ผมกำลังจะโดนฟ้องว่าเป็นชู้ แนวทางคดีผมจะเจอกับอะไรบ้างครับ

ผมกำลังจะโดนฟ้อง (เป็นชู้)
            เริ่มต้นผมกับแฟนคบกันมาตั้งปี 2553 ตอนั้นผมเรียน ป.ตรี ปี 1 ส่วนแฟนเรียนอยู่ ม.5 เราสองคนคบกันเรื่อยมาจนแฟนผมเรียนจบ ม.6 แล้วตัดสินใจมาเรียนที่ มหาวิทยาลัยเดียวกันผมอยู่ปี 3 แฟนเข้ามาปี 1 และแฟนผมตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่บ้านผมเลย แล้วใช้ชีวิตแบบสามีภรรยา
            เราใช้ชีวิตร่วมกันเรื่อยมาจนแฟนผมเรียนปี 3 เธอปล่อยท้องจนมีลูกชายด้วยกัน 1 คน เราสองคน ญาติพี่น้อง ร่วมถึงอาจารย์และผู้ใหญ่หลายท่านเห็นตรงกันว่า ให้แฟนผมหยุดเรียนก่อนเพื่อไปทำงานเก็บเงินตั้งแต่ท้องโต คลอด จนมาถึงช่วงผมเรียนจบและมีงานทำในปี 2559 โดยแฟนผมมีหน้าที่เพียงส่งค่านมไปให้ลูก ส่วนลูกเอาไปฝากพ่อกับแม่ของผมเลี้ยงตั้งแต่หย่านม 3 เดือนหลังคลอด แฟนผมกลับมาเรียนต่อ โดยมีผมเพียงผู้เดียวที่ต้องรับผิดชอบทั้งครอบครัวรวมถึงแฟนผมด้วย ค่าใช้จ่ายในการเรียน ค่าเทอม ค่านมลูก และส่งเสียพ่อแม่ และอื่น ๆ ทุกอย่างผมเป็นคนจ่าย แล้วใช้ชีวิตแบบสามีภรรยาเช่นเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างกำลังไปได้สวย
            ต่อมาผมกับแฟนมีปัญหากันหนักขึ้นจนทะเลาะกันแทบทุกวัน ซึ่งผมไม่รู้ว่าสาเหตุมันคืออะไร ทุก ๆ ครั้งผมจะเป็นฝ่ายถามแฟนว่า (เราทะเลาะอะไรกันเนี่ย) แบบงง ๆ จนมาถึงครั้งที่ทะเลาะกันใหญ่โตถึงกับต้องโทรหาผู้ใหญ่เพื่อให้ห้ามปรามแต่เป็นชนวนระเบิดไปเฉย ๆ เช้าวันรุ้งขึ้นผมตื่นนอนมาพร้อมกับห้องที่มีเพียงผมเพียงคนเดียว แฟนผมยังเรียนไม่จบ เป็นห่วงมาก ติดต่อไม่ได้ ผมไม่รู้ตัวเลยว่า เขาได้หนีผมไปแล้ว ผมเศร้าและเครียดมากอยากให้เขากลับมาเคลียร์ปัญหาก่อนให้จบ แต่เขาก็ไม่ติดต่อมา
            ผ่านไป 1 เดือนเศษเขาติดต่อกลับมา แล้วบอกผมว่าเขาขอเลิกเพราะมีคนใหม่ ผมเสียใจมากแทบจะฆ่าตัวตายเลยด้วยซ้ำ เหมือนวางแผนชีวิตไว้พังหมดเลย แต่สิ่งเดียวที่ทำให้ผมสู้คือ ลูก นั่นเอง ผมกลับไปหาลูกที่ยังไม่รู้ประสาเลย มองหน้าเขาแล้วบอกตัวเองว่า เรายอมแพ้ไม่ได้เขาจะลำบาก อดทนอดกลั้นจนเวลาผ่าน 4 เดือนก็เริ่มที่จะเรียนรู้อยู่คนเดียวได้แล้ว เราเข้มแข็งขึ้นเยอะ
