สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 26
เงินเดือนสูงมากทุกงานค่ะ
งานแรก ทำบริษัทหนังใน hollywood ค่ะ
แต่อยู่ในส่วนของ paramount ดูแลหนังที่จะออกเป็น VDO Laserdisc DVD
งานดี สนุก เจอคนเยอะ ...
โดยเฉพาะไฮโซระดับสูงสุดของประเทศไทย
ทำที่นี่ จนได้รู้จักกับ Mr. Ron ที่มาซื้อหนังคราวละหลาย ๆ เรื่อง
คุยกันไปมาก็ถูกชวนมาเป็นผู้จัดการโรงงานล้อ chrome
งานที่ 2 จึงเป็นผู้หญิงไทยที่คุมคนงานฝรั่ง ผิวดำ และเม็กซิกัน
200 กว่าคน ... อย่างงง ๆ ค่ะ
งานนี้ ได้ค่าคอมฯ ด้วยค่ะ
คือถ้าสามารถส่งสินค้าได้มากกว่าวันละ 2 คอนเทนเนอร์ ขนาด 60 ฟุต
จะได้เงินพิเศษเพิ่ม นอกเหนือจากเงินเดือน + 1.5% ของยอดขาย
จำได้ว่า แต่ละเดือนขายได้กว่า 1 ล้านเหรียญ ก็จะได้เงินเยอะมาก
ไม่รวมรถใหม่ ที่จะได้ทุกปี
งบรถแต่ละคันคือ 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ
ถ้าซื้อรถราคาถูกกว่า 5 หมื่นเหรียญ ส่วนที่เหลือจะได้เรา
ส่วนล้อรถ จะได้ฟรีทุก 6 เดือน
สมัยนั้น ล้อราคาถูกสุด 1 ชุด คือ 2,000 เหรียญ
แต่ผู้จัดการ 5 แผนกของออฟฟิศจะได้ล้อพรีเมี่ยม 5,000 เหรียญขึ้นไป
ล้อนั้นเป็นของเราเมื่อเปลี่ยนล้อชุดใหม่ค่ะ
เอาไปขายบ้าง ลูกน้องขอซื้อต่อบ้าง
บางชุดก็ยกให้คนรู้จัก เพราะมีล้อใช้ฟรี เยอะมากค่ะ
ทำงานที่นั่น 9 ปี ... (ในเมืองชื่อ irwindale นะคะ)
จากผู้หญิงหวาน ๆ กลายเป็นสาวห้าวเลยค่ะ
เพราะพวกผิวดำจะตบตีกับเมียบ่อย
แล้วถูกแจ้งจับ เราต้องไปประกันตัว
บางที เจอเคสพนักงานเม็กซิกัน ไปกินเหล้า
แล้วท้าตีท้าต่อยกับอันธพาล
ก็ถูกพนักงานโทรมาเรียกไปช่วยประกันตัวแบบ 24 ชั่วโมงเลยค่ะ
ทำงานแบบนั้น ... และเจ้านายเองก็ชอบจะมาท้าทายตลอด
เพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโรงงาน
เจ้านายก็จะท้า ... เช่น
ถ้ายูใส่ชุดยูนิฟอร์ม เสื้อขาว+กางเกงดำ รองเท้าดำ
ใส่ครบ 30 วัน จะได้เงินสดวันละ 100 เหรียญ + ค่ากางเกงดำแบรนด์ดัง
ทั้งบริษัท มีผู้หญิงแค่ 6 คนค่ะ
1 คนคือเรา 4 คนคือฝ่ายบัญชี อีกคนคือสาวจีนเป็นเลขา CEO
สาวคนอื่นอยู่ในออฟฟิศ เราอยู่ใน warehouse คนเดียว
เจ้านายเลยชอบมากวน ๆ
เราก็ใส่นะ ... จน 5 ปีหลัง ใส่แต่เสื้อบริษัท+กางเกงดำ
หรืออย่างตรุษจีน (บริษัทฝรั่งนะคะ) เจ้านายจะถาม
ว่า ตรุษจีนคืออะไร ... พอมีคนงานจีนบอกเค้า
วันตรุษจีน นายจะมาบอก ... ถ้าลูกน้องยูคนไหนใส่กางเกงในสีแดง
จะให้คนละ 100 เหรียญ และยูจะได้เองอีก 100 เหรียญต่อคน
เราแอบกระซิบลูกน้องเลยค่ะ ดังนั้นทุกตรุษจีน พนักงานจะแฮปปี้มาก
หรืออย่างเดือนไหน ยอดขายตก ...
