GOAL พาคุณเจาะลึกสไตล์การเล่นของกุนซือเยอรมันที่สร้างผลงานไร้เทียมทานกับ
ทัพหงส์แดง และผลงานจากกุนซืออีกหลายสโมสร
ในโลกแห่งฟุตบอลมีปรัชญาฟุตบอลมากมายหลายแขนง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็มีการคิดค้น พัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ นานา มาปรับใช้ เพื่อผลงานที่ตอบโจทย์ในสนามตามยุคสมัย
เกเก้นเพรสซิ่ง เป็นสไตล์การเล่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสไตล์หนึ่งในยุคนี้ โดยมีหลายทีมในเยอรมนีและอังกฤษ ที่นำมาปรับใช้เข้ากับแนวทางการเล่นของตัวเอง
แล้วอะไรคือ เกเก้นเพรสซิ่ง, ใครเป็นผู้คิดค้น และทีมไหนบ้างที่ใช้? GOAL จะพาคุณไปชมทุกอย่างที่คุณต้องรู้
อะไรคือเกเก้นเพรสซิ่ง & แท็กติคทำงานอย่างไร?
เกเก้นเพรสซิ่ง เป็นภาษาเยอรมันที่แปลว่า ‘
เคาน์เตอร์เพรสซิ่ง’ เป็นปรัชญาแท็กติคที่โด่งดังขึ้นมาในฟุตบอลยุคนี้ โดย เยอร์เก้น คล็อปป์ นำมาใช้กับ
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล ซึ่งมันเคยโด่งดังมาจากการใช้ของ
ราล์ฟ รังนิค ในวงการฟุตบอลบุนเดสลีกาในยุคก่อนหน้านี้
หัวใจหลักของปรัชญาไม่ใช่เพียงแค่การสั่งให้ทีมเพรสใส่คู่แข่ง แต่ยังเป็นการเพรสโดนเน้นโซนเป็นแห่ง ๆ และฉวยโอกาสกลับมาครอบครองบอลให้ได้ในแดนคู่แข่ง หรือเรียกอีกแบบหนึ่งว่า "
การเคาน์เตอร์เกมสวนกลับ"
การจะเล่นรูปแบบนี้ได้ต้องอาศัยนักเตะแนวรุกมีความมุ่งมั่นในการวิ่งเข้าใส่คู่แข่งที่พยายามเล่นบอลจากแนวรับ เพื่อบีบให้เกิดข้อผิดพลาด
คล็อปป์ อธิบายเอาไว้ว่า “เกเก้นเพรสซิ่งจะทำให้คุณได้บอลกลับมาครองครองใกล้ประตูคู่แข่งมากขึ้น มันเป็นเพียงการส่งครั้งเดียวจากโอกาสที่ดีมาก ๆ ไม่มีเพลย์เมคเกอร์ไหนในโลกจะดีเท่ากับสถานการณ์ของเกเก้นเพรสซิ่งอีกแล้ว และนั่นมันถึงสำคัญมาก”
การเล่นเกมเพรสซิ่งอันเข้มข้น ที่มีโครงสร้างในการจู่โจมจุดอ่อนในเกมรับของคู่แข่ง เล่นงานคนที่เล่นบอลกับเท้าแย่ที่สุด และใช้การคำนวณความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง
ดังนั้นสิ่งสำคัญใน เกเก้นเพรสซิ่ง คือการรักษาระดับความเข้มข้นของการไล่เพรสระหว่างการแข่งขัน นักเตะจะต้องคาดเดาได้ว่าเมื่อไหร่ที่จะถอยกลับไปเพื่อรักษาพลังงาน เพราะมันไม่สามารถปรับใช้ได้กับทีมที่มีปัญหาเรื่องสภาพความฟิตหรือมีนักเตะที่มีแนมโน้มเจ็บง่าย
เกเก้นเพรสซิ่ง จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในสามประสานแดนหน้าที่มีความเร็วและความฟิต อีกทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์ในการฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของคู่แข่ง ด้วยการจ่ายหรือการจบสกอร์อันเฉียบคม
ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สามประสานแนวรุกของ
ลิเวอร์พูล คือเครื่องยืนยันความสำเร็จของระบบนี้ในพรีเมียร์ลีก ด้วยการพาทีมคว้า
แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และพรีเมียร์ลีก อีกทั้งยังต่อกรกับ
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพียงแค่แนวรุกเท่านั้นที่ต้องทำงานในระบบเกเก้นเพรสซิ่ง นักเตะทั้งทีมต้องยืนตำแหน่งให้ถูกต้อง เพื่อช่วยขยับบีบพื้นที่ให้คู่แข่งที่ครองบอลผ่านบอลต่อไปได้ยากที่สุด
ส่วนของแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการเพรสซิ่งจะทำให้ทีมมีตัวเลือกมากขึ้นในการโจมตีโต้กลับ ซึ่งเกิดมาจากการเคาน์เตอร์เพรสนั่นเอง ตัวอย่างเช่น
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เมื่อดันสูงขึ้น พวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่จะพร้อมโจมตีแนวรุกด้วยลูกครอสเมื่อบอลถูกแย่งกลับมาได้สำเร็จ
ใครคิดค้น เกเก้นเพรสซิ่ง?