            และแล้วเขาก็ติดต่อกลับมา แฟนผมถามทุกข์สุขธรรมดา แต่ผมถามกลับไปว่า (ชีวิตลำบากใช่มั้ย) แฟนผมตอบใช่ ผมเลยถามว่าต้องการให้ช่วยอะไรมั้ย แน่นอนแฟนผมมาขอความช่วยเหลือ ทั้งค่ากิน ค่าเทอม และค่าใช้จ่ายที่เขาไม่มี เพราะเคยได้จากผม ด้วยควาที่ใจยังตัดไม่ได้ เลยตอบไปว่าจะช่วยแต่ต้องพูดความจริงออกมา อยู่ที่ไหน ไปเรียนบ้างมั้ย คบหากับใครอยู่ แฟนผมบอกทุกอย่าง ผมตามไปหาที่พักของแฟนหลายครั้งแต่เอ๊ะใจนิดนึงว่า หอพักที่เช่าเดือนละเกือบหมื่นบ้านใครเป็นคนจ่าย แฟนผมบอกว่า คนที่เขาคบอยู่เป็นคนจ่าย ทำให้ผมไปหาน้อยลงหรือแทบไม่ไปเลย เพราะกลัวท่าจะไม่ดี
            เราทำแบบนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นชู้ และค่าใช้จ่าย ค่าหอพักน้ำไฟ คนที่คบเริ่มจ่ายไม่ไหว ผมแนะนำแฟนว่าให้เลิกคบแล้วกลับไปอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่กลับมาอยู่ด้วยกันให้กลับไปอยู่บ้านของคนที่เขาคบ เพราะไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายให้แล้ว แฟนผมตัดสินใจกลับไปอยู่บ้านคนที่เขาคบ (ผมไม่รู้เลยว่าเขามีทะเบียนสมรสหรือเปล่า)
            เมื่อแฟนผมตัดสินใจเช่นนั้น ผมเลยปฏิเสธที่จะช่วยเหลือ ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในการเรียน ทำให้ชีวิตของแฟนผมแย่ลงอย่างมาก ถึงขั้นโทรมาบอกว่าหิวข้าวไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ด้วยความห่วงใยที่มีและเงินที่ผมเหลืออยู่น้อยมาก ให้มาหาแล้วผมทำกับข้าวให้กิน แฟนผมนั่งกินทั้งน้ำตา เหมือนจะหิวโซมาก ๆ ผมเห็นแล้วหดหู่ แล้วก็ให้กลับไป
            จากนั้นก็ทำแบบเรื่อยมา จนพักหลัง ๆ เริ่มมาบ่อยขึ้นและค้างคืนที่นี่ ผมกลัวมาก ๆ กลัวคนที่เขาคบอยู่จะมาตามคนรักของเขากลับ ผมเลยถามแฟนผมว่า ถ้าไม่ไหวก็ไปเลิกำกับเขาเถอะ แล้วกลับมาเป็นครอบครัวตามเดิม ไม่งั้นเขาจะมาเอาเรื่องนะ แต่แฟนผมบอกว่า มันไม่มาหลอก ไม่ต้องกลัว  ผมเห็นว่ามันก็จริงอยู่เพเราะกี่ครั้ง ๆ ก็ไม่เคยมีปัญหา แต่ก็ยังคงคิดที่จะหยุดการกระทำนี้
            หลังจากเรียนจบเทอมสุดท้ายแฟนผมไม่ได้จ่ายค่าเทอม ผมไม่มีให้เพราะเอาเงินไปให้ลูกหมดแล้ว เลยตัดสินใจให้เธอขอความช่วยเหลือจากที่บ้าน จนได้เงินมาจ่ายในรูปแบบเงินกู้พี่น้อง แล้วไปมำงานให้พี่น้องเพื่อใช้หนี้ แต่ก็เหมือนกลับไปอยู่บ้านช่วยงานที่บ้านเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก แต่ต้องทำงานให้ทางบ้านถึง 4 เดือน
