อยากรู้ว่า หน้าตาของนาง ที่ว่าอัปลักษณ์ในตอนนั้น จะเป็นแบบไหน?
ที่แน่ๆคือคำว่าอัปลักษณ์ไม่ได้แปลว่าน่าเกลียดอย่างแน่นอน เพราะคงเป็นเพียงไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมนิยมในสมัยนั้น ซึ่งยุคฮั่น ความงามคงต้องเป็น อ้อนแอ้น ผมดำ ตาดำ ตาเรียวเล็ก ผิวขาว ดังนั้นจากลักษณะของนางที่บรรยายเอาไว้
ตาสีฟ้า ผิวสีเข้ม ผมสีเหลือง บวกกับคำว่า"อัปลักษณ์" ที่ถ้าจะตีวามให้สุดๆก็คงไม่ใช่ผู้หญิงอ้อนแอ้น แต่สูงใหญ่ โครงร่างดูกว้างแกร่ง
ถ้าจะเอาไปบวกกับสภาพสังคมในยุคนั้นที่มี"คนนอกด่าน" มาผสมปันเปกับเมืองชายขอบด้วยการทำการค้า การเข้ามามีบทบาทของนักรบนอกด่าน หรือแม้แต่ การหลงเหลือสายพันธุ์ของชาวนอกด่านซ่อนอยู่ในตัวตั้งแต่ยุคชุนชิวโน่น ก็คงแปลได้ไม่ยากว่า นางน่าจะเป็น ลูกเต้าเหล่ากอของบ้านบัณฆิตหวง ที่ร่ำรวยทั้งทรัพย์และลือเลื่องด้านความฉลาด แต่ไม่ดังเท่า การมีลูกสาวอัปลักษณ์
ถ้าบ้านพ่อนางรวย ไม่ได้รับราชการเป็นขุนนางตำแหน่งใดๆ ก็แปลว่า บ้านนี้เป็น"พ่อค้า" ที่ร่ำรวยจากการทำการค้าขายกับคาราวานของคอนนอกด่าน ซึ่งอาจจะได้แม่ของนางมาเป็นภรรยา จะภรรยาน้อย หรือหลวงก็ตามแต่ ส่วนแม่นางภรรยาก็ไม่รู้ว่าเป็นสายพันธุ์นอกด่านขนานแท้หรือลูกครึ่งอีกทีก็ยากจะเดาได้
แต่ถ้ามาลองดูว่า ราชวงศ์ฮั่นค้าขายกับใครนอกด่านบ้าง? แน่นอนว่าคงจะค้าขายกับผู้คนมากมายหลายเผ่าอย่างมากและยากจะเดาได้ว่าจะเป็นพวกไหน บ้างก็มองขึ้นไปที่ตะวันตกเฉียงเหนือ แต่พอไปค้นๆดูไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกับเส้นทางสายไหม พบว่าช่วง ศตวรรษที่ 1 นี่เองที่เป็นจุดรุ่งเรือง ก่อกำเนิดอาณาจักร Kushan ที่มีอิทธิพลครองพื้นที่แถบอินเดียวในปัจจุบันเอาไว้ได้ โดยเรียกกันง่ายๆว่า ทางตะวันออกมีฮั่น ตะวันตกมีโรมัน ตรงกลาง คือแผ่นดินของ Kushan นั่นเอง ซึ่งก็คาดเดาว่า สินค้าสำคัญอย่างหนึ่งที่เริ่มต้นผลิตได้ในละแวกนี้ ช่วงเวลานั้นก็คือ "น้ำตาลอ้อย" นั่นเอง โดยคาดว่าถูกคิดค้นขึ้นที่ตอนเหนือของอินเดียว และถูกค้าขายกระจายออกไปทั้งตะวันตกและตะวันออกอย่างรวดเร็ว
ทีนี้ต้องมาดู"สตรี"ใน Kushan กันสักหน่อย ว่าหน้าตา ทรวดทรงองค์เอวนางจะเ)็นอย่างไร จากประติมากรรมหินทรายที่ค้นพบ เป็นศิลปะแบบ Kushan ในช่วงเวลาศตวรรษแรก (ปลายราชวงศ์ฮั่น ก่อนสามก๊กราวร้อยปี) เห็นได้ชัดเลยว่า สตรีแถวนั้น สะท้อนลักษณะของ "เนื้อนมไข่" อวบอัดชัดเจนมาก ผมคงไม่ต้องอธิบายนะครับว่าอย่างไร
ดังนั้น ถ้าจะเดากันเล่นๆต่อไปว่า นี่อาจจะเป็นลักษณะทางกายภาพมาตรฐานของเหล่าสาว Kushan สนุกๆล่ะจะเป็นยังไง?