โรงงานต้องตามล้อ chrome ให้ได้ และต้องเร่งส่งออกให้มาก
แบบนี้ งานจะหนัก แต่ได้เงินพิเศษทั้งโรงงาน
ก็จะมาหารหัวกัน หารแล้วยังได้คนละ 3-4 พันเหรียญ
(ล้อที่บริษัท จะเป็นล้อแพง ๆ ค่ะ ขายน้อยแต่ยอดขายสูงลิ่ว)
ไม่ต้องพูดถึงโบนัสนะคะ ได้ 10-12 เดือนเสมอค่ะ
เราทำงานอยู่แบบนั้นจนเกิดปัญหา ... กับชีวิตส่วนตัวค่ะ
ชีวิตรักค่อย ๆ พังลงเพราะความบ้างานของเรา
ที่สุดก็รู้สึกเหมือนชีวิตแห้งแล้ง แล้วค่อย ๆ กัดกร่อนความรู้สึก
เดาว่า คือ ความเครียด (+ เราเป็นพวก perfectionist ขั้นสุดด้วยค่ะ)
ที่สุด ครบ 9 ปี เราลาออก
เราลาออกวันที่ 30 พฤษภาคม
บริษัทแจกโบนัสวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี
เพื่อจะได้ไม่ต้องรับโบนัส ...
ทุกคนเกลี้ยกล่อม แต่เราตัดสินใจเด็ดขาด
เจ้านายมาหาถึงบ้าน และยืนยันจะให้โบนัส และรถใหม่ของปีนั้น
รวมทั้ง เก็บตำแหน่งผู้จัดการ warehouse ไว้รอเราสบายใจ
ตำแหน่งเราว่างอยู่นานถึง 6 เดือนค่ะ จนเราบอกเจ้านายว่า ..
เราจะมาอยู่ไทยสักพัก ดังนั้น หาคนอื่นมาทำแทนเถอะ
....
....
หลังจากนั้น เราพักงานไป 1 ปีเห็นจะได้
ลูกค้าที่เคยไปซื้อล้อรถกับบริษัทเรา จำเราได้ตอนเจอกันใน super market
เขาเสนอให้เราไปช่วยงานในโรงพยาบาล pomona
(เราจบภาษาศาสตร์นะคะ) ... เราก็ ใจอ่อนอีก
ไปเริ่มต้นเป็น office manager ของแผนกหมอผิวหนัง ที่อยู่ใน pomona hospital
ดูแลทุกอย่าง ... ทุกอย่าง
ตอนแรก เจ้านายที่เป็นบิ๊กหมอของโรงบาลนั้น
สัญญากะเราว่า จะให้ดูแลแค่ 1 คลินิกผิวหนัง แต่มีหมอ 7 คน
ตอนหลังงานมันเพิ่มขึ้นเป็น 3 คลินิก ใน 3 เมืองไกล ๆ กัน
แรก ๆ ก็สนุกค่ะ
(คลินิกรวมทุกอย่างเกี่ยวกับผิวหนัง แต่เน้นรักษามะเร็งผิวหนัง)
ทำงานจนได้เงินขึ้นพรวดพราด ...