            เมื่อครบกำหนดแฟนผมติดต่อมาว่า อยากกลับมาหางานทำใน กทม. ผมก็ยังยื่นยันคำเดิมว่า เลิกกับคนที่คบแล้วหรือยัง ถ้ายังจะไม่ช่วยอะไรแล้ว เรียนก็จบแล้ว แฟนผมตอบว่ายังไม่เลิกกัน ผมเลยแนะนำให้กลับไปอยู่บ้านของเขาก่อนแล้วเดี๋ยวช่วยหางานทำให้ จนได้ทำงานตามที่ตั้งใจ แต่ที่พักของผมกับที่ทำงานเธอไม่ไกลมาก แต่บ้านของคนที่เขาคบอยู่ไกลมาก จนทำให้เธออยากมาอยู่กับผมเพื่อเดินทางไปทำงานสะดวก ผมปฏิเสธ แล้วบอกว่า ให้ลองเดินทางดูก่อนสัก 1 – 2 สัปดาห์ ไม่ไหวค่อยมาว่ากันใหม่
            ผ่านไปเพียง 1 สัปดาห์ก็เริ่มเห็นแล้วว่าร่างกายแฟนผมเริ่มทรุดลง เพราะพักผ่อนน้อย จนไม่สบายมาหาผมถึงที่พัก ไข้สูงมากประกอบกับช่วงโควิดมาแรก ๆ ผมมียาป้องและรักษาโควิดเบื้องต้นให้กินก็ดีขึ้นไข้เริ่มลดลง แต่เธอยืนยันว่าขออยู่ต่ออีก 3 วันยังไม่พร้อมจะกลับบ้าน เพราะเพื่อนร่วมงานของเธอติดโควิด ทำให้ที่บ้านของคนที่เธอคบอยู่ไม่ให้อยู่บ้านกลัวว่าจะติดโควิด ผมงงมากไล่กันแบบนี้เลย ตลอด 3 วันที่อยู่กับผมผมดูแลเป็นอย่างดีเพราะตัวผมเองก็ WFH จึงสามารถดูแลได้เต็มที่ หายเป็นปกติตรวจ ATK และพาไปตรวจที่โรงพยาบาล ไม่พบเชื้อ จบภาระกิจกลับบ้านปำได้แล้ว เธอก็ยอมกลับไปแค่วันเดียวแล้วกลับมาใหม่ (อีกแล้ว)
            แต่ก่อนที่เธอจะกลับในอีกวันผมหยิบผลการตรวจมาอ่านดูแล้วคิดว่า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลน่าจะให้ผลมาผิดคนเพราะอ่านชื่อจริงตรงกัน แต่นามสกุลใครหว่า ผมรีบโทรไปหาเธอแล้วถามว่าชื่อของเธอใช่มั้ย เธอตอบใช่และบอกว่าเป็นนามสกุลคนที่คบอยู่ ผมอึ้งไป 1 นาทีพร้อมตัดสายทิ้งปิดเครื่องหนีเลย ผมเสียใจมาก และอีกวันเธอก็มาเยือนพร้อมกับเสื้อผ้าจำนวนนึง ผมปฏิเสธหนักมากไม่เอาแล้ว แต่เธอยืนยันว่าจะไม่ให้เกิดปัญหาแน่นอน
            ผมเป็นคนพิการหูไม่ได้ยินทั้งสองข้าง ก็แอบนอนแต่ไม่หลับคอยดูว่าเธอจะแอบโทรหาใครมั้ย และใช้โทรศัพท์อีกเครื่องเปิดแอปแปลเสียงเป็นตัวอักษรไว้อ่าน พอเช้าผมก็อ่านสิ่งที่แปลได้สรุปคือ ผู้ชายฝั่งนั้นยอมให้มาเพื่อรักษาและบำรุงความสุขของแฟนผมเอง โอ้! นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน มันไม่ควรเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ ผมรีบปลุกแฟนผมแล้วบอกให้กลับไปอยู่บ้านไปเลิกรากันมาก่อน แต่แฟนก็ยืนยันว่าจะอยู่ต่อ รับปากไม่ให้มีปัญหา มีปากเสียงกัน เธอร้องไห้แล้วพูดสิ่งที่เธอเจอในบ้านหลังนั้น ผมพูดไปว่า เราไม่รู้ว่าเป็นแบบนั้นจริงมั้ย เพราะไม่ได้อยู่ด้วย ไม่ขอออกความเห็นใด ๆ คนในบ้านเดียวกันอยู่ด้วยกันควรจะคุยกันได้ ไม่ใช่มาพูดให้คนนอกบ้านฟังแบบนี้ เลยถามเรื่องทะเบียนสมรสได้จดมั้ย ถ้าจดจะไม่ให้อยู่ เธออบอกแค่เปลี่ยนนามสกุล ผมไม่รู้จะไปถามใคร หูก็ไม่ได้ยิน คุยกับใครก็ไม่ได้ เลยให้โทรไปหาผู้ชายคนนั้นแล้วยืนยันหน่อยว่ามันยังไงกัน ผู้ชายคนนั้นรับปากจะไม่มาวุ่นวาย ผมไม่เข้าใจเลยสักนิด นี่มันบ้าชัด ๆ แต่เพราะรักและยังหวังเล็ก ๆ ว่าจะได้ครอบครัวกลับมาพร้อมหน้าอีกครั้ง ก็เลยตกลงงั้นอยู่ที่นี่ไปก่อน แต่ผมก็พูดไว้ว่าจซื้อบ้านอยู่จะไม่อยู่ที่นี่ตลอดไป ฉะนั้นให้เตรียมใจไว้เหลือเวลาไม่มากแล้ว
            ผ่านไปเกือบ 1 ปีไม่มีปัญหาอะไรเลย แฟนผมก็ไป ๆ มา ๆ ที่พักของผมและที่บ้านของผู้ชายคนนั้น แต่ส่วนใหญ่อยู่กับผมมากกว่าเพราะสะดวกเดินทางไปทำงาน จนผมเริ่มต้นแผนซื้อบ้านและจะหนีแล้ว ไม่เอาแล้วชีวิตแบบนี้
            ยกที่ 1 เริ่มขึ้น ผมเริ่มจากการเปิดประเด็นเรื่องเลิกกับผู้ชายคนนั้น ถ้าไม่เลิกจะไม่ให้ตามไปอยู่บ้านใหม่ ส่วนเรื่องลูกเราไม่ได้กีดกะน และจะไม่ช่วยเหลือหรือมายุ้งเกี่ยวแล้วก็จะปล่อยไป (เลิกลา) เพราะเรียนจบมีงานทำแล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้วเธอก็บอกว่าจะไปคุยกับผู้ชายคนนั้น เพื่อจะเลิกกันแต่ก็ไม่ได้ความ จนมีปากเสียงกัน เธอบอกผมว่าจะขอกลับไปเคลียร์ที่บ้าน 3 วันผ่านไป กลับมาก็ไม่ได้ความอีก แต่ที่ได้กลับมาคือมาสารภาพว่า จดทะเบียนสมรสกันแล้วเขาไม่ยอมหย่า ผมอึ้งไปเลย บรรลัยแน่เลยชีวิต เลยบอกเธอไปว่า ให้เก็บเสื้อผ้า ของใช้กลับไปให้หมดไม่ให้อยู่ เธอไม่พอใจบอกว่า เดี๋ยวพรุ้งนี้มาเก็บของแล้วก็เดินออกไปจากพี่พักของผม ข้ามวัน เธอกลับมาพร้อมบอกว่า คุยกันเองว่าจะให้หย่าโดยเธอโทรหาผสามีของเธอ ผมงงมาก ๆ บ้าไปแล้ว ผมเลยพูดไปว่า จะหย่ากันก็ไปคุยกันเอง จะกลับมาอยู่กับกูไอ้นั่นไม่เกี่ยวไม่มีสิทธิ์มาคุย ส่วนผู้ชายคนนั้นให้ผมรับปากว่า จะไม่ด่า ไม่ทะเลาะ ห้ามมีปัญหากับเมียของเขา ถ้าผิดสัญญาจะให้เลิกกัน (โอ้! นี่มันบ้าบอชัด ๆ) ผมเลยตอบกลับไปเลยว่า