ใครมีพ่อแม่ที่ไม่เคยแสดงถึงความภูมิใจในตัวลูกบ้าง

เราคิดว่าน่าจะเป็นกันหลายบ้าน โดยเฉพาะครอบครัวคนจีน ที่พ่อแม่ชื่นชมลูกไม่ค่อยเป็น ถนัดตำหนิมากกว่า อย่างกรณีเราคือพ่อ ตั้งแต่เด็กจนโตเราแทบไม่เคยได้ยินพ่อพูดชมเชยในสิ่งที่เราทำเลย แม้ว่าเราจะไม่ใช่คนเหลวไหลก็ตาม หลายครั้งเราก็สงสัยว่าเรามีอะไรดีในสายตาพ่อบ้างไหม วงจรชีวิตเราคร่าวๆจะเป็นแบบนี้

- ตอนเด็กๆ ช่วงประถมเรียนไม่ค่อยเก่ง ก็จะโดนพ่อบ่นว่าไม่ยอมอ่านหนังสือ ไม่ตั้งใจเรียน ซึ่งอันนี้เรายอมรับว่าเราผิดจริง แต่ก็จะไปนึกเปรียบเทียบกับลูกคนอื่นที่เรียนไม่เก่งเหมือนกัน แต่ไม่โดนพ่อแม่บ่น

- ตอน ม.ต้น เรียนเก่งขึ้น (ได้เกรด 3 ขึ้น) แต่ยื่นเกรดเข้าสายวิทย์ตอน ม.ปลาย ไม่ผ่าน เพราะคนยื่นสายวิทย์เยอะมาก และเด็กห้องคิงก็เยอะ เราเป็นเด็กห้องท้ายๆ ถึงจะเกรดดี แต่สู้พวกห้องคิงไม่ได้ ตอนนั้นโดนพ่อบ่นเอาๆ ว่าไม่ตั้งใจเรียน ขุดเรื่องในอดีตมาว่า ต้องฟังคำพูดของพ่อให้รู้สึกช้ำใจซ้ำๆ ถ้าพ่อไม่บ่นเราตรงๆ ก็จะไปบ่นให้แม่ฟัง แล้วยิ่งเราได้เห็นท่าทีกลุ้มใจของแม่ ก็ยิ่งทำให้คิดมาก

- ต่อมาเราสอบเข้าสายศิลป์คำนวณที่โรงเรียนเดิมได้ ก็ตั้งใจเรียนสุดๆ จนสอบได้ที่ 1 ของห้องทุกเทอม และได้ที่ 1 ของสายศิลป์ เราขยันจนกระทั่งเรียน ป.ตรี ได้ทุนเรียนดี ได้เกียรตินิยม แต่กระนั้นเราก็ไม่เคยได้ยินพ่อพูดชมว่าเราเก่ง เรากลับได้ยินพ่อบอกว่าเราบ้าเรียน เอาแต่เรียนหนังสือ เอาแต่ท่องตำรา ระวังจะไม่มีประสบการณ์ชีวิต ระวังจะเอาตัวไม่รอด

- พอเรียนจบ ทำงาน ด้วยพื้นฐานเราเป็นคนขยันและไม่ค่อยปฏิเสธใคร ก็จะทำงานหนัก หัวหน้าไว้ใจ โยนงานมาให้เราทำเยอะ เราก็ทำ ถ้าทำไม่ทันก็เอากลับมาทำที่บ้านด้วย ตอนนั้นก็โดนพ่อบ่นอีกว่าทำงานหนักเหมือนแรงงานพม่า คนอื่นๆเขาไม่เห็นต้องทำงานหนักแบบนี้ คนอื่นๆมีเวลาพักผ่อน มีเวลาไปหารายได้เสริม แต่เรามัววุ่นวายหมกมุ่นอยู่กับงานประจำ ถ้าตกงานขึ้นมาก็ไม่มีรายได้ทางอื่น ประมาณนี้ (ได้ยินแต่คำบ่น ไม่เคยได้ยินคำชมหรือให้กำลังใจ)

- พอเราอยากพัฒนาตัวเอง อยากไปเรียนต่อ ป.โท พ่อก็ไม่สนับสนุนอีก บอกว่าเรียนไปทำไม จบมาก็ไม่ได้เก่งกว่าคนที่ไม่เรียน เสียเงินเปล่าประสบการณ์สำคัญกว่า ถ้าเรียนจบสูง แต่ทำงานไม่เป็น ก็ไม่มีประโยชน์ และถ้าจะเป็นเจ้าของธุรกิจ วุฒิการศึกษาก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือประสบการณ์

ประมาณนี้ เมื่อก่อนเราน้อยใจพ่อเป็นประจำ เพราะเหมือนว่าเราจะไม่เคยทำอะไรแล้วดีในสายตาพ่อเลย รู้สึกว่าพ่อช่างไม่เข้าใจเราเลย ตอนนี้ก็ยังน้อยใจบ้าง แต่น้อยลง เพราะเราโตขึ้น ไม่ได้อยู่บ้าน ไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเองให้พ่อแม่ฟัง ถ้าเล่าอะไรแล้วพ่อบ่นเรา เราจะบ่นกลับ ส่วนพ่อเมื่ออายุมากขึ้น+อยู่ห่างไกลลูก ก็จะใจเย็นและสงบมากขึ้น ตอนนี้คนที่จะโดนพ่อบ่นมากๆก็คือน้องสาวเรา เพราะว่าน้องอยู่บ้าน น้องไม่ได้เก่งเท่าเรา ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องทำงาน แต่พ่อจะดูแลและซัพพอร์ตน้องดีกว่าเรา ให้อะไรน้องมากกว่าที่ให้เรา เราก็มีรู้สึกน้อยใจบ้าง แต่ก็ปล่อยผ่านไป