เพราะจัดการเคลียงานคั่งค้าง ช่วยบรรดาหมอเคลมประกันได้หมด
แถมตามเก็บเคลมเก่า ๆ ด้วย
เรามีลูกน้องเป็น MA ทั้งหมด 11 คน
มีความงงกับเรื่อง claim มาก ๆ เลยไปเรียนการเคลมประกัน
(คิดว่า ไม่น่าเหมือนกันเมืองไทยเนาะ)
ทำงานอยู่แบบนั้นอีก 5 ปี ... ไม่เคยซื้อเครื่องบำรุงผิวเองเลย
รวมทั้งน้ำยาซักผ้า น้ำยาที่เกี่ยวกับผิวหนัง
เพราะได้รับฟรีมาจากบริษัทสินค้าเหล่านั้น ทุกแบรนด์
แล้วก็เหมือนเดิมค่ะ ... เบื่อ เหนื่อย ยิ่งพอรู้จักคนไข้มาก ๆ
แล้วคนไข้ expired ขึ้นมา ... หดหู่มาก
เลยบอกหมอว่า ขอลาออก ... ก็ออกค่ะ
นั่นคือ 3 งานหลัก ๆ ในชีวิต
ทุกวันนี้ นั่งกินเงินเก่าค่ะ เพราะซื้อหุ้นบ้างอะไรบ้างไว้เยอะ
สามารถลาออกมาเที่ยว นั่งเขียนนั่นนี่ ...
และสุดท้าย ช่วงโควิด จริง ๆ คิดว่าจะไม่ทำอะไรแล้ว
สรุปมีนักเขียนรุ่นน้องมาขอให้ช่วยรับงานพิสูจน์อักษร
ก็เลยทำค่ะ
เหมือนมีคนจ้างอ่านนิยาย ... แต่รับแค่เดือนละ 3 เรื่อง
เป็นเงิน 5-6 หมื่นที่เราแอบขำ ๆ แต่ก็ดีใจที่ได้ช่วย
อ้อ ... ยังมีอีกงานที่ "ทำเพราะรัก" แต่ไม่ได้เงินมาก
แค่รักจะทำ
แต่กลับเป็นได้ connection เยอะมาก
คืองานสัมภาษณ์ ..
งานนี้เงินไม่ดีค่ะ เพราะเราคิดถูก ทำเพราะสนุก
แต่ได้รู้จักคนเยอะมาก ๆ และยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนบัดนี้
จบเนอะ ... ยาวแล้ว
ถือว่าเล่าสู่กันฟังนะคะ
งานแรก ทำบริษัทหนังใน hollywood ค่ะ
แต่อยู่ในส่วนของ paramount ดูแลหนังที่จะออกเป็น VDO Laserdisc DVD
งานดี สนุก เจอคนเยอะ ...
โดยเฉพาะไฮโซระดับสูงสุดของประเทศไทย
ทำที่นี่ จนได้รู้จักกับ Mr. Ron ที่มาซื้อหนังคราวละหลาย ๆ เรื่อง
คุยกันไปมาก็ถูกชวนมาเป็นผู้จัดการโรงงานล้อ chrome
งานที่ 2 จึงเป็นผู้หญิงไทยที่คุมคนงานฝรั่ง ผิวดำ และเม็กซิกัน
200 กว่าคน ... อย่างงง ๆ ค่ะ
งานนี้ ได้ค่าคอมฯ ด้วยค่ะ
คือถ้าสามารถส่งสินค้าได้มากกว่าวันละ 2 คอนเทนเนอร์ ขนาด 60 ฟุต
จะได้เงินพิเศษเพิ่ม นอกเหนือจากเงินเดือน + 1.5% ของยอดขาย
จำได้ว่า แต่ละเดือนขายได้กว่า 1 ล้านเหรียญ ก็จะได้เงินเยอะมาก
ไม่รวมรถใหม่ ที่จะได้ทุกปี
งบรถแต่ละคันคือ 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ
ถ้าซื้อรถราคาถูกกว่า 5 หมื่นเหรียญ ส่วนที่เหลือจะได้เรา
ส่วนล้อรถ จะได้ฟรีทุก 6 เดือน
สมัยนั้น ล้อราคาถูกสุด 1 ชุด คือ 2,000 เหรียญ
แต่ผู้จัดการ 5 แผนกของออฟฟิศจะได้ล้อพรีเมี่ยม 5,000 เหรียญขึ้นไป
ล้อนั้นเป็นของเราเมื่อเปลี่ยนล้อชุดใหม่ค่ะ
