สงสารคนยูเครนมากเลย ทำไม ปธน.ยูเครน จึงไม่เลือกวิธีแบบที่ ร.5 ของไทยครับ

กรณีของยูเครนเหมือนไทยเป๊ะ คือ โดนรัสเซียหาเรื่องมาแบ่งเอาดินแดนไป คือแค้วน โดเนสและลูฮัน
แต่ ปธน. ยูเครนกลับไม่ยอม โดยเชื่อว่านาโต้จะช่วยได้ แต่สุดท้ายนาโต้ช่วยแบบผิวเผิน เพราะหากนาโต้เข้าร่วมเต็มที่ จะทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงเกิดสงคามโลกทันที

ดังนั้น ในเมื่อยูเครนรู้แบบนี้แล้ว ทำไมจึงไม่ยอมเจรจาตัดโดเนสและลูฮัน และขอให้รัสเซียหยุดยิงไปครับ และยอมว่าจะไม่เข้าร่วมนาโต้ไปตลอดกาลเลย พูดง่ายๆว่า เพื่อให้รัสเซียใจเย็นลงและพอใจกับผลประโยชน์เสีย หลังจากนั้นก็ค่อยคิดหาวิธีฟื้นฟู แก้ไขกันใหม่ก็ได้ หรือวันข้างหน้าหากหมดยุคปูตินไป รัสเซียอาจจะมีนโยบาย ท่าทีทางการเมืองเปลี่ยนไปก็ได้ เพราะ 2 แคว้นนั้นมีคนฝักใฝ่รัสเซียเยอะ รัสเซียจึงมีข้ออ้างที่จะเข้ามาแทรกแซง แต่แคว้นอื่นๆไม่ได้ฝักใฝ่ ดูซิวันข้างหน้ารัสเซียจะเอาอะไรมาอ้างอีก

เหมือนอย่างที่ ร.5 ซึ่งตอนนั้นถูกอังกฤษ ฝรั่งเศสเอาเรือรบแล่นมาทางเจ้าพระยาและเอาปืนใหญ่มาจ่อเรียบร้อยแล้ว หาก ร.5 ทรงขัดขืน ยอมหักไม่ยอมงอ ไทยเราตอนนั้นสภาพสะบักสะบอมไม่ต่างจากยูเครนแน่นอน ประเทศชิหายวายวอด ผู้หญิงโดนจับข่มขืนแบบนานกิง ราชวังโดนยิง ทองโดนปล้นแบบกรุงศี ไม่เหลือประเทศแล้ว

ทำไม ปธน.ยูเครนคนนี้ ถึงยอมงักไม่ยอมงอครับ ดูจากการเจรจา 3-4 รอบแล้ว ยังยื่นข้อเสนอเดิมต่อรัสเซีย ยืนกรานจะไม่ยอมเหมือนเดิม
ผมละสงสารคนยูเครนจริงๆ ที่มีผู้นำคนนี้ มันไม่คุ้มเลยที่จะเอาประเทศไปแลกกับจุดยืนของตนเองแบบนี้ ตอนนี้ประเทศพังพินาศจนหมดสิ้นแล้ว จะฟื้นฟูยังไม่ต้องถาม ถามว่าคนที่อพยบไปจะกลับมาไหมก่อนดีกว่า ประเทศแทบไม่เหลือประชาชนอยู่อาศัยแล้วครับ
เพราะไม่ยอมที่จะแขนขาขาดเพื่อรักษาชีวิตไว้เลย แต่เลือกที่จะไม่ยอมเสียอะไรทั้งสิ้น ยอมที่ตายไปพร้อมกับกระบอกปืนอย่างเดียว นิสัยแบบนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำเลยผมว่านะ เหมาะที่จะไปเป็นทหารมากกว่า กล้าบ้าบิ่นเกินไปครับ