เกเก้นเพรสซิ่ง กลับมาโด่งดังจากการนำมาใช้ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ประยุกต์มาจากการเพรสซิ่งที่มีมาอย่างยาวนาน
แนวคิดของงการเพรสซิ่ง หรือ “การเข้าบีบ”เป็นเบสิคพื้นฐานของการเล่นฟุตบอล, ซึ่งเกเก้นเพรสซิ่งของ คล็อปป์ เรียกว่ามีส่วนที่มีความคล้ายกัน อันที่จริงแล้วเขาเป็นศิษย์ของโค้ชที่มีชื่อเสียงในการใช้เกมเพรสซิ่งใส่คู่แข่ง
โวล์ฟกัง แฟรงค์ คืออาจารย์ของเขาที่ ไมนซ์ เป็นผู้สนับสนุนการใช้เกมเพรสซิ่ง ซึ่งเขาได้รับอิทธิพลมาอีกต่อหนึ่งจากตำนานยอดกุนซือเอซี มิลานอย่าง
อาร์ริโก ซาคคี
ในยุคของ
ซาคคี ทัพรอสโซเนรี ผงาดรุ่งเรื่องด้วยเกมเพรสซิ่งในยุคปลาย 1980-1990 คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สองสมัย และแชมป์เซเรีย อา
กุนซือชาวอิตาเลียน เคยอธิบายไว้ว่าการเพรสซิ่งไม่ใช่แค่การวิ่งเข้าใส่คู่แข่ง แต่เป็น
“การควบคุมพื้นที่” และท้ายที่สุดควบคุมการเล่นในจิตใจของคู่ต่อสู้
“ถ้าเราปล่อยให้คู่แข่งในแนวทางที่พวกเขาซ้อมมา พวกเขาจะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราหยุดพวกเขาได้ มันจะไปทำลายความมั่นใจพวกเขา” ซาคคิ เผยกับ โจนาธาน วิลสัน ในรายการ Inverting the Pyramid
“นั่นคือหัวใจสำคัญ : การเพรสของเราใช้จิตวิทยามากพอๆ กับด้านพละกำลัง”
นอกจากนี้ ยังมีกุนซืออีกหลายคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกมเพรสซิ่งอย่าง
มาร์เซโล บิเอลซา ที่นำมารับใช้เกมเพรสซิ่งเป็นการสั่งให้นักเตะของเขา “วิ่งเข้าใส่ทั้งเกม” จนทำให้เกิดปัญหาตามมาสู่ทีม
กวาร์ดิโอลา เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจน เขาประดิษฐ์เกมเพรสซิ่งแดนบนสมัยคุมบาร์เซโลนา รวมทั้ง
โจเซ มูรินโญ ที่เคยใช้กับ
ปอร์โต้ ในช่วงต้นปี 2000 เล่นงานคู่แข่งในการเพรสบีบให้คู่แข่งก่อความผิดพลาดกันเอง
ทีมไหนบ้างที่ใช้ เกเก้นเพรสซิ่ง?