กูไม่จำเป็นต้องรับปาก นี่มันชีวิตคู่ถ้าไม่โอเคก็ไม่ต้องกลับมา กูไม่เอาแล้ว เอากลับไปเถอะ ส่วนแฟนผมก็พูดว่า แค่รับปากทำไม่ได้หรอ ผมสวนกลับทันที กูสัญญาแค่ กูจะดูแลกับลูกให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้กูจะทำได้ แต่กูจะไม่รับปากบ้าบออะไรนี่เลย ถ้าไม่โอเคเชิญกลับไปได้เลย สามีก็เลยบอกว่าจะฟ้องคนยุให้หย่า ผมเลยบอกว่างั้นกลับไปเลย ไปให้หมดเก็บของไปด้วยไม่ให้อยู่ที่นี่แล้ว แล้วเธอก็เก็บข้าวของเสื้อผ้ากลับไปทั้งหมด ผมรู้สึกเสียใจและงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น นี่มันบ้าบออะไรเนี่ย แล้วเธอก็หายไป 3 วัน
            ยกที่ 2 เริ่มขึ้น หลังหายไป 3 กลับมาปรึกษาบอกว่าอยากเปลี่ยนงาน ผมปฏิเสธทันที ไม่ช่วยแล้ว แต่ก็มาขอร้องให้ช่วย เลยบอกว่า ค้างที่นี่ไม่ได้นะ ถ้าจะใช้คอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ตหางาน ใช้ไปเสร็จแล้วก็กลับบ้านไปนะ แล้วก็ได้งานที่ใหม่วิเคราะห์แล้วทั้งที่บ้านและที่พักของผมก็ไกลเหมือนกัน แต่ที่พักของผมก็ยังไกล้กว่าอยู่ดี ก็เริ่มวนมาแบบเดิมแต่ผมไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมบอกว่าให้ไปเลิกรากันให้เรียบร้อยก่อนค่อยมาใหม่ เธอกลับไปเคลียร์แล้วกลับมาบอกว่า เขาไม่ยอมหย่าแต่จะไม่กลับไปที่บ้านนั้นอีกแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจแต่ในใจคิดว่าถ้าเรื่องซื้อบ้านเสร็จจะทิ้งให้เขาอยู่ที่หอพักของผมไปคนเดียวเลย อยากอยู่นักให้อยู่ไปเลย แต่ผมไม่อยู่ด้วยแล้วตามสบาย จากนั้น 2 เดือนผ่านไปผมสามารถซื้อบ้านได้ เลยบอกกะบแฟนผม(เมียเขา)ไปว่า จะคืนห้องให้กับหอและเปลี่ยนชื่อคนเช่าเป็นแฟนของผมแทน และจะไม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายใด ๆ ไม่มาอยู่ด้วยแล้วจะไปอยู่บ้านที่ซื้อใหม่และพาลูกชาย พ่อแม่กลับมาดูแลที่บ้านหลังนี้ ส่วนเธอจะตามมาขอให้ไปทำเรื่องหย่ากันให้เรียบร้อย ถ้าไม่มีใบหย่ามาจะไม่ให้มาอยู่ที่บ้านใหม่อย่างแน่นอน
            แล้วนี่คือชนวนเหตุแห่งการฟ้องร้อง(ชู้ ก็คือผม) เพราะแฟนผม(เมียเขา) ต้องการหย่ากับสามี เพื่อกลับมาอยู่กับลูกที่บ้านหลังใหม่นี้ ทำให้สามีของเธอผิดหวังที่คิดว่าเธอจะเลือกสามี แต่กลับจะขอหย่าแทน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่