ส่วนตัวสนับสนุนให้ยอมแพ้นะ เพราะรัสเซียล้อมเมืองหลวงไว้หมดแล้ว อยากได้อะไรก็ให้มันไป รักษาประชาชน เศรษฐกิจไว้ หากมี 2 สิ่งนี้ ยังไงก็ยังฟื้นฟูได้อยู่ วันหน้าหมดยุคปูติน ท่าทีรัสเซียเปลี่ยน ค่อยเจรจากันฉันพี่น้องยังไม่สายเลยครับ
แต่วันนี้ ประชาชน เศรษฐกิจ โรงงานอุตสาหกรรมสำคัญๆ พังพินาศหมด สูญเสียหมด จะเอาอะไรมาพยุงชาติได้ สภาพไม่ต่างจากซีเรียเมื่อ 2 ปีที่แล้วก่อนโควิดเลย เสียดายจริงๆครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
สถานการณ์แตกต่างกันมากชนิดเอามาเทียบกันไม่ได้เลยครับ

สยามตอนนั้น เพิ่งจะเริ่มสร้างกองทัพยุคใหม่เอง สมรรถนะเป็นรองมหาอำนาจของโลกยุคนั้นหลายช่วงตัว เรียกว่าถ้าเทียบความต่างระหว่างกองทัพสยามกับกองทัพฝรั่งเศสตอนนั้น เหมือนเอาเด็กไปต่อยกับนักมวยเฮฟวี่เวท ขืนสู้กันด้วยอาวุธ ไม่มีทางต้านทานได้เลย ตัวอย่างข้างบ้านอย่างญวนกับพม่าก็มีให้เห็นตำตาอยู่แล้วว่าการคิดจะสู้ ผลจะออกมาเป็นแบบไหน

กองทัพยูเครน ถึงจะเป็นรองรัสเซีย แต่ก็ไม่ได้เป็นรองมากถึงกับว่าจะสู้กันไม่ได้ แถมเป็นประเทศเดียวกันมานาน น่าจะรู้ไส้รู้พุงกันพอสมควรว่าอาวุธและยุทธวิธีของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร ยูเครนก็เลยอาจจะมั่นใจว่าน่าจะพอรับมือรัสเซียได้



ที่สำคัญคือ สยามตอนนั้น มองไปมองมาก็ไม่เห็นว่าจะมีใครจะช่วยได้เลย สองข้างที่ขนาบอยู่ซ้ายขวา มีแต่จ้องจะจับสยามเชือดแล้วแบ่งเค้กกันมากกว่า ถึงจะผูกมิตรกับเยอรมันกับรัสเซียก็อยู่ไกล ต่อให้สองชาตินั้นจริงใจแค่ไหน ถ้าศึกมาถึงสยามจริงก็คงมาช่วยไม่ทันอยู่ดี

ทางรอดของสยามจึงมีไม่มากนักนอกจากการต่อรองผ่อนหนักเป็นเบา ยอมเสียดินแดนบางส่วนเพื่อรักษาส่วนที่เหลือเอาไว้ ซึ่งก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้วที่รักษาเอาไว้ได้มากกว่าที่สองมหาอำนาจตั้งใจจะเอาไป

ส่วนยูเครน ดันไปหลงคารมคิดว่าถ้ารัสเซียจะบุกมาจริง นาโต้จะมาช่วย ก็เลยฮึกเหิมมั่นใจว่าจะสู้กับรัสเซียได้แน่ แต่พอศึกมาจริงก็อย่างที่เห็น นาโต้ดันอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้าโดดลงมาช่วยจริงจัง ยูเครนก็เลยรับเละไปคนเดียวก่อน
ความคิดเห็นที่ 2
ทำใสซื่อมาโพสต์กระทู้มีอะไรแอบแฝง

พวก log in ที่สร้างขึ้นมา แล้วตั้งกระทู้ครั้งเดียวนี่ มาเนียน ๆ หลายรอบล่ะ
ความคิดเห็นที่ 3
ผู้นำคือส่วนนึงแต่อีกสวนคือคนในประเทศว่าเขาพร้อมรบแค่ไหน เท่าที่เห็นยูเครนสู้แบบยอมตาย และผู้นำเขาก็เอาด้วย
ผมให้ข้อสังเกตุง่ายๆครับเมืองมาริอุโป ที่ตอนแรกออกข่าวใหญ่โตว่ารัสเซียยึดได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ายูเครนสู้สุดใจ

ลองคิดแบบใจเขาใจเรา มีคนมาบอมบ้านผม ผมไม่เหลือที่อยู่ ไม่เหลืออาชีพอะไรแล้วผมขอสู้ตายดีกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่