ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร

กระทู้สนทนา
ชีวิตคนเราเกิดนั้นครอบครัวแต่ละครอบครัวแตกต่างกันออกไป ซึ่งครอบครัวผมเองก็เช่นกัน เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ตั้งเเต่เกิดมาจนจำความได้ บ้านที่อาศัยอยู่นั้นสร้างจากไม้ไผ่ หลังคาทำด้วยหญ้าคา ผนังตัวบ้านจะใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ทากาวและปิดกันเเสงกันสมไว้ เวลาหน้าฝนหลังคาบางจนก็มีฝนรั่วลงมา ก็ต้องหาถัง กะละมัง มารองน้ำฝนเอาไว้ ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก แต่พ่อกับแม่พยายามทำให้ชีวิตครอบครัวของเราดีขึ้น

      จนอยู่มาวันหนึ่งคุณพ่อก็เริ่มล้มป่วย อาจจะเกิดจากการที่พ่อน่าจะเครียด และปกติท่านก็ดื่มเหล้าขาวอยู่แล้ว ป่วยมาสักระยะหนึ่งไปหาหมอรักษที่ไหนก็ไม่หาย ไม่ดีขึ้น จนญาติพี่น้องปรึกษากันเเล้วว่า เอากลับมาดูแลและประคองอาการอยู่ที่บ้าน (เอาง่ายๆว่าทำยังไงท่านก็ไม่กลับคืนมาเป็นปกติแล้ว)
จนกระทั้งเมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม 2545 วันนั้นผมกลับจากโรงเรียนพอดี แม่ก็เดินไปรับที่รถรับส่ง และเเม่จะต้องไปบอกคนขับรถนักเรียนว่าจะขอให้ผมลาหยุด เนื่องจากว่า คุณพ่อของผมได้เสียชีวิตลงแล้ว ผมเสียใจมากเดินร้องไห้จากรถจนมาถึงที่บ้านเห็นร่างพ่อที่ไม่มีลมหายใจเเล้วนอนอยู่ ภาพนั้นมาตดในใจผมมาตลอดเลยว่า ทำไมพ่อถึงได้จากผมไปโดยที่ไม่ได้บอกลาผมสักคำ และผมเองยังไม่ได้บอกอะไรหลายๆอย่างกับพ่อเลย ผมร้องไห้อยู่นานมากกว่าจะมูฟออนจากจุดนั้นได้ และเมื่องานศพคุณพ่อเสร็จสิ้นไป บ้านของเรามันดูเวิ้งว้างไปหมด มันเศร้าไม่หายเลย......

       เมื่อพ่อเสียไปได้ไม่นานผมจำเป็นที่จะต้องย้ายโรงเรียนใหม่ เพื่อให้ได้มาอยู่ใกล้บ้านมากขึ้น เเละค่าเทอมถูกลง เพราะเป็นโรงเรียนของรัฐบาล
เนื่องจากว่าเเม่ส่งเสียคนเดียวไม่ไหว เพราะเเม่ต้องทำงานคนเดียว แต่ผมไม่เคยน้อยใจเลยครับที่ตัวเองจะต้องมาเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน
เพราะตอนที่ย้ายมานั้นผมอยู่ชั้น ม.6 แล้ว เรียนอีก 1 ปี ก็จะขึ้น ม.1 ที่โรงเรียนประจำตำบลอยู่แล้ว
เมื่อผมเรียนจบชั้นป.6 ก็เริ่มเข้ารั้วของโรงเรียนมัธยมต้น ชีวิตตอนนั้นมันก็ข่อนข้างที่จะลำบากมากๆชุดนักเรียนก็ได้รับจากรุ่นพี่ที่เขาจบไปแล้ว เพราะว่าเเม่ก็ยังไม่มีตังมากพอที่จะไปซื้อชุดนักเรียนใหม่ให้ได้ แต่โชคยังเข้าข้างผมอยู่บ้าง ผมได้เขียนเรียงความเรื่องชีวิตของตนเองเพื่อไปชิงทุนการศึกษา 
ผลปรากฎว่าผมได้รับทุนการศึกษานั้น ซึ่งจะส่งผมจนจบปริญญาตรี (เป็นทุนของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร) ช่วงเวลาในวัยเรียนตั้งแต่ ม.1-ม.3ผมใช้ทุนนี้เป็นทุนการในการศึกษาเล่า ซื้ออุปกรณ์การเรียนต่างๆ จนผมจบม.3ทุนนี้ก็ถูกตัดออกไปเนื่องจาก.......ในช่วงนั้น แต่ผมก็ไม่เคยท้อในชีวิตวัยเรียนมากๆพยายามหาทุนการศึกษาต่างที่เขารับสมัครสอบชิงทุนผมก็พยายามเข้าร่วมสอบ ได้มาบ้าง ไม่ได้บ้าง แต่มันก็เป็นทางเดียวที่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งจะช่วงแบ่งเบาภาระของเเม่ได้ และพอขึ้นมัธยมปลาย ก็เริ่มมี กองทุน กยศ.เข้ามา ผมก็ไม่รอช้าที่จะเข้าร่วมในการสมัครยืมกองทุน กยศ.ตั้งเเต่ ม.4จนถึงม.6ผมใช้ทุน กยศ ในการส่งตัวเองเรียนมาโดยตลอด ส่วนค่าขนมแม่ให้มาวันละ 10 บาท แต่ถ้าหากมีวันพิเศษอะไรก็จะได้เงินมาโรงเรียนเป็นวันละ 20 บาท เพราะว่าผมห่อข้าวมากินที่โรงเรียนด้วยจะได้ช่วยกันประหยัด....
