จะดูเป็นไอขี้แพ้รึป่าว

สวัสดีค่ะ หนูเป็นเด็กม.6นะคะ คือหนูรู้สึกว่าชีวิตหนูมันรู้สึกเฉยๆหรือจะเรียกว่าสงบดี คือหนูไม่ได้รู้สึกทุกข์หรือสุขขนาดนั้น แต่แค่หนูได้เดินออกไปเดินหน้าบ้านเห็นหน้าสุนัขของหนู หนูก็สามารถยิ้มและรู้สึกสบายใจ ชีวิตหนูไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แต่จริงๆก็มีสิ่งที่ต้องการแต่สิ่งนั้นก็เพื่อความสุขและความสบายใจของคนรอบข้าง ถ้าให้หนูตายวันนี้หนูก็ไม่รู้สึกเสียใจ แต่หนูไม่ได้รู้สึกอยากตายนะคะ หนูรู้สึกว่าในเมื่อหนูมีชีวิตอยู่ก็อยากจะทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นให้ได้มากที่สุด อยากให้ความทุกข์ของผู้อื่นมารวมไว้ที่หนู หนูอยากให้คนรอบข้างมีความสุขเหมือนตอนหนูเด็กๆ ช่วงเวลาเด็กของหนูมันอบอุ่นและก็มีความสุขมากเลยค่ะ ทุกปีจะมีการจัดงานปีใหม่ วันเด็ก วันสงกรานต์ แล้วก็จะรวมญาติ มีการเล่นเกม ทำอาหาร กินอาหาร ร้องเพลง ซึ่งแม่ของหนูจะเป็นแม่ครัวใหญ่ คอยทำอาหาร เก็บจาน ล้างจาน ขอเล่าพื้นฐานชีวิตตอนเด็กก่อนนะคะ คือตอนเด็กครอบครัวของหนูก็เป็นครอบครัวธรรมดาครอบครัวนึง ฐานะปานกลาง คุณแม่จะเป็นคนที่ใจดีมากเลยค่ะ ถึงแม้จะขี้งอนไปบ้าง ทำให้ตอนเด็กๆเราเป็นเด็กที่ค่อนข้างเอาแต่ใจ พี่มีอะไรเราก็ต้องมีด้วย มีอยู่เช้าวันนึงค่ะเป็นเช้าที่ปกติเลยแม่ถามหนูว่า หนูรักแม่ไหม ซึ่งแม่ก็ถามเป็นปกติอยู่แล้วค่ะ ตอนนั้นหนูน่าจะอยู่ประมาณป.5 หนูเอาแต่เล่นแท็ปเล็ตแล้วก็พยักหน้าส่งๆไป ซึ่งมันก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีเลย ตอนเด็กๆหนูเป็นคนไม่ค่อยพูดขนาดที่เตรียมอนุบาลไม่รับหนูเพราะหนูไม่ยอมพูด เป็นคนที่ไม่ชอบยิ้ม ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันค่ะ5555 คุณพ่อของหนูตอนเด็กๆไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่เพราะพ่อจะทำงานหนักมากกก จันทร์-เสาร์ เลิกงาน5โมง ถึงบ้าน6โมง กินข้าว แล้วก็นอน ไม่ค่อยได้เจอหน้าหรือคุยกันเท่าไหร่ แต่พ่อเป็นคนตลกนะคะ ถ้ามีเวลาว่างท่านก็จะพยายามพาไปเที่ยว ไปหาซื้อกิน ซื้อของดีๆมาให้ ขอเล่าต่อจากเช้าวันนั้นนะคะ คือหลังจากตอนเช้าหนูก็ได้รับโทรศัพท์บอกว่าแม่เข้าโรงพยาบาลค่ะ หนูก็นั่งร้องไห้รอจะไปโรงพยาบาลกับน้า พอหนูไปถึงโรงพยาบาลหนูเห็นแม่นอนนิ่งอยู่บนเตียงมีสายอะไรไม่รู้เต็มไปหมด หนูก็ได้แต่ร้องไห้ คุณหมอบอกว่าคุณแม่เส้นเลือดในสมองแตก แต่หนูไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรหรอกนะคะตอนนั้น จริงๆห้ามเข้าห้องที่แม่อยู่ด้วยซ้ำเพราะอายุไม่ถึง พ่อก็พยายามหาโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเพื่อที่จะผ่าตัด