เอาไปขายบ้าง ลูกน้องขอซื้อต่อบ้าง
บางชุดก็ยกให้คนรู้จัก เพราะมีล้อใช้ฟรี เยอะมากค่ะ
ทำงานที่นั่น 9 ปี ... (ในเมืองชื่อ irwindale นะคะ)
จากผู้หญิงหวาน ๆ กลายเป็นสาวห้าวเลยค่ะ
เพราะพวกผิวดำจะตบตีกับเมียบ่อย
แล้วถูกแจ้งจับ เราต้องไปประกันตัว
บางที เจอเคสพนักงานเม็กซิกัน ไปกินเหล้า
แล้วท้าตีท้าต่อยกับอันธพาล
ก็ถูกพนักงานโทรมาเรียกไปช่วยประกันตัวแบบ 24 ชั่วโมงเลยค่ะ
ทำงานแบบนั้น ... และเจ้านายเองก็ชอบจะมาท้าทายตลอด
เพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวในโรงงาน
เจ้านายก็จะท้า ... เช่น
ถ้ายูใส่ชุดยูนิฟอร์ม เสื้อขาว+กางเกงดำ รองเท้าดำ
ใส่ครบ 30 วัน จะได้เงินสดวันละ 100 เหรียญ + ค่ากางเกงดำแบรนด์ดัง
ทั้งบริษัท มีผู้หญิงแค่ 6 คนค่ะ
1 คนคือเรา 4 คนคือฝ่ายบัญชี อีกคนคือสาวจีนเป็นเลขา CEO
สาวคนอื่นอยู่ในออฟฟิศ เราอยู่ใน warehouse คนเดียว
เจ้านายเลยชอบมากวน ๆ
เราก็ใส่นะ ... จน 5 ปีหลัง ใส่แต่เสื้อบริษัท+กางเกงดำ
หรืออย่างตรุษจีน (บริษัทฝรั่งนะคะ) เจ้านายจะถาม
ว่า ตรุษจีนคืออะไร ... พอมีคนงานจีนบอกเค้า
วันตรุษจีน นายจะมาบอก ... ถ้าลูกน้องยูคนไหนใส่กางเกงในสีแดง
จะให้คนละ 100 เหรียญ และยูจะได้เองอีก 100 เหรียญต่อคน
เราแอบกระซิบลูกน้องเลยค่ะ ดังนั้นทุกตรุษจีน พนักงานจะแฮปปี้มาก
หรืออย่างเดือนไหน ยอดขายตก ...
โรงงานต้องตามล้อ chrome ให้ได้ และต้องเร่งส่งออกให้มาก
แบบนี้ งานจะหนัก แต่ได้เงินพิเศษทั้งโรงงาน
ก็จะมาหารหัวกัน หารแล้วยังได้คนละ 3-4 พันเหรียญ
(ล้อที่บริษัท จะเป็นล้อแพง ๆ ค่ะ ขายน้อยแต่ยอดขายสูงลิ่ว)
ไม่ต้องพูดถึงโบนัสนะคะ ได้ 10-12 เดือนเสมอค่ะ
เราทำงานอยู่แบบนั้นจนเกิดปัญหา ... กับชีวิตส่วนตัวค่ะ
ชีวิตรักค่อย ๆ พังลงเพราะความบ้างานของเรา
ที่สุดก็รู้สึกเหมือนชีวิตแห้งแล้ง แล้วค่อย ๆ กัดกร่อนความรู้สึก
เดาว่า คือ ความเครียด (+ เราเป็นพวก perfectionist ขั้นสุดด้วยค่ะ)
ที่สุด ครบ 9 ปี เราลาออก
เราลาออกวันที่ 30 พฤษภาคม
บริษัทแจกโบนัสวันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี
เพื่อจะได้ไม่ต้องรับโบนัส ...
ทุกคนเกลี้ยกล่อม แต่เราตัดสินใจเด็ดขาด
เจ้านายมาหาถึงบ้าน และยืนยันจะให้โบนัส และรถใหม่ของปีนั้น
รวมทั้ง เก็บตำแหน่งผู้จัดการ warehouse ไว้รอเราสบายใจ
ตำแหน่งเราว่างอยู่นานถึง 6 เดือนค่ะ จนเราบอกเจ้านายว่า ..
เราจะมาอยู่ไทยสักพัก ดังนั้น หาคนอื่นมาทำแทนเถอะ
....
....