     และพอใกล้จะจบช่วงม.ปลายก็จะเริ่มมีการแนะแนวเรื่องของการศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะมีการมาเเนะแนวจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อที่จะสอบหรือรับโควต้าของมหาวิทยาลัยนั้นๆ และมีอยู่วันหนึ่งผมสามารถสอบได้โควต้าของมหาวิทยาลัยนเรศวรได้ ผมดีใจมาก แต่ผมก็ไม่มีเงินที่จะไปเรียนต่อเลย
พยายามหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตัวเองได้เข้าไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่มันไม่ง่ายเลยที่เด็กคนจะหาเงินมากมายขนาดนั้นได้ อีกอย่างทางบ้านเราก็ไม่ค่อยมีเงินมากพอที่จะส่งเราไปเรียนสูงๆได้ แต่หลังจากนั้นพอผมเรียนจบม.6ยังไม่ได้รับใบประกาศนียบัตรเลย ผมก็เลยคิดอยากจะมาหางานที่กรุงเทพฯ
ซึ่งตอนนั้นอาที่เป็นญาติๆกันแกมาทำงานก่อสร้างอยู่ที่ชลบุรี ก็เลยเดินทางมาพร้อมกับพี่สาวที่เป็นญาติกัน โดยการเดินทางมาครั้งนั้นเป็นครั้งเเรกในชีวิตผมเลยที่ได้ออกจากบ้านและเเม่ได้ให้เงินติดตัวมาที่ 2,000 บาท พอเดินทางมาถึงที่อาผมทำงานอยู่ที่ชลบุรี ก็พากันตระเวนหาสมัครงานกันกับพี่สาว ตามร้านไอศกรีม ร้าน KFC หรือที่เขาติดป้ายรับสมัครงานตามห้าง แต่ก็ไม่มีที่ไหนรับเข้าทำงานเลย เนื่องจากว่าอายุยังไม่ถึง 18 ปี เพราะหลังจากที่เรียนจบม.6 ตอนนั้นผมอายุได้เเค่ 17 ปีเอง ผมอยู่กับอาได้แค่ 3-4วันและหางานไม่ได้เลย ผมเลยติดต่อหาเพื่อนสมัยเรียนตั้งเเต่ ป.-ป.5 ที่อยู่ในหมู่บ้านเดียว ว่าทำงานที่ไหน พอจะมีงานให้บ้างไหม ผมเลยตัดสินที่จะแยกออกมาจากอากับพี่สาว เพราะผมอยากทำงาน ตอนนั้นผมมีเงินติดตัวเหลือแค่ประมาณ 600 กว่า เเละวันที่ออกมาไม่ได้บอกอาเลย ได้เเต่ฝากพี่สาวให้เป็นคนบอกอาให้เพราะเกรงว่าอาจะไม่ให้ออกมา ผมเลยนั่งรถทัวร์จากชลบุรี มาลงที่เซ็นทรัลบางนา
(ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าตรงนั้นคือเซ็นทรัลบางนา) ผมก็มาลงตรงท่ารถตู้ ซึ่งผมจะต้องไปหาเพื่อนที่อยู่ เซียร์รังสิต ผมนั่งรถประจำทางไม่เป็นเลยเพราะว่าไม่รู้จักว่าสายไหนนั่งจากไหนไปไหน นั่งได้อย่างเดียวคือ เเท็กซี่ ผมเลยนั้งแท็กซี่จากท่ารถตู้บางนางมาหาเพื่อนที่รังสิต ซึ่งตอนนั้นมีเงินติดตัวเเเเค่500 บาทสุดท้าย จนมาเจอเพื่อน เพื่อนก็หาห้องเช่าให้ให้อยู่ เดือนละ 900 ค่าน้ำไฟเพื่อนบอกไม่ต้องจ่าย(เพราะเพื่อนเป็นเเฟนกับเจ้าของหอพัก)
ผมไม่มีอะไรเลยนอกจากกระเป๋าเสื้อผ้าใบเดียว เงินก็ไม่มีสักบาท เพื่อนใจดีมาก เอาที่นอนหมอนผ้าห่มและพัดลมมาให้ ผมก็พักอยู่ที่นั่นและก็หางานไปด้วย ค่าใช้จ่ายต่างๆเงินใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อนก็ให้ยืมมา จนผมได้งานที่โรงงานไลท์ออน ที่คลองสามธัญญบุรี  ผมทำงานอยู่ที่นั้นได้แค่ 3 เดือนมันรู้สึกว่าผมได้รับเเรงกดดันจากรุ่นพี่ที่เขาทำงานมาก่อน และเเรงกดดันจากหัวหน้างาน เนื่องด้วยผมยังไม่มีประสบการณ์ในการทำงานด้วย เงินเดือนที่ได้จากการทำงานเงินจะออกให้วันที่ 15 เเละสิ้นเดือนคือออก2 ครั้ง แต่ละครั้ง ได้เงินเดือนแค่ 3400 กว่าบาท ซึ่งมันก็ไม่เพียงพอในการดำรงชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่เลย 