เกเก้นเพรสซิ่ง ถูกนำไปใช้กับทุกทีมที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ คุมทีม เขาริเริ่มแผนการนี้ขึ้นตั้งแต่สมัยคุมทีม
ไมนซ์ ก่อนจะไปสร้างเป็นรูปเป็นร่างกับ
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
เกเก้นเพรสซิ่งฉบับดอร์ทมุนด์ของคล็อปป์ถูกขนานนามว่า “
ฟุตบอลเฮวีเมทัล” โดยเขาพาทีมทำผลงานได้อย่างน่าทึ่งคว้าแชมป์บุนเดสลีกาสองสมัยและเข้าชิงฯยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปี 2013
โดย คล็อปป์ เคยพูดถึงสไตล์การเล่นของ
อาร์เซนอล ในยุค
อาร์เซน เวงเกอร์ ในปี 2013 เอาไว้ว่า “มันเหมือนวงออเคสตร้า แต่เป็นเพลงที่เงียบงัน ผมชอบเฮวีเมทัลมากกว่า ผมชอบแบบดัง ๆ”
นับตั้งแต่เข้ามาคุม
ลิเวอร์พูล ในปี 2015 คล็อปป์ เปลี่ยนโฉมทีมเป็นไปในแบบที่เขาต้องการ และมันส่งผลอย่างชัดเจนด้วยสไตล์การเล่นแบบเกเก้นเพรสซิ่ง
ตัวอย่างอื่นของ
จุ๊ปป์ ไฮยน์เกส ที่ใช้เกเก้นเพรสซิ่งพา
บาเยิร์น มิวนิค เถลิงเทรเบิลแชมป์ก่อนวางมือ รวมถึง
ยูเลียน นาเกลส์มันน์ ที่เดินตามรอย
ราล์ฟ รังนิค ใช้เกเก้นเพรสซิง กับทีมอย่าง
ฮอฟเฟนไฮม์ และ
แอร์เบ ไลป์ซิก มาแล้ว
credit : www.goal.com/th
เกเก้นเพรสซิ่ง : แท็กติกสุดฮิตของ เยอร์เกน คล็อปป์ ทำงานอย่างไร?
ในโลกแห่งฟุตบอลมีปรัชญาฟุตบอลมากมายหลายแขนง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็มีการคิดค้น พัฒนาหลักสูตรต่าง ๆ นานา มาปรับใช้ เพื่อผลงานที่ตอบโจทย์ในสนามตามยุคสมัย
เกเก้นเพรสซิ่ง เป็นสไตล์การเล่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสไตล์หนึ่งในยุคนี้ โดยมีหลายทีมในเยอรมนีและอังกฤษ ที่นำมาปรับใช้เข้ากับแนวทางการเล่นของตัวเอง
แล้วอะไรคือ เกเก้นเพรสซิ่ง, ใครเป็นผู้คิดค้น และทีมไหนบ้างที่ใช้? GOAL จะพาคุณไปชมทุกอย่างที่คุณต้องรู้
อะไรคือเกเก้นเพรสซิ่ง & แท็กติคทำงานอย่างไร?