หลังจากนั้น เราพักงานไป 1 ปีเห็นจะได้
ลูกค้าที่เคยไปซื้อล้อรถกับบริษัทเรา จำเราได้ตอนเจอกันใน super market
เขาเสนอให้เราไปช่วยงานในโรงพยาบาล pomona
(เราจบภาษาศาสตร์นะคะ) ... เราก็ ใจอ่อนอีก
ไปเริ่มต้นเป็น office manager ของแผนกหมอผิวหนัง ที่อยู่ใน pomona hospital
ดูแลทุกอย่าง ... ทุกอย่าง
ตอนแรก เจ้านายที่เป็นบิ๊กหมอของโรงบาลนั้น
สัญญากะเราว่า จะให้ดูแลแค่ 1 คลินิกผิวหนัง แต่มีหมอ 7 คน
ตอนหลังงานมันเพิ่มขึ้นเป็น 3 คลินิก ใน 3 เมืองไกล ๆ กัน
แรก ๆ ก็สนุกค่ะ
(คลินิกรวมทุกอย่างเกี่ยวกับผิวหนัง แต่เน้นรักษามะเร็งผิวหนัง)
ทำงานจนได้เงินขึ้นพรวดพราด ...
เพราะจัดการเคลียงานคั่งค้าง ช่วยบรรดาหมอเคลมประกันได้หมด
แถมตามเก็บเคลมเก่า ๆ ด้วย
เรามีลูกน้องเป็น MA ทั้งหมด 11 คน
มีความงงกับเรื่อง claim มาก ๆ เลยไปเรียนการเคลมประกัน
(คิดว่า ไม่น่าเหมือนกันเมืองไทยเนาะ)
ทำงานอยู่แบบนั้นอีก 5 ปี ... ไม่เคยซื้อเครื่องบำรุงผิวเองเลย
รวมทั้งน้ำยาซักผ้า น้ำยาที่เกี่ยวกับผิวหนัง
เพราะได้รับฟรีมาจากบริษัทสินค้าเหล่านั้น ทุกแบรนด์
แล้วก็เหมือนเดิมค่ะ ... เบื่อ เหนื่อย ยิ่งพอรู้จักคนไข้มาก ๆ
แล้วคนไข้ expired ขึ้นมา ... หดหู่มาก
เลยบอกหมอว่า ขอลาออก ... ก็ออกค่ะ
นั่นคือ 3 งานหลัก ๆ ในชีวิต
ทุกวันนี้ นั่งกินเงินเก่าค่ะ เพราะซื้อหุ้นบ้างอะไรบ้างไว้เยอะ
สามารถลาออกมาเที่ยว นั่งเขียนนั่นนี่ ...
และสุดท้าย ช่วงโควิด จริง ๆ คิดว่าจะไม่ทำอะไรแล้ว
สรุปมีนักเขียนรุ่นน้องมาขอให้ช่วยรับงานพิสูจน์อักษร
ก็เลยทำค่ะ
เหมือนมีคนจ้างอ่านนิยาย ... แต่รับแค่เดือนละ 3 เรื่อง
เป็นเงิน 5-6 หมื่นที่เราแอบขำ ๆ แต่ก็ดีใจที่ได้ช่วย
อ้อ ... ยังมีอีกงานที่ "ทำเพราะรัก" แต่ไม่ได้เงินมาก
แค่รักจะทำ
แต่กลับเป็นได้ connection เยอะมาก
คืองานสัมภาษณ์ ..
งานนี้เงินไม่ดีค่ะ เพราะเราคิดถูก ทำเพราะสนุก
แต่ได้รู้จักคนเยอะมาก ๆ และยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนบัดนี้
จบเนอะ ... ยาวแล้ว
ถือว่าเล่าสู่กันฟังนะคะ
แสดงความคิดเห็น
มีใครเคยเงินเดือนสูงแล้วลาออกมาได้เงินน้อยกว่าเดิมมากหรือไม่ได้ทำงานเลยบ้าง
พอจะเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเพราะอะไรคุณถึงลาออกจากงานเดิมที่ได้เงินเดือนมากนั้นมารับเงินเดือนที่น้อยกว่าเดิมหรือแทบจะไม่มีรายได้เลย (แต่อาจจะพอมีเงินเก็บออมเลี้ยงตัวเองได้อยู่บ้าง) และมีวิธีทำใจ และใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ขอบคุณค่ะ