ต่อมา ลองมาดูเสื้อผ้า หน้าผมกันหน่อยครับ
ภาพข้างล่าข้างล่างขวา คือภาพเขียนแสดงถึงเสื้อผ้า หน้าผม ของสตรี Kushan ที่ดูเหมือนจะได้รับการผสมผสานทางวัฒนธรรมมากกว่าเดิม เฉกเช่นเดียวกับศิลปะที่ได้รับอิทธิพลมาจากกรีกและโรมันอย่างสังเกตุได้
แต่สิ่งที่ยังคงสงสัยก็คือ "หน้าตา" ของแม่นาง จะออกมาอย่างไร? จะเป็นสาวแขกผสมจีนจริงหรือไม่
ย้อนกลับไปที่ความสัมพันธ์ระวห่าง Kushan กับฮั่นสักนิดครับ เพื่อจะดูว่า เป็นไปได้ขนาดไหนที่ สตรี Kushan จะมาเป็นเมียของคนจีนฮั่นสักคน เพราะการรับเอาคนนอกด่านมาเป็นเมีย จนมีลูกสาวแล้วยกลูกสาวให้กับไอ้หนุ่มดาวรุ่งมาแรงแห่งหมู่บ้าน มันดูแปลกๆนิดๆ
Kushan นอกจากจะค้าขายเชื่อมโยงกับจีนฮั่นและตะวันตกไปจนถึงโรมันแล้ว พวกเค้ายังนำเอาพุทธศาสนาเดินทางไปด้วย ในคาราวานบ่อยครั้งก็จะมีนักบวชอยู่ในนั้น และหลายๆคาราวาน ก็เป็นคาราวานของขุนนาง เจ้าเมือง ที่ร่ำรวย หรือเรียกกันอีกอย่างว่า "คาราวานหลวง" ดังนั้นมองให้ดีๆมันก็คือ "กองร้อย" ย่อมๆที่มีครบถ้วนทั้งสินค้า นักบวช นักการฆูตถือเอาเอกสารสำคัญมาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ และจะยิ่งไม่แปลกใจเลยว่า พวก Kushan เองก็อาจมีชาติพันธุ์ผสมผสานอยู่ในตัวด้วยไม่มากก็น้อย
"ซ่งหนู" ที่ถูกเรียกจากชาวฮั่นนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งศัตรูที่ -ษีห้ฟื - ต่อกรด้วยและสามารถขับไล่พวกเค้าออกจากเส้นทางการค้าได้สำเร็จ ทำให้เส้นทางนี้ปลอดภัย อยู่ภายใต้อิทธิพลของตนเอง ก็แปลว่า Kushan มีปฎิสัมพันธ์กับซ่งหนู มายาวนานก่อนหน้านั้น แถมยังสามารถค้าขายกับโรม แม้ว่าอาจจะไม่ได้โดยตรงแต่ก็ผ่านเมืองภายใต้อิทธิพลของโรมในแถบตะวันออก ถ้าเราจะนึกภาพขบวนคาราวานหลวง ที่ใช้นักรบชั้นยอด นักบวช และเจ้าหน้าที่ข้าหลวงชั้นสูงที่เติบโตจากการเป็นพ่อค้ามาหลายชั่วอายุคน ก็เชื่อได้ไม่ยากว่า ขบวนการค้าแบบนี้ จะเป็นกองร้อยผสม
แล้วมันจะแปลกอะไรครับ หาก เจ้าของคาราวานนั้น จะร่ำรวยยิ่งใหญ่พอที่จะมีนางสักคนเป็นภรรยาซึ่งมีสายเลือดผสมกันไปมาระหว่าง อินเดียว เปอร์เซีย ไปจนถึงพวกยุโรปตะวันออกแถบเมดิเตอเรเนียนบางๆในนั้น เอาง่ายๆเลยว่า ได้เชื้อตุรกีมาบางๆก็มีแววจะออกฝรั่งกันได้แล้ว