เกเก้นเพรสซิ่ง เป็นภาษาเยอรมันที่แปลว่า ‘เคาน์เตอร์เพรสซิ่ง’ เป็นปรัชญาแท็กติคที่โด่งดังขึ้นมาในฟุตบอลยุคนี้ โดย เยอร์เก้น คล็อปป์ นำมาใช้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล ซึ่งมันเคยโด่งดังมาจากการใช้ของ ราล์ฟ รังนิค ในวงการฟุตบอลบุนเดสลีกาในยุคก่อนหน้านี้
หัวใจหลักของปรัชญาไม่ใช่เพียงแค่การสั่งให้ทีมเพรสใส่คู่แข่ง แต่ยังเป็นการเพรสโดนเน้นโซนเป็นแห่ง ๆ และฉวยโอกาสกลับมาครอบครองบอลให้ได้ในแดนคู่แข่ง หรือเรียกอีกแบบหนึ่งว่า "การเคาน์เตอร์เกมสวนกลับ"
การจะเล่นรูปแบบนี้ได้ต้องอาศัยนักเตะแนวรุกมีความมุ่งมั่นในการวิ่งเข้าใส่คู่แข่งที่พยายามเล่นบอลจากแนวรับ เพื่อบีบให้เกิดข้อผิดพลาด
คล็อปป์ อธิบายเอาไว้ว่า “เกเก้นเพรสซิ่งจะทำให้คุณได้บอลกลับมาครองครองใกล้ประตูคู่แข่งมากขึ้น มันเป็นเพียงการส่งครั้งเดียวจากโอกาสที่ดีมาก ๆ ไม่มีเพลย์เมคเกอร์ไหนในโลกจะดีเท่ากับสถานการณ์ของเกเก้นเพรสซิ่งอีกแล้ว และนั่นมันถึงสำคัญมาก”
การเล่นเกมเพรสซิ่งอันเข้มข้น ที่มีโครงสร้างในการจู่โจมจุดอ่อนในเกมรับของคู่แข่ง เล่นงานคนที่เล่นบอลกับเท้าแย่ที่สุด และใช้การคำนวณความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง
ดังนั้นสิ่งสำคัญใน เกเก้นเพรสซิ่ง คือการรักษาระดับความเข้มข้นของการไล่เพรสระหว่างการแข่งขัน นักเตะจะต้องคาดเดาได้ว่าเมื่อไหร่ที่จะถอยกลับไปเพื่อรักษาพลังงาน เพราะมันไม่สามารถปรับใช้ได้กับทีมที่มีปัญหาเรื่องสภาพความฟิตหรือมีนักเตะที่มีแนมโน้มเจ็บง่าย
เกเก้นเพรสซิ่ง จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในสามประสานแดนหน้าที่มีความเร็วและความฟิต อีกทั้งยังมีความคิดสร้างสรรค์ในการฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของคู่แข่ง ด้วยการจ่ายหรือการจบสกอร์อันเฉียบคม
ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สามประสานแนวรุกของ ลิเวอร์พูล คือเครื่องยืนยันความสำเร็จของระบบนี้ในพรีเมียร์ลีก ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และพรีเมียร์ลีก อีกทั้งยังต่อกรกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เพียงแค่แนวรุกเท่านั้นที่ต้องทำงานในระบบเกเก้นเพรสซิ่ง นักเตะทั้งทีมต้องยืนตำแหน่งให้ถูกต้อง เพื่อช่วยขยับบีบพื้นที่ให้คู่แข่งที่ครองบอลผ่านบอลต่อไปได้ยากที่สุด
ส่วนของแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการเพรสซิ่งจะทำให้ทีมมีตัวเลือกมากขึ้นในการโจมตีโต้กลับ ซึ่งเกิดมาจากการเคาน์เตอร์เพรสนั่นเอง ตัวอย่างเช่น แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เมื่อดันสูงขึ้น พวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่จะพร้อมโจมตีแนวรุกด้วยลูกครอสเมื่อบอลถูกแย่งกลับมาได้สำเร็จ
ใครคิดค้น เกเก้นเพรสซิ่ง?