      จนกระทั้งผมตัดสินใจลาออกจากงาน แลเงินก็ใกล้จะหมดเต็มที ผมพยายามใช้อย่างประหยัดที่สุด มีอยู่มาวันหนึ่งน้ำกินในห้องก็ไม่มี ข้าวก็ไม่มีกิน เพื่อนก็ไม่อยู่ คือในห้องนั้นผมไม่มีอะไรกินเลย จนไปค้นถุงขยะที่อยู่หลังห้องเเล้วไปเจอเศษขนมปังที่ทิ้งไว้ ผมได้เศษขนมปังนั้นเพื่อประทังความหิวไปก่อน นน้ำก็กินน้ำจากก๊อกน้ำประปาหลังห้อง เเละในวันนั้นเองเป็นช่วงเดือนมีนาคม ซึ่ง เงินกองทุน กยศ จะเข้าให้อีก 1,000 บาทเป็นงวดสุดท้าย แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะได้ภายในวันนั้นเลยหรือเปล่า ผมเลยตัดสินใจเดินไปที่หน้าปากซอย เพื่อนจะลองไปกดดูยอดเงิน ปรากฎว่ามียอดเงินเข้า 1,000 บาท ผมดีใจมาก ที่มีเงินไว้ประทังชีวิตตัวเองอีกต่อไป หลังจากที่ผมได้ออกจากงานโรงงานเเล้ว ผมก็ได้ติดต่อหาเพื่อนที่รู้จักกันทาง email  ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ว่าพอจะมีงานให้ทำไหม เพราะจำได้ว่า เพื่อนทำงานที่ห้างที่ไหนสักที่ ผมเลยตัดสินใจย้ายจากรังสิตมาอยู่ที่ ลำสาลี และผมได้มาสมัครงานที่ ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เกต 
เป็นพนักงาน Packing ที่เอาของใส่ถุงให้ลูกค้าเวลาลูกค้ามาคิดเงินและเข็นรถเข็นไปส่งลูกค้าที่รถ หลังจากทำงานที่ฟู้ดแลนด์ได้สักพัก ผมก็พอลืมตาอ้าปากได้บ้าง เพราะเงินที่ได้ก็ได้เยอะอยู่พอสมควร น่าจะได้เดือนละ  8000-9000 กว่าบาท ซึ่งหักค่าเช่าห้อง ค่ากินต่างๆ ก็พอเหลือใช้บ้าง มีส่งให้ที่บ้านบ้างเป็นบางเดือน พอทำงานที่ฟู้ดแลนด์ ได้ประมาณ 9เดือน ผมก็ลาออก เเละมาสมัครงานเป็น CallCenter ซึ่งได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 9500 บาท ตอนปี พ.ศ.2555 ผมเริ่มงาน  CallCenter ในวันที่1มิถุนายน 2555 จนถึงปัจจุบันรวมเเล้วเป็นระยะเวลา 10 ปี ผมทำงานที่นี่จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจจากทางหัวหน้าให้ขึ้นมาเป็นหัวหน้ารองเพื่อดูแลน้องๆในทีมมันเป็นสิ่งที่ผมภาคภูมิใจมากที่สุด ไม่คิดว่า ชีวิตของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งจะมาได้ไกลขนาดนี้ ซึ่งชีวิตในปัจจุบันก็มีล้มลุกคลุกคลานบ้าง สู้ชีวิตมาตลอด ท้อบ้าง เหนื่อยบ้าง นั่งร้องไห้คนเดียวบ้าง การที่เราเติบโตมาด้วยลำเเข้งของตัวเองทำไมมันเเสนลำบากเหลือเกิน แต่ผมภูมิใจนะครับ ที่ผมผ่านมาได้ ชีวิตต่อจากนี้ไป ผมก็ได้ค่หวังว่าสักวันหนึ่งผมจะพยายามสร้างฐานะตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ดูแลแม่และน้องได้... ชีวิตที่เล่ามาทั้งหมดอาจจะยาวหน่อยนะครับ แต่บางครั้งผมเหนื่อย ท้อ ผมไม่สามารถที่จะคุยหรือปรึกษาใครได้เลย ทางผมก็ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วงเรา  ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้ของผมจนจบนะครับ ขอกำลังใจจะพี่ๆเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านด้วยนะครับ เเละผมก็ขอเป็นกำลังใจให้คนที่สู้ชีวิตเหมือนกันนะครับ สู้ๆครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่