จากจิ๊กซอว์ที่มโนร้อยเรียงมานี้ ขบวนคาราวานหลวงจาก Kushan ที่เดินทางมาพร้อมข้าหลวงใหญ่ เมื่อมาถึงชายแดนฮั่น ได้สิทธิในการเข้าสู่ตลาดการค้าขายแลกเปลี่ยน และแน่นอนว่า คงไม่ได้นอนกระโจมซอมซ่อ หรือ ซุกหัวในตลาดอย่างพ่อค้าเร่ข้ามทะเลทรายหรอกครับ ขบวนการค้าใหญ่ที่มาพร้อมนักบวช สินค้าคือน้ำตาลอ้อยอันล้ำค่า เชื่อมโยงสินค้าจากฝั่งเมดิเตอเรเนียนสู่ตะวันออกไกลเช่นนี้ น่าจะมีปัญญาในการสร้างคฤหาสน์อยู่สบายๆในเมืองชายแดนการค้านั้นนั่นเอง รวมถึงกองทหารผสมที่มาด้วย ก็คงได้สิทธิในการเข้าพำนักแถวๆนั้นระหว่างพักขบวน ก่อนเดินทางกลับ
มาถึงจุดนี้ถ้าจะจิ้นว่า แม่ของนางเยว่อิง เกิดจากทหารนอกด่านที่คุมคาราวานมาปั๊มกับหญิงแถวนั้น -ใใ- มันก็ได้ครับแต่เรื่องราวมันไม่สวยงาม และ ดูไม่ค่อยสมเหตุผลที่ พ่อหวง จะรับนางมาเป็นภริยาอีกด้วย
ดังนั้น ลองนึกภาพกันว่า ลูกสาวของข้าหลวงการค้าหลวงคนหนึ่ง ที่เดินทางมากับพ่อ หรือแม้แต่ นางเกิดที่นี่แหละ ในช่วงพักกองคาราวานที่คงอยู่กันเป็นแรมเดือน หรือแรมปี นางจึงเกิดและเติบโตมาในสังคมชาวฮั่น แต่ก็ยังมีศักดิ์ศรี มีการศึกษา อ่านตำราออกทั้งของฮั่นและภาษานอกด่าน ถ้าเกิดมาเป็นลูกหญิงงามเมือง หรือ เมียทาส นางคงไม่ได้มีโอกาสดีขนาดนั้นแน่นอน จริงมั้ยครับ
และนี่เอง คือ จุดที่ทำให้ พ่อหวง ของเราได้พบกับ สตรีหน้าแปลกนางหนึ่งที่เมืองชายแดนการค้านี้ หรือจะเป็นเมื่อ แม่นางคนนี้ เดินทางเข้ามายังภาคกลางของจีนพร้อมกับขบวนสินค้า เพื่อทำหน้าที่สื่อกลางในการสื่อสารก็อาจเป็นไปได้ เอาเป็นว่า เค้าเจอกันนั่นแหละครับ แล้วพ่อหวงคงปิ๊งวในอะไรสักอย่าง อาจจะเป็น ความมั่งคั่งจากโอกาสทางการค้าก็เป็นได้ แต่สุดท้ายคือ นางก็มาเป็นเมียของ พ่อหวง บัณฆิตหนุ่มผู้ทำการค้าจนมั่งคั่ง แล้วอพยบหนีภัยสงครามภาคกลางมาตั้งรกรากแถบภูเขาโงลังกั๋งนี้ในที่สุด
ดังนั้น จากมโนนี้ แม่นางเยว่อิง จะมีความเป็นลูกเสี้ยวในตัวเยอะมากๆ ถ้าจะเรียกว่าพันธุ์ทางก็คงไม่ผิดอะไร เพราะ แม่ของนางก็คงเป็น -ษีห้ฟื -แบบปนๆกันมาตามสไตล์ของอาณาจักรนี้ที่มีความผสมผสานในตัวเอง ตาสีฟ้าคงได้มาจากชาติพันธุ์เปอร์เซียในตัว ผิวสีเข้มก็เช่นกัน แต่ผมสีเหลืองนั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่คาใจผมมากครับ เพราะ อย่างไรก็ตาม แถบบริเวณ Kushan ไม่ได้มีลักษณะเด่นของ เส้นผมสีอ่อนเลย หาภาพเขียนหรือบันทึกเก่าๆที่พูดถึงก็ไม่มี งานประติมากรรมก็ไม่มีสี และที่ภาพเขียนก็เป็นผมสีดำเสียส่วนมาก