เพราะเส้นเลือดในสมองแตกบริเวณก้านสมอง ซึ่งยากมากในการผ่า ถ้าผ่าได้ก็อาจจะพิการ แต่ก็ไม่มีโรงพยาบาลไหนรับเพราะเสี่ยงมากในการขนย้ายผู้ป่วย จึงไม่ได้ย้ายและได้แต่ภาวนาให้อาการดีขึ้นเพราะถ้าผ่าเลยก็50/50 ทางครอบครัวจึงทำทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นไศยศาสตร์หนืออะไรก็ตาม หนูไปเยี่ยมแม่ทุกวันเลยล่ะค่ะจนวันนี้อาการเริ่มทรุดหนูไปกระซิบข้างหูแม่ว่า หนูอยู่นี่นะ หนูคิดถึงแม่นะ หนูรักแม่นะ หนูเห็นน้ำตาของแม่ไหลออกมา แต่ในใจหนูบอกกับแม่ว่า หนูอยากให้แม่สบาย ไม่ว่าแม่จะเป็นยังไงหนูก็จะยอมรับในสิ่งนั้น หนูอยากให้แม่ฟื้นขึ้นมานะคะ แต่ถ้าแม่ฟื้น แม่จะต้องทุกข์เป็นทุกข์กับการเป็นเจ้าหญิงนิทราไปตลอดชีวิต หนูจึงบอกกับแม่ในใจว่า อยากให้แม่เลือกในสิ่งที่แม่สบายใจนะคะ หลังจากวันนั้น หนูก็ไปโรงเรียนตามปกติและรอคอยการไปหาแม่ในทุกเย็น จนวันนึงพี่ของหนูมาที่หน้าห้องเรียน ตอนนั้นหนูยังไม่รู้หรอกค่ะว่ามาเพราะอะไร รู้แค่ว่าต้องรีบเก็บของกลับ แต่พอเก็บของอะไรเสร็จ เดินไปหาพี่ มันเป็นคำที่หนูไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิต หนูไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้จริงๆ เป็นความรู้สึกที่เจ็บแบบสุดขั้วของหัวใจจริงๆนะคะ หลังจากนั้นก็จัดงานตามพิธีปกติ แต่ก็ทำให้หนูรู้ว่ามีคนรักแม่มากแค่ไหน แม่เป็นคนที่มีน้ำใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส มีแต่คนรัก ไปที่ไหนก็จะมีของไปฝากคนอื่นเสมอ แต่ไม่รู้ทำไมแม่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่นั่นแหละค่ะ ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอน หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้หนูได้ข้อคิดอะไรีหลายอย่าง ทำให้หนูโต และมีจิตใจที่เข้มแข็งในระดับนึงเพราะผ่านเรื่องที่เสียใจที่สุดมาแล้ว สิ่งแรกที่หนูเสียใจที่สุดคือเช้าวันนั้นค่ะ ทำไมหนูไม่บอกรักแม่ไปนะ ทั้งๆที่เป็นครั้งสุดท้ายแท้ๆ เรื่องนี้ทำให้หนูอยากทำทุกวันให้ดีที่สุด รู้สึกอะไรก็บอกไป(ตอนเด็กๆเป็นคนขี้อายด้วยค่ะ เป็นพวกปากแข็งและก็ปากไม่ตรงกับใจ) เรื่องที่สองคือ กาลเวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง คำนี้คือใช้ได้จริงนะคะ ช่วง2-3ปีแรกที่คุณแม่เสีย หนูรู้สึกโหว่งงมากเลยค่ะ เป็นความรู้สึกที่มันใจหายเพราะปกติแม่จะนอนกอดหนู หนูก็นอนกอดตุ๊กตา แต่วันนี้กลับไม่มีใครกอดเราอีกแล้ว มันน่าใจหายนะคะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ผ่านมาหลายๆปีจนถึงตอนนี้หนูก็รู้สึกคิดถึงและร้องไห้อยู่บ้างในช่วงที่หนูรู้สึกท้อกับชีวิต อันนี้คือเรื่องราวพื้นฐานในชีวิตของหนู