แคมป์ปิ้งแสลงหลวง แสลงใจ..2 วัน 1 คืน...แค่นี้ก็ กำไรชีวิต!!

ทริปพักกาย พักใจมาอีกแล้ว แคมป์ปิ้งเมื่อมีเวลา และยามร่างกายต้องการพักผ่อน เที่ยวรอบนี้คือการได้พาแม่แฟนมาเยี่ยมญาติ
เค้าบ่นคิดถึงน้อง ก็จัดการนัดวันพาแม่แฟนไปบ้านน้องที่เพชรบูรณ์ ส่วนวัยรุ่น และวัยเด็กอย่างเราๆ ก็ไปกางเต็นท์นอนที่ทุ่งแสลงหลวงกัน 
เล่าความแสลงใจก่อนเลย..จากกำหนดจะไป 18-20 กุมภา 3 วัน 2 คืน…แต่ทุกอย่างเสียแผนหมด ก็เลยต้องกลายเป็น 2 วัน 1 คืน ไปเริ่มกันเลย…

18 มีนา..03:00 รถออกเดินทาง ขับกันไป 3 คัน 3 คนพี่น้องแฟน ครอบครัวละคันเลย ทั้งหมดนับได้ 12 คน จุดหมายแรกคือ พาแม่แฟนและน้า
ไปหาน้องแถวๆวัดผาซ่อนแก้ว แล้วแกก็จะนอนพักกันที่นั่น ไปถึงก็ 9 โมงกว่าได้ เหมือนทริปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ทั่ว ก็จัดการนัดแนะกันอีกทีว่าเดี่ยววันที่ 20 จะกลับมารับแม่และน้า..แล้วความเที่ยวจึงบังเกิด

3 คัน หลังจากส่งแม่และน้าแล้วก็พากันมุ่งหน้าไปที่ ทุ่งแสลงหลวงโดยตรง เรากับที่บ้านแฟนจองการเข้าอุทยานกันเรียบร้อย ชักภาพหน้าอุทยานกันหน่อย..นี่แต่ก็เป็นครั้งที่ 4 ของเรากับแฟนที่มาพักที่นี่

อันนี้รถพี่เขยแฟน จัดเต็มทั้งของและรถ 4x4 พร้อมลุย ชำระเงินกันเสร็จก็เข้าไปด้านในกันเลย 

เลือกที่กางเต็นท์ เอาของลง  ไอคันน้ำเงินนี่ของแฟน ตั้งแค้มป์กันเรียบร้อยดี เจ้าตัวเล็ก แอบโชว์ กะหล่ำปี ที่ได้มาจากบ้านน้า อันนี้เค้าเก็บก่อนฉีดยา ปลอดสาร แต่ก็มีหนอมาด้วยตามระเบียบ จัดเก็บของกันได้เรียบร้อยก็ไปต่อด้านในเลย ก่อนเข้าไปด้านใน ที่รู้จักกันดีว่าจะเป็นทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งเมืองไทย แวะติดต่อจองรอบส่องสัตว์ช่วงดึกไว้ก่อน มาทุกครั้งไม่เคยได้ส่อง มารอบนี้สมใจหวัง เพราะหลานๆ ทั้ง 4 ของแฟนเรียกร้องกัน

แล้วเราก็เข้าไปด้านในกันใช้รถพี่เขยคันเดียวไปกันหมด เพราะเป็น 4x4 น่าจะรอดและปลอดภัยกันเส้นทางสุด ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็จะมีเหมือนบึงน้ำเล็กๆที่สัตว์ไว้มากินน้ำ ตอนเช้าๆ นี่หมอกลงจะสวยมาก แต่ก็ไม่เคยได้เก็บภาพนะ มาบางทีก็จางๆไปแล้ว ที่พลาดไม่ได้เลยคือศาลาดุสิตา  ทุ่งนางพญา 
ขับเข้ามาเรื่อยๆจะเจอบึงน้ำที่บอก สวยใช้ได้เลย

ทางคดเคี้ยว มีแอ่งโคนบ้าง ต้องลุยบ้าง ถ้าหน้าฝนมานี่ไม่ต้องสืบ ใช้เวลาแน่นอน และต้องใช้การขับขี่ที่มีประสบการณ์ พร้อมกับรถที่เข้าไปแนะนำให้เป็น 4x4 เลย  ครั้งที่แล้วที่มาฝนไม่ตก ดินแห้ง ขนาดของแฟน 4x2 ก็ลองเข้ามาแล้ว ยังถอดใจไปแค่ศาลาดุสิตา เพื่อความปลอดภัยด้วย

ขับมาได้ไม่นานก็ถึงศาลาดุสิตา..ให้ชมวิวกันแป๊ปเดียว เพราะเราจะเข้าไปด้านในก่อน ขับไปเรื่อยๆ มีโยก มีเอียงกันบ้างตามประ OFF ROAD ขี้ดินขึ้โคลนติดหัวกันก็มี เรากับแฟนและหลานๆ อีก4 คนนั่งข้างหลัง กันเพื่อให้เด็กได้ใกล้ชิดและดูธรรมชาติกันไปเรื่อย 

บางจุดอาจจะถ่ายกันไม่สวย เพราะว่าเดี๋ยวมาใหม่ ก็ถ่ายใหม่ก็ได้..รอบที่ 4 ก็ยังถ่ายซ้ำๆ วนๆ




ตลอดทางจะมีป้ายบอกเป็นระยะ ว่าจะอีกกี่ กม. ถึงจุดไหน ลองเล่นโทรศัพท์ TrueMoveH ยังมีสัญญาณอยู่นะ ตรงกลางป่าจากที่เลยศาลาดุสิตาไป
ยังเล่นได้อยู่ ขนาดเข้ามาจากที่ทำการน่าจะ เกิน 5-10 กม. 

นั่งมองทาง มองฟ้าไปเรื่อยๆ ก็มาถึง ด้านใน ทุ่งนางพญา ก็ถ่ายรูป เดินเล่นชมบรรยากาศกันได้สักพัก
เที่ยวกันเผื่อเวลาออก เข้ามาก็เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว จนท.จะปิดทางเข้า เพราะสัตว์เริ่มออกหากิน


ขับออกมาถึงที่กางเต็นท์ก็เกือบ 6 โมงนิด กินข้าวกันแบบรองเท้า เพราะมีนัดส่องสัตว์รอบ 19:00 กัน
เด็กๆตื่นเต้นกันใหญ่ ขี้นรถได้ ผู้ใหญ6 เด็ก 4 พร้อมไฟฉายส่องไฟ จนท.ก็ให้ความรู้ไป 


ช่วยกันส่องช่วยกันหา ว๊าว ว๊าว ไหนๆ กันตลอดทาง ต้องตาไวกันหน่อย เพราะแต่ละตัวพอแสงสาดไปเขาก็จะกระโดดหนีกัน อันนี้ต่างกับที่เขาใหญ่มากเนื่องจากเขาอาจจะไม่คุ้นเคยกับคน เขาก็จะแอบๆ ซ่อนๆ เวลาได้ยินเสียงรถ เหรอเป็นแสงไฟ ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็น กวาง เนื้อทราย สุนัขจิ้งจอก นกฮูก นกกระแตแต้แว๊ด
จนท.บอกเราเป็นกลุ่มแรกที่ได้ออกส่องสัตว์เลย เพราะ 3-4 วันก่อนหน้าฝนตกตลอด
แล้วเส้นทางค่อยข้างอันตรายจึงไม่มีพาส่องสัตว์ คันเราก็เลยเจอสัตว์ออกมาหากินกันเยอะเลย

เด็กๆ ตั้งใจฟัง ตั้งใจดู ผลัดกันถามผลัดกันชี้ นี่แหละความรู้นอกห้องเรียนจริงๆ คืนที่เราไปฟ้าเห็นดาวสว่างมาก สวยเลย นั่งกันเพลินๆ 45 นาทีได้อยู่นะ
ระหว่างทางก็ฟังเรื่องที่จนท.เล่าให้ฟัง อะไรคือห้ามหรือเป็นกฏระเบียนก็ต้องเชื่อฟังกันด้วย
เคยมีนักท่องเที่ยวขับเข้าไปด้านในทุ่งนางพญา ทั้งๆที่มีป้ายห้ามเข้า สุดท้ายก็ไปไม่ถึง ออกไม่ได้ด้วย รถติดหล่ม ต้องทิ้งรถแล้วเดินเท้าออกมากันแทน ประมาณ 7 กิโลได้ เพราะโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ อันนี้ไม่แน่ใจว่าเค้าใช้อะไรนะ ตอนเราเข้าไปก่อนจะถึงทุ่งนางพญา ประมาณ 5-7 กิโล ยังขึ้นสัญญาณ TrueMoveH อยู่ ให้รู้ไว้เลย ห้ามคือห้าม!!

กลับมาจากส่องสัตว์แยกย้าย กินข้าว อาบน้ำ เข้านอนกัน ตอนกลางคืนฝนตกชุ่มฉุ่ม นอนเย็นๆ 
ครอบครัวพี่ชายแฟนนอนที่รถไป 1 เพราะเต็นท์รั่ว แต่เมื่อกลางวันนี่แดดจ้าเลยนะ เช้านัดแนะไปเที่ยว ผาซ่อนแก้ว ภูทับเบิก
 
สายๆ ออกเดินทางไปวัดผาซ่อนแก้วกันก่อน เดินเที่ยวชมบรรยากาศ ถ่ายรูปกันไป
แล้วก็ขึ้นไปภูทับเบิกกัน ความแสลงใจที่ 1 อยู่ตรงนี้แหละ เดินเที่ยว ชมวิวอากาศเย็นๆ กันบนภูทับเบิก ได้เวลากลับก็แยกกันขับลงมา คันพี่สาวแฟน หายไปนาน โทรหากันไม่ติด..กว่าจะได้คุยก็เกือบลงจากภูมาแล้ว โทรศัพท์นางหล่นข้างรถ แล้วมีคนเก็บไป แล้วก็ปิดเครื่องไปเลย ระหว่างทางพยายามโทรก็ไม่ติดจนพี่เขยโทรมาแทน สัญญาณขาดๆ หายๆ มาติดต่อกันได้ก็ตรงลงมาจากภูทับเบิกแล้ว ดีแทคขอให้ปรับปรุงอย่างแรง
ของ truemoveH เห็นเงียบๆ โทรได้ว่ะ สัญญาณถือว่าครอบคลุมตลอดทางนะ ขึ้นเขาลงเขา


ปล.ภูทับเบิกนี่เราไม่มีภาพเลย เพราะมัวแต่ไปซื้อไข่ปิ้ง..แล้วจบด้วย เดี่ยวครั้งหน้ามาใหม่ค่อยถ่าย ไม่มีภาพเลยจ้า
แสลงใจที่ 2 น้าที่อยู่กับแม่แฟน โทรมาว่าลูกชายติดโควิด ความตึงเครียดจึงบังเกิด เพราะก่อนมาน้าก็ไอ แต่แกก็ใส่หน้ากากตลอดทาง แกไม่ได้มีอาการอะไร แค่บอกอาการเปลี่ยนเป็นภูมิแพ้  ตั้งสติได้ ลงมาจากภูทับเบิก ก็เย็นแล้ว กลับไปที่ทุ่งแสลงหลวงได้ ต่างคนต่างเก็บของ เรียกว่าพังเต็นท์กันเลยทีเดียว เก็บกันแบบด่วนที่สุด ออกมาจากทุ่งแสลงหลวงได้ ทุ่มกว่า ทางมืดมาก มีไฟเป็นบางช่วง

3 คัน ตามๆ กันมา มีคันเราเข้าไปรับแม่แฟนกับน้า กลับบ้านกันแบบเครียดๆ ห่วงแม่แฟนที่สุด เพราะอยู่กับน้าตลอด แล้วคนสูงอายุ เรา แฟน แม่แฟน ฉีดวัคซีนมาล่าสุดวันที่ 6 กพ. 

ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ 01:30 เข้าบ้านได้ จับน้าแฟนตรวจ ATK คนแรก 2 ขีดทันที แล้วก็ทะยอยตรวจเรา แฟน แม่ 3 คนในรถ ไม่มีใครขึ้น
น้าขับมอเตอร์ไซต์กลับบ้าน แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็ติดต่อชุมชน เข้ารับการรักษาตามระบบไป 

เหลือแค่เรา 3 คน กักตัวกันอยู่บ้าน ส่วน อีก 2 คัน อยู่คนละบ้านอยู่แล้ว ตรวจ ATK แล้วรอดกันหมด…จบบริบูรณ์ ทริปหน้าว่ากันใหม่ ไปเร็วกลับเร็ว แม่แฟนอายุ 73 เริ่มหลงๆ ลืมๆ แกก็ยังถามว่าทำไมกลับกันเร็