การมีพ่อแบบนี้ ข้อดีคือทำให้เราไม่หลงตัวเอง ไม่เป็นคนแข็งกระด้างในสายตาคนอื่น แต่ข้อเสียคือทำให้เราเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่ค่อยกล้าลองทำอะไรเสี่ยงๆ และมีจิตใจค่อนข้างอ่อนไหวเปราะบาง (อารมณ์ประมาณว่า ไม่มีใครรักเรา ไม่มีใครแคร์เรา ไม่มีใครเข้าใจเรา) โดยรวมแล้วเราคิดว่ามีข้อเสียมากกว่าข้อดี เราคิดไว้ว่าถ้าสักวันได้เป็นพ่อแม่คนบ้าง เราจะไม่เลี้ยงลูกอย่างที่พ่อเลี้ยงเรา (ในบางเรื่อง) จะไม่เข้มงวดกับลูกมากเกินไป และไม่ตามใจลูกมากเกินไป จะตำหนิเมื่อลูกทำผิด จะให้กำลังใจเมื่อลูกพลาดพลั้ง จะชื่นชมเมื่อลูกทำดี ทำให้ลูกเป็นคนปกติมากที่สุด

บ้านใครเป็นแบบนี้บ้าง มาเล่าสู่กันฟังได้ ตอนนี้เราไม่ได้รู้สึกแย่อะไร แค่เรานึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาได้ จึงคิดว่ามันอาจมีประโยชน์กับคนที่กำลังจะเป็นพ่อแม่คน หรือคนที่กำลังเลี้ยงลูกแบบไม่ถูกต้องก็ได้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ผมก็คล้ายๆ จขกท อายุน่าจะใกล้เคียงกัน ครับแต่พ่อแม่เป็นคนไทย
ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ไม่ค่อยชม โดยเฉพาะแม่ผม
ตอนเด็กๆก็ไม่ค่อยเข้าใจ ตอนเรียนผลการเรียนดีครูก็ชม
พอมาเล่าให้ที่บ้านฟังบ้าง บางทีพ่อก็ชมบ้าง แต่แม่รีบบอกพ่อทันทีว่าอย่าชมลูก เดี๋ยวเหลิง
บางครั้งก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน

แต่พอโตขึ้น ผมก็เข้าใจว่าชุดความคิดแบบนี้มันเปลี่ยนยาก โดยเฉพาะ baby boomer
ก็เลยเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าไม่ชมก็ไม่ต้องชม ไม่คาดหวังว่าต้องได้รับคำชม เพราะรู้ว่าต่อให้ทำได้ดีแค่ไหนเค้าก็ไม่ชม
คือไม่เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นสร้างแรงลบต่อการใช้ชีวิตหรือการบรรลุเป้าหมาย
แต่ก็ไม่เอาคำติมาเป็นแรงผลักดันเหมือนกันครับ
มองคำติเฉพาะที่มีตั้งใจเพื่อลดความมั่นใจ เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายและไม่เก็บเอาไปคิดต่อด้วย

พอถึงวัยทำงานมีช่วงหนึ่งที่ได้มาทำงานต่างประเทศ ห่างไกลจากบ้าน
ทำได้ดีหัวหน้าเพื่อนร่วมงานก็ชม ทำไม่ดีก็ถูกตำหนิ
การได้รับความชื่นชมช่วยสร้างแรงบวก สร้างกำลังใจเป็นแรงผลักดันที่ดีเพื่อไปสู่เป้าหมายใหม่ที่ดีกว่าเดิม
และสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองในการตัดสินใจเรื่องยากๆ

จนปัจจุบันเป็น project manager มีทีมงานหลายคน จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
คนที่ทำผลงานได้ดี ผมก็ชื่นชมต่อหน้าผู้บริหารและคนอื่นๆในบริษัท
แต่ถ้าต้องถูกตำหนิ ผมจะไปคุยส่วนตัวครับ

ส่วนเรื่องมีครอบครัว จากสาเหตุหลายอย่างและประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา
ตั้งใจว่าจะไม่แต่งงานหรือถ้าแต่งงานก็จะไม่มีลูก
แต่สมมุติถ้ามีผมเห็นด้วยกับจขกทเต็มที่ครับ
>>เราจะไม่เลี้ยงลูกอย่างที่พ่อเลี้ยงเรา (ในบางเรื่อง) จะไม่เข้มงวดกับลูกมากเกินไป และไม่ตามใจลูกมากเกินไป จะตำหนิเมื่อลูกทำผิด จะให้กำลังใจเมื่อลูกพลาดพลั้ง จะชื่นชมเมื่อลูกทำดี ทำให้ลูกเป็นคนปกติมากที่สุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่