เกเก้นเพรสซิ่ง กลับมาโด่งดังจากการนำมาใช้ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่ประยุกต์มาจากการเพรสซิ่งที่มีมาอย่างยาวนาน
แนวคิดของงการเพรสซิ่ง หรือ “การเข้าบีบ”เป็นเบสิคพื้นฐานของการเล่นฟุตบอล, ซึ่งเกเก้นเพรสซิ่งของ คล็อปป์ เรียกว่ามีส่วนที่มีความคล้ายกัน อันที่จริงแล้วเขาเป็นศิษย์ของโค้ชที่มีชื่อเสียงในการใช้เกมเพรสซิ่งใส่คู่แข่ง
โวล์ฟกัง แฟรงค์ คืออาจารย์ของเขาที่ ไมนซ์ เป็นผู้สนับสนุนการใช้เกมเพรสซิ่ง ซึ่งเขาได้รับอิทธิพลมาอีกต่อหนึ่งจากตำนานยอดกุนซือเอซี มิลานอย่าง อาร์ริโก ซาคคี
ในยุคของ ซาคคี ทัพรอสโซเนรี ผงาดรุ่งเรื่องด้วยเกมเพรสซิ่งในยุคปลาย 1980-1990 คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ สองสมัย และแชมป์เซเรีย อา
กุนซือชาวอิตาเลียน เคยอธิบายไว้ว่าการเพรสซิ่งไม่ใช่แค่การวิ่งเข้าใส่คู่แข่ง แต่เป็น “การควบคุมพื้นที่” และท้ายที่สุดควบคุมการเล่นในจิตใจของคู่ต่อสู้
“ถ้าเราปล่อยให้คู่แข่งในแนวทางที่พวกเขาซ้อมมา พวกเขาจะมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราหยุดพวกเขาได้ มันจะไปทำลายความมั่นใจพวกเขา” ซาคคิ เผยกับ โจนาธาน วิลสัน ในรายการ Inverting the Pyramid
“นั่นคือหัวใจสำคัญ : การเพรสของเราใช้จิตวิทยามากพอๆ กับด้านพละกำลัง”
นอกจากนี้ ยังมีกุนซืออีกหลายคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเกมเพรสซิ่งอย่าง มาร์เซโล บิเอลซา ที่นำมารับใช้เกมเพรสซิ่งเป็นการสั่งให้นักเตะของเขา “วิ่งเข้าใส่ทั้งเกม” จนทำให้เกิดปัญหาตามมาสู่ทีม
กวาร์ดิโอลา เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจน เขาประดิษฐ์เกมเพรสซิ่งแดนบนสมัยคุมบาร์เซโลนา รวมทั้ง โจเซ มูรินโญ ที่เคยใช้กับ ปอร์โต้ ในช่วงต้นปี 2000 เล่นงานคู่แข่งในการเพรสบีบให้คู่แข่งก่อความผิดพลาดกันเอง
ทีมไหนบ้างที่ใช้ เกเก้นเพรสซิ่ง?
เกเก้นเพรสซิ่ง ถูกนำไปใช้กับทุกทีมที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ คุมทีม เขาริเริ่มแผนการนี้ขึ้นตั้งแต่สมัยคุมทีม ไมนซ์ ก่อนจะไปสร้างเป็นรูปเป็นร่างกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
เกเก้นเพรสซิ่งฉบับดอร์ทมุนด์ของคล็อปป์ถูกขนานนามว่า “ฟุตบอลเฮวีเมทัล” โดยเขาพาทีมทำผลงานได้อย่างน่าทึ่งคว้าแชมป์บุนเดสลีกาสองสมัยและเข้าชิงฯยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปี 2013
โดย คล็อปป์ เคยพูดถึงสไตล์การเล่นของ อาร์เซนอล ในยุค อาร์เซน เวงเกอร์ ในปี 2013 เอาไว้ว่า “มันเหมือนวงออเคสตร้า แต่เป็นเพลงที่เงียบงัน ผมชอบเฮวีเมทัลมากกว่า ผมชอบแบบดัง ๆ”
นับตั้งแต่เข้ามาคุม ลิเวอร์พูล ในปี 2015 คล็อปป์ เปลี่ยนโฉมทีมเป็นไปในแบบที่เขาต้องการ และมันส่งผลอย่างชัดเจนด้วยสไตล์การเล่นแบบเกเก้นเพรสซิ่ง
ตัวอย่างอื่นของ จุ๊ปป์ ไฮยน์เกส ที่ใช้เกเก้นเพรสซิ่งพา บาเยิร์น มิวนิค เถลิงเทรเบิลแชมป์ก่อนวางมือ รวมถึง ยูเลียน นาเกลส์มันน์ ที่เดินตามรอย ราล์ฟ รังนิค ใช้เกเก้นเพรสซิง กับทีมอย่าง ฮอฟเฟนไฮม์ และ แอร์เบ ไลป์ซิก มาแล้ว
credit : www.goal.com/th