ต่อมาเข้าประเด็นกันดีกว่าค่ะ คือหนูเข้ามัธยม1-6 ซึ่งโรงเรียนเป็นโรงเรียนที่แม่และพี่หนูเคยเรียน พี่ของหนูค่อนข้างเป็นคนขี้โรคมากเลยค่ะ แต่พอม.3กลับสอบติดโรงเรียนชั้นนำและทุน ทั้งที่นอนโรงพยาบาลไม่ได้มาเรียนที่โรงเรียน ทำให้สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนและเป็นที่รักของคุณครู พอหนูสอบเข้ามาที่นี่ หนูก็ถูกรู้จักบ้างในฐานะน้องของพี่ แต่หนูค่อนข้างถนัดวิชาคณิตศาสตร์ทำให้ได้รับโอกาสในการไปแข่งขันและติวจากการฝึกซ้อม ช่วงม.ต้นหนูยอมรับว่าหนูติดเกมมากแต่เกรดในรรยังไม่ต่ำกว่า3.9ทุกปี จนขึ้นม.3ในช่วงสอบเข้า หนูกลับสอบที่อื่นไม่ติดเลยนอกจากที่โรงเรียนนี้ จึงเรียนที่นี่ต่อ ซึ่งหนูก็ยอมรับในการกระทำของหนูว่าทำไมถึงสอบไม่ติด แต่ก็แอบเสียใจเล็กน้อยเพราะเราก็ไม่ใช่ว่าไม่ตั้งใจเรียนเลย แต่พอการสอบวัดผลระดับประเทศออกมาเราได้หนึ่งร้อยคะแนนเต็มคณิตศาสตร์ นั่นกลับเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ทำให้มีชื่อเสียงในโรงเรียน การสอบได้ในครั้งนั้นทำให้ทุกคนคิดว่าเราเก่ง แต่ในความคิดของเราจนถึงตอนนี้ เราได้แต่ตอบไปว่าความเก่งไม่ได้มีมาแต่เกิดนะ ถ้าไม่หมั่นทบทวนก็ลืมได้เหมือนกัน ยอมรับว่าตอนมอต้นเราได้ความเก่งมาจากการฝึกฝนจากคุณครูและในห้องเรียนเท่านั้น ไม่ได้เรียนพิเศษเลย และเป็นคนที่ไม่ได้กลับมาทบทวนด้วยค่อนข้างขี้เกียจเลยแหละ แต่พอขึ้นมอปลายมาความเก่งมันกลับต้องมาจากความพยายามและทบทวน พอขึ้นมอปลายมาเราก็ยังต้องเจอกับผลงานของเราที่รรเอามาใช้ตั้งแต่มอสามจนตอนนี้มอหกก็ยังใช้ผลงานนั้นอยู่เวลามีประเมินรร แต่เรากลับรู้สึกไม่ชอบ เพราะผลงานตั้ง3ปีที่แล้ว ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันหนูไม่อยากให้ใครมาคาดหวังว่าหนูจะทำได้และยังคงรักษามาตรฐานได้อยู่ ซึ่งตอนมอสามมีการแจกเงิน10,000สำหรับคนได้เต็ม มีแต่คนถามว่าปีนี้ต้องเอาให้ได้นะ ซึ่งก็แน่อยู่แล้วว่ามอปลายต้องยากกว่ามอต้น แต่ก็ค่อนข้างกดดันเพราะกลัวคนอื่นจะผิดหวัง และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะมากดดันเด็กม.6 ก็คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนแรกหนูอยากเข้าคณะครุกับบัญชีเพราะเป็นคนค่อนข้างไปคณิตได้  แต่ก็อยากเป็นคุณหมอแต่ไม่กล้าบอกใคร ไม่อยากถูกมองว่าเลือกตามค่านิยมของสังคม แต่ก็พยายามเก็บเป็นความลับ พอมีใครถามก็จะตอบว่าาอยากเข้าครุมาตลอด จนถึงช่วงรอบ1 หนูได้โควตาเภสัชของรรแต่หนูไม่ยื่นเพราะหนูไม่ชอบ และรู้สึกว่าในเมื่อเราไม่ชอบก็ไม่อยากไปกันที่ของคนที่เขาอยากเข้า และก็ไม่ได้ยื่นที่ไหนเลย เกินครึ่งห้องก็คือติดรอบ1กันไปหมดแล้ว