ตอนนี้ เราปลดล็อกจินตนาการกันได้แล้วก็คือ ดวงตา สีฟ้า เป็นไปได้ หาไม่ยาก สีผิวเข้ม นึกไม่ยากและเห็นภาพตรงกัน รูปร่าง โครงสร้างร่างกาย ก็คิดว่าน่าจะเห็นภาพคล้ายๆกันก็คือ ไหล่กว้าง อวบอิ่มเนื้อนมไข่เต็มไม้เต็มมือ ใบหน้ากลม เหลือแค่ ใส่เส้นผมสีเหลืองเข้าไปเท่านั้น ซึ่งลักษณะแฟชั่นการแต่งกายที่มองกันว่านา่งคงแต่งตัวเป็นสาวนอกด่านนั้น ผมกลับคิดว่า นางน่าจะแต่งตัวเป็นชาวฮั่นเต็มตัว พ่อนางคงไม่สนับสนุนให้นางแต่งกายเป็นชาวนอกด่านแน่แท้ นางอ่านหนังสือจีนออกอ่างแน่นอน แต่ก็อ่านตำราตะวันตกได้ด้วย จนมีบทบาทช่วยด้านการสร้างสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลาย ก็แปลว่า แม่นางยังคงอ่านภาษาอื่นๆได้ การอ่านภาษาอื่นๆได้เท่ากับ นางยังคงรับทั้งศิลป์และข่าวสารจากบันทึกต่างๆของนอกด่านได้ อัตลักษณ์์บางอย่างของหญิงนอกด่าน ก็คงถูกเก็บไว้บ้าง ซ่อนอยู่ในความเป็นกุลสตรีชาวฮั่นตามแบบแผนนิยมนั่นเอง
`
ทั้งหมดนี้ก็เป็นการมโนเล่นๆนะครับ น้ำอีกรอบ
แล้วคุณคิดว่า แม่นาง เยว่อิง ภรรยาของพี่ จูกัดเหลียงของเราจะมีหน้าตาอ่างไร?
หน้าตาของภรรยาขงเบ้ง หวง เย่วอิง ??
ที่แน่ๆคือคำว่าอัปลักษณ์ไม่ได้แปลว่าน่าเกลียดอย่างแน่นอน เพราะคงเป็นเพียงไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมนิยมในสมัยนั้น ซึ่งยุคฮั่น ความงามคงต้องเป็น อ้อนแอ้น ผมดำ ตาดำ ตาเรียวเล็ก ผิวขาว ดังนั้นจากลักษณะของนางที่บรรยายเอาไว้
ตาสีฟ้า ผิวสีเข้ม ผมสีเหลือง บวกกับคำว่า"อัปลักษณ์" ที่ถ้าจะตีวามให้สุดๆก็คงไม่ใช่ผู้หญิงอ้อนแอ้น แต่สูงใหญ่ โครงร่างดูกว้างแกร่ง
ถ้าจะเอาไปบวกกับสภาพสังคมในยุคนั้นที่มี"คนนอกด่าน" มาผสมปันเปกับเมืองชายขอบด้วยการทำการค้า การเข้ามามีบทบาทของนักรบนอกด่าน หรือแม้แต่ การหลงเหลือสายพันธุ์ของชาวนอกด่านซ่อนอยู่ในตัวตั้งแต่ยุคชุนชิวโน่น ก็คงแปลได้ไม่ยากว่า นางน่าจะเป็น ลูกเต้าเหล่ากอของบ้านบัณฆิตหวง ที่ร่ำรวยทั้งทรัพย์และลือเลื่องด้านความฉลาด แต่ไม่ดังเท่า การมีลูกสาวอัปลักษณ์
ถ้าบ้านพ่อนางรวย ไม่ได้รับราชการเป็นขุนนางตำแหน่งใดๆ ก็แปลว่า บ้านนี้เป็น"พ่อค้า" ที่ร่ำรวยจากการทำการค้าขายกับคาราวานของคอนนอกด่าน ซึ่งอาจจะได้แม่ของนางมาเป็นภรรยา จะภรรยาน้อย หรือหลวงก็ตามแต่ ส่วนแม่นางภรรยาก็ไม่รู้ว่าเป็นสายพันธุ์นอกด่านขนานแท้หรือลูกครึ่งอีกทีก็ยากจะเดาได้
