอออกมาก่อน ตอนนั้นยังแอบคิดเลยว่า ถ้าเราออกมาแล้วไม่รอดจริงๆคงบอกเลิกแฟน แล้วให้เค้าใช้ชีวิตที่โน่นต่อ เพราะเราไม่อยากฉุดเค้าลงด้วยและทำลายโอกาสในชีวิตคนๆนึง หลังจากตัดสินใจได้ตามที่คุยกันไว้เราก็ยื่นใบลาออกแบบไม่มีแผนสำรองเลย ไม่หางานสำรองที่ไทยด้วย คิดแค่วันจะทำฟรีแลนซ์ และไม่รู้ด้วยว่าต้องทำอะไร กลับมาย้อนคิดการตัดสินใจของตัวเองวันนั้น เราว่าความคิดเราโคตรเสี่ยงเลย โชคดีตรงที่เราไม่มีภาระหนี้ เข้าใจความรู้สึกหลายคนเลยทำไมหมดไฟแต่ยังต้องไปต่อ เพราะด้วยภาระหนี้ที่มันต้องจ่ายต่อเดือนและวุฒิภาวะการเป็นผู้ใหญ่ มันไม่สามารถตัดสินใจแบบเด็กๆได้ ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราเอาความบ้ามาจากไหน แต่เราเป็นคนที่ถ้ามีไฟกับอะไร ลุยสุดไม่ยั้ง แต่ถ้าหมดไฟก็เลิกแบบไม่คิดเลย ซึ่งนั่นแหละสิ่งที่ตามมาคือ โลกแห่งความเป็นจริงหลังจากเป็นอิสระจากงานประจำแล้ว.... แต่ทำไมเวลาออกมาจริงๆแล้วความรู้สึกมันไม่อิสระแบบที่คิดไว้เลย
(เดี๋ยวมาเล่าต่อค่ะ ว่าความรู้สึกต่อจากนี้มันเป็นยังไง และสิ่งที่เราอยากจะเตือนสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจจะออก ฝากคอมเม้น ติดตามกันด้วนะคะ ^^)