เราก็ถูกกดดันจากผู้ใหญ่ตลอดว่าเรียนที่ไหน บางครั้งก็รู้สึกว่าการที่เราไม่ได้ยื่นรอบ1คือแปลว่าเราไม่ฉลาดหรอ แต่เราก็ได้แต่ให้กำลังใจตัวเองว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า คือหนูถือคติว่าให้ความสำเร็จเป็นตัวป่าวประกาศความสามารถของเรา และหนูก็ไม่พูดความเก่งหรือความดีของเรา แต่จะต้องให้ผู้อื่นเป็นผู้กล่าวเอง เพราะถึงแม้จะไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นคนเก่งหรือดีแค่ไหน ตัวเราเองหนะแหละรู้ดีที่สุด อะไรหลายๆอย่างทำให้หนูเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดเหมือนเดิมแต่พูดมากขึ้นในสิ่งที่เป็นประโยชน์เพราะรู้สึกว่าไม่อยากพูดอะไรที่ไปทำร้ายจิตใจผู้อื่น ยิ่งทำให้หนูเป็นคนเงียบและเก็บความรู้สึกทุกอย่าง เวลาพ่อหรือใครพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจหนู หนูก็จะเงียบไม่พูดอะไรกลับถึงแม้จะโกรธหรือรู้สีกเสียใจแค่ บางครั้งก็อยากจะอธิบายแต่ก็ขอเงียบไว้ดีกว่าถึงแม่สิ่งที่เขาพูดจะไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นก็ตาม โดยเฉพาะการดูถูกความพยายามของเราจากคนในครอบครัว ด้าวยทึ่เราเป็นคนไม่พูด ทำให้ถูกเข้าใจผิดไปหลายอย่าง เช่น เราตื่นหลังจากที่พ่ออกไปทำงาน มาอ่านหลังสือ  เรียนมาทั้งวัน ช่วงเย็นก็เลยอยากพักผ่อนโดยการเล่มเกมสักหน่อย ซึ่งก็ตรงกับช่วงที่พ่อกลับพอดีทำให้พ่อคิดว่าเราเป็นคนขี้เกียจ มันนเจ็บใจนะ แต่เราก็อยากให้ถึงวันที่เราสอบติดก่อน เราไม่อยากพูดอะไรออกไปเพื่อให้ตัวเองดูดี เราอยากให้ความสำเร็จเป็นสิ่งมี่บอกถึงการกระทำที่ผ่านมามากกว่า แต่ก็แอบกลัวว่าความพยายามที่ห่านมาจะไม่สำเร็จเพราะเริ่มรู้ท้อช่วงก่อนสอบนี่สิ ตอนนี้ก็คือไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงแต่อยากให้เป็นอย่างที่หวัง หากหนูมีศักยภาพมากพอหนูก็อยากจะใช้ความสามารถให้เต็ม อันที่จริงหนูอยากสละชีวิตทั้งชีวิตให้กับการช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งโดยเฉพาะมนุษย์ที่ดี หนูอยากให้พวกเขาได้อยู่กับคนที่เขารักมากที่สุด หลายๆเหตุการณ์ในชีวิตทำให้หนูเป็นหนูในทุกวันนี้ จริงๆสิ่งที่อยากจะถามก็คือ การที่หนูปฏิเสธโอกาสในชีวิต หนูจะเป็นไอขี้แพ้รึป่าวคะ คือมีคุณครูอยากให้หนูไปแข่งในรายการทีวีเพื่อชิงทุน แต่หนูไม่อยากไปด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง หนูไม่อยากถูกมองว่ามีโอกาสแล้วไม่คว้าเอาไว้ แต่หนูไม่สบายใจจริงๆที่จะทำ หนูอยากเตรียมตัวสอบเข้ามากว่า อีกอย่างหนูไม่ได้มีความจำเป็นเรื่องเงินขนาดนั้น หนูอยากให้คนที่สมควรได้ได้รับโอกาสนี้มากกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่