แต่ถ้ามาลองดูว่า ราชวงศ์ฮั่นค้าขายกับใครนอกด่านบ้าง? แน่นอนว่าคงจะค้าขายกับผู้คนมากมายหลายเผ่าอย่างมากและยากจะเดาได้ว่าจะเป็นพวกไหน บ้างก็มองขึ้นไปที่ตะวันตกเฉียงเหนือ แต่พอไปค้นๆดูไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกับเส้นทางสายไหม พบว่าช่วง ศตวรรษที่ 1 นี่เองที่เป็นจุดรุ่งเรือง ก่อกำเนิดอาณาจักร Kushan ที่มีอิทธิพลครองพื้นที่แถบอินเดียวในปัจจุบันเอาไว้ได้ โดยเรียกกันง่ายๆว่า ทางตะวันออกมีฮั่น ตะวันตกมีโรมัน ตรงกลาง คือแผ่นดินของ Kushan นั่นเอง ซึ่งก็คาดเดาว่า สินค้าสำคัญอย่างหนึ่งที่เริ่มต้นผลิตได้ในละแวกนี้ ช่วงเวลานั้นก็คือ "น้ำตาลอ้อย" นั่นเอง โดยคาดว่าถูกคิดค้นขึ้นที่ตอนเหนือของอินเดียว และถูกค้าขายกระจายออกไปทั้งตะวันตกและตะวันออกอย่างรวดเร็ว
ทีนี้ต้องมาดู"สตรี"ใน Kushan กันสักหน่อย ว่าหน้าตา ทรวดทรงองค์เอวนางจะเ)็นอย่างไร จากประติมากรรมหินทรายที่ค้นพบ เป็นศิลปะแบบ Kushan ในช่วงเวลาศตวรรษแรก (ปลายราชวงศ์ฮั่น ก่อนสามก๊กราวร้อยปี) เห็นได้ชัดเลยว่า สตรีแถวนั้น สะท้อนลักษณะของ "เนื้อนมไข่" อวบอัดชัดเจนมาก ผมคงไม่ต้องอธิบายนะครับว่าอย่างไร
ดังนั้น ถ้าจะเดากันเล่นๆต่อไปว่า นี่อาจจะเป็นลักษณะทางกายภาพมาตรฐานของเหล่าสาว Kushan สนุกๆล่ะจะเป็นยังไง?
ต่อมา ลองมาดูเสื้อผ้า หน้าผมกันหน่อยครับ
ภาพข้างล่าข้างล่างขวา คือภาพเขียนแสดงถึงเสื้อผ้า หน้าผม ของสตรี Kushan ที่ดูเหมือนจะได้รับการผสมผสานทางวัฒนธรรมมากกว่าเดิม เฉกเช่นเดียวกับศิลปะที่ได้รับอิทธิพลมาจากกรีกและโรมันอย่างสังเกตุได้
แต่สิ่งที่ยังคงสงสัยก็คือ "หน้าตา" ของแม่นาง จะออกมาอย่างไร? จะเป็นสาวแขกผสมจีนจริงหรือไม่
ย้อนกลับไปที่ความสัมพันธ์ระวห่าง Kushan กับฮั่นสักนิดครับ เพื่อจะดูว่า เป็นไปได้ขนาดไหนที่ สตรี Kushan จะมาเป็นเมียของคนจีนฮั่นสักคน เพราะการรับเอาคนนอกด่านมาเป็นเมีย จนมีลูกสาวแล้วยกลูกสาวให้กับไอ้หนุ่มดาวรุ่งมาแรงแห่งหมู่บ้าน มันดูแปลกๆนิดๆ
Kushan นอกจากจะค้าขายเชื่อมโยงกับจีนฮั่นและตะวันตกไปจนถึงโรมันแล้ว พวกเค้ายังนำเอาพุทธศาสนาเดินทางไปด้วย ในคาราวานบ่อยครั้งก็จะมีนักบวชอยู่ในนั้น และหลายๆคาราวาน ก็เป็นคาราวานของขุนนาง เจ้าเมือง ที่ร่ำรวย หรือเรียกกันอีกอย่างว่า "คาราวานหลวง" ดังนั้นมองให้ดีๆมันก็คือ "กองร้อย" ย่อมๆที่มีครบถ้วนทั้งสินค้า นักบวช นักการฆูตถือเอาเอกสารสำคัญมาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้ และจะยิ่งไม่แปลกใจเลยว่า พวก Kushan เองก็อาจมีชาติพันธุ์ผสมผสานอยู่ในตัวด้วยไม่มากก็น้อย
