นักวิชาการพลังงาน แนะปัดฝุ่นแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวประเทศ หรือ PDP2015กลับมาใช้ใหม่ ชี้ช่วยกระจายเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า ลดการพึ่งพาก๊าซฯ เพียงอย่างเดียว ย้ำไทยต้องหันกลับมายึดความมั่นคงไฟฟ้าประเทศก่อนด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมเสนอสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เทพา ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ พร้อมถอดบทเรียนยุโรปพึ่งพาก๊าซฯ รัสเซียเกินไป ทำประเทศก้าวสู่วิกฤติพลังงาน
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน(Energy News Center-ENC)รายงานว่า รศ.ดร.ภิญโญ มีชำนะ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน ได้แสดงความคิดเห็นในเฟสบุ๊คส่วนตัว “ดร.ภิญโญ มีชำนะ” เกี่ยวกับทิศทางพลังงานประเทศโดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจว่า ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) มีราคาแพง จากปัญหาการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเป็นหลักจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานภายในประเทศได้ จะเห็นได้จากตัวอย่างประเทศในสหภาพยุโรป(EU)ได้รับผลกระทบจากกรณีรัสเซียขู่ไม่ส่งก๊าซฯ ให้ ทำให้หลายประเทศเดือนร้อนหนัก ดังนั้นไทยควรหันมาพิจารณาเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศให้มากขึ้น และขอเสนอให้ปัดฝุ่นแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ พ.ศ. 2558 หรือ PDP2015 กลับมาใช้ใหม่
โดย แผน PDP2015 (พ.ศ.2558) ซึ่งเป็นแผนพลังงานไฟฟ้า 20 ปี หรือภายในปี พ.ศ. 2579 ไทยได้วางแผนกระจายเชื้อเพลิงไปหลากหลายชนิดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางด้านพลังงาน จะไม่พึ่งพาพลังงานตัวหนึ่งตัวใดมากจนเกินไป เช่น จะลดสัดส่วนก๊าซธรรมชาติเหลือ 37% (จากปัจจุบันที่ 60%) เพิ่มถ่านหินขึ้นเล็กน้อยเป็น 23% (จากปัจจุบันที่ 22%) โดยจะซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเป็น 15% (จากเดิม 7%) ส่วนพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มเป็น 20% (จากปัจจุบันที่ 11%) และจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เข้ามาในแผนใหม่เป็น 5% และเชื้อเพลิงอื่นๆอีกเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามหลังรัฐประหารปี 2557 ได้มีกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จากกลุ่ม NGO และกลุ่มอนุรักษ์นิยมขึ้นในประเทศหลายครั้ง จนกระทั่งส่งผลให้แผน PDP2018 ของไทยเปลี่ยนไปจาก PDP2015 เดิมอย่างมากมาย
เมื่อเปรียบเทียบแผน PDP 2018 กับ PDP2015 พบว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินถูกทำให้มีสัดส่วนลดลง 11% (คือจาก 23% เหลือ 12%) ส่วนนิวเคลียร์ลดลง 5% (จาก 5% เหลือ 0%) และเมื่อรวมสัดส่วนที่ลดลงจากถ่านหินและนิวเคลียร์รวมกันจึงเท่ากับ 16% (11% + 5%) และตัวเลข 16% นี้นำไปเพิ่มให้กับก๊าซธรรมชาติ จาก 37% เป็น 53% (เพิ่ม 16% พอดี) จึงเท่ากับว่าจงใจลดสัดส่วนถ่านหินและนิวเคลียร์ (ตามแผน PDP2015) เพื่อนำไปเพิ่มให้กับสัดส่วนของก๊าซธรรมชาติ (ตามแผน PDP2018)
£££ นักวิชาการแนะรัฐปัดฝุ่นแผน PDP2015 กลับมาใช้ใหม่ สร้างความมั่นคงไฟฟ้าประเทศ
ผู้สื่อข่าวศูนย์ข่าวพลังงาน(Energy News Center-ENC)รายงานว่า รศ.ดร.ภิญโญ มีชำนะ นักวิชาการอิสระด้านพลังงาน ได้แสดงความคิดเห็นในเฟสบุ๊คส่วนตัว “ดร.ภิญโญ มีชำนะ” เกี่ยวกับทิศทางพลังงานประเทศโดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจว่า ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติราคาก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG) มีราคาแพง จากปัญหาการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเป็นหลักจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานภายในประเทศได้ จะเห็นได้จากตัวอย่างประเทศในสหภาพยุโรป(EU)ได้รับผลกระทบจากกรณีรัสเซียขู่ไม่ส่งก๊าซฯ ให้ ทำให้หลายประเทศเดือนร้อนหนัก ดังนั้นไทยควรหันมาพิจารณาเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศให้มากขึ้น และขอเสนอให้ปัดฝุ่นแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ พ.ศ. 2558 หรือ PDP2015 กลับมาใช้ใหม่
โดย แผน PDP2015 (พ.ศ.2558) ซึ่งเป็นแผนพลังงานไฟฟ้า 20 ปี หรือภายในปี พ.ศ. 2579 ไทยได้วางแผนกระจายเชื้อเพลิงไปหลากหลายชนิดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางด้านพลังงาน จะไม่พึ่งพาพลังงานตัวหนึ่งตัวใดมากจนเกินไป เช่น จะลดสัดส่วนก๊าซธรรมชาติเหลือ 37% (จากปัจจุบันที่ 60%) เพิ่มถ่านหินขึ้นเล็กน้อยเป็น 23% (จากปัจจุบันที่ 22%) โดยจะซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเป็น 15% (จากเดิม 7%) ส่วนพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มเป็น 20% (จากปัจจุบันที่ 11%) และจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เข้ามาในแผนใหม่เป็น 5% และเชื้อเพลิงอื่นๆอีกเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามหลังรัฐประหารปี 2557 ได้มีกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จากกลุ่ม NGO และกลุ่มอนุรักษ์นิยมขึ้นในประเทศหลายครั้ง จนกระทั่งส่งผลให้แผน PDP2018 ของไทยเปลี่ยนไปจาก PDP2015 เดิมอย่างมากมาย
เมื่อเปรียบเทียบแผน PDP 2018 กับ PDP2015 พบว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินถูกทำให้มีสัดส่วนลดลง 11% (คือจาก 23% เหลือ 12%) ส่วนนิวเคลียร์ลดลง 5% (จาก 5% เหลือ 0%) และเมื่อรวมสัดส่วนที่ลดลงจากถ่านหินและนิวเคลียร์รวมกันจึงเท่ากับ 16% (11% + 5%) และตัวเลข 16% นี้นำไปเพิ่มให้กับก๊าซธรรมชาติ จาก 37% เป็น 53% (เพิ่ม 16% พอดี) จึงเท่ากับว่าจงใจลดสัดส่วนถ่านหินและนิวเคลียร์ (ตามแผน PDP2015) เพื่อนำไปเพิ่มให้กับสัดส่วนของก๊าซธรรมชาติ (ตามแผน PDP2018)