"ซ่งหนู" ที่ถูกเรียกจากชาวฮั่นนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งศัตรูที่ -ษีห้ฟื - ต่อกรด้วยและสามารถขับไล่พวกเค้าออกจากเส้นทางการค้าได้สำเร็จ ทำให้เส้นทางนี้ปลอดภัย อยู่ภายใต้อิทธิพลของตนเอง ก็แปลว่า Kushan มีปฎิสัมพันธ์กับซ่งหนู มายาวนานก่อนหน้านั้น แถมยังสามารถค้าขายกับโรม แม้ว่าอาจจะไม่ได้โดยตรงแต่ก็ผ่านเมืองภายใต้อิทธิพลของโรมในแถบตะวันออก ถ้าเราจะนึกภาพขบวนคาราวานหลวง ที่ใช้นักรบชั้นยอด นักบวช และเจ้าหน้าที่ข้าหลวงชั้นสูงที่เติบโตจากการเป็นพ่อค้ามาหลายชั่วอายุคน ก็เชื่อได้ไม่ยากว่า ขบวนการค้าแบบนี้ จะเป็นกองร้อยผสม
แล้วมันจะแปลกอะไรครับ หาก เจ้าของคาราวานนั้น จะร่ำรวยยิ่งใหญ่พอที่จะมีนางสักคนเป็นภรรยาซึ่งมีสายเลือดผสมกันไปมาระหว่าง อินเดียว เปอร์เซีย ไปจนถึงพวกยุโรปตะวันออกแถบเมดิเตอเรเนียนบางๆในนั้น เอาง่ายๆเลยว่า ได้เชื้อตุรกีมาบางๆก็มีแววจะออกฝรั่งกันได้แล้ว
จากจิ๊กซอว์ที่มโนร้อยเรียงมานี้ ขบวนคาราวานหลวงจาก Kushan ที่เดินทางมาพร้อมข้าหลวงใหญ่ เมื่อมาถึงชายแดนฮั่น ได้สิทธิในการเข้าสู่ตลาดการค้าขายแลกเปลี่ยน และแน่นอนว่า คงไม่ได้นอนกระโจมซอมซ่อ หรือ ซุกหัวในตลาดอย่างพ่อค้าเร่ข้ามทะเลทรายหรอกครับ ขบวนการค้าใหญ่ที่มาพร้อมนักบวช สินค้าคือน้ำตาลอ้อยอันล้ำค่า เชื่อมโยงสินค้าจากฝั่งเมดิเตอเรเนียนสู่ตะวันออกไกลเช่นนี้ น่าจะมีปัญญาในการสร้างคฤหาสน์อยู่สบายๆในเมืองชายแดนการค้านั้นนั่นเอง รวมถึงกองทหารผสมที่มาด้วย ก็คงได้สิทธิในการเข้าพำนักแถวๆนั้นระหว่างพักขบวน ก่อนเดินทางกลับ
มาถึงจุดนี้ถ้าจะจิ้นว่า แม่ของนางเยว่อิง เกิดจากทหารนอกด่านที่คุมคาราวานมาปั๊มกับหญิงแถวนั้น -ใใ- มันก็ได้ครับแต่เรื่องราวมันไม่สวยงาม และ ดูไม่ค่อยสมเหตุผลที่ พ่อหวง จะรับนางมาเป็นภริยาอีกด้วย
ดังนั้น ลองนึกภาพกันว่า ลูกสาวของข้าหลวงการค้าหลวงคนหนึ่ง ที่เดินทางมากับพ่อ หรือแม้แต่ นางเกิดที่นี่แหละ ในช่วงพักกองคาราวานที่คงอยู่กันเป็นแรมเดือน หรือแรมปี นางจึงเกิดและเติบโตมาในสังคมชาวฮั่น แต่ก็ยังมีศักดิ์ศรี มีการศึกษา อ่านตำราออกทั้งของฮั่นและภาษานอกด่าน ถ้าเกิดมาเป็นลูกหญิงงามเมือง หรือ เมียทาส นางคงไม่ได้มีโอกาสดีขนาดนั้นแน่นอน จริงมั้ยครับ
และนี่เอง คือ จุดที่ทำให้ พ่อหวง ของเราได้พบกับ สตรีหน้าแปลกนางหนึ่งที่เมืองชายแดนการค้านี้ หรือจะเป็นเมื่อ แม่นางคนนี้ เดินทางเข้ามายังภาคกลางของจีนพร้อมกับขบวนสินค้า เพื่อทำหน้าที่สื่อกลางในการสื่อสารก็อาจเป็นไปได้ เอาเป็นว่า เค้าเจอกันนั่นแหละครับ แล้วพ่อหวงคงปิ๊งวในอะไรสักอย่าง อาจจะเป็น ความมั่งคั่งจากโอกาสทางการค้าก็เป็นได้ แต่สุดท้ายคือ นางก็มาเป็นเมียของ พ่อหวง บัณฆิตหนุ่มผู้ทำการค้าจนมั่งคั่ง แล้วอพยบหนีภัยสงครามภาคกลางมาตั้งรกรากแถบภูเขาโงลังกั๋งนี้ในที่สุด
ดังนั้น จากมโนนี้ แม่นางเยว่อิง จะมีความเป็นลูกเสี้ยวในตัวเยอะมากๆ ถ้าจะเรียกว่าพันธุ์ทางก็คงไม่ผิดอะไร เพราะ แม่ของนางก็คงเป็น -ษีห้ฟื -แบบปนๆกันมาตามสไตล์ของอาณาจักรนี้ที่มีความผสมผสานในตัวเอง ตาสีฟ้าคงได้มาจากชาติพันธุ์เปอร์เซียในตัว ผิวสีเข้มก็เช่นกัน แต่ผมสีเหลืองนั้น เป็นสิ่งหนึ่งที่คาใจผมมากครับ เพราะ อย่างไรก็ตาม แถบบริเวณ Kushan ไม่ได้มีลักษณะเด่นของ เส้นผมสีอ่อนเลย หาภาพเขียนหรือบันทึกเก่าๆที่พูดถึงก็ไม่มี งานประติมากรรมก็ไม่มีสี และที่ภาพเขียนก็เป็นผมสีดำเสียส่วนมาก
ตอนนี้ เราปลดล็อกจินตนาการกันได้แล้วก็คือ ดวงตา สีฟ้า เป็นไปได้ หาไม่ยาก สีผิวเข้ม นึกไม่ยากและเห็นภาพตรงกัน รูปร่าง โครงสร้างร่างกาย ก็คิดว่าน่าจะเห็นภาพคล้ายๆกันก็คือ ไหล่กว้าง อวบอิ่มเนื้อนมไข่เต็มไม้เต็มมือ ใบหน้ากลม เหลือแค่ ใส่เส้นผมสีเหลืองเข้าไปเท่านั้น ซึ่งลักษณะแฟชั่นการแต่งกายที่มองกันว่านา่งคงแต่งตัวเป็นสาวนอกด่านนั้น ผมกลับคิดว่า นางน่าจะแต่งตัวเป็นชาวฮั่นเต็มตัว พ่อนางคงไม่สนับสนุนให้นางแต่งกายเป็นชาวนอกด่านแน่แท้ นางอ่านหนังสือจีนออกอ่างแน่นอน แต่ก็อ่านตำราตะวันตกได้ด้วย จนมีบทบาทช่วยด้านการสร้างสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลาย ก็แปลว่า แม่นางยังคงอ่านภาษาอื่นๆได้ การอ่านภาษาอื่นๆได้เท่ากับ นางยังคงรับทั้งศิลป์และข่าวสารจากบันทึกต่างๆของนอกด่านได้ อัตลักษณ์์บางอย่างของหญิงนอกด่าน ก็คงถูกเก็บไว้บ้าง ซ่อนอยู่ในความเป็นกุลสตรีชาวฮั่นตามแบบแผนนิยมนั่นเอง
`
ทั้งหมดนี้ก็เป็นการมโนเล่นๆนะครับ น้ำอีกรอบ
แล้วคุณคิดว่า แม่นาง เยว่อิง ภรรยาของพี่ จูกัดเหลียงของเราจะมีหน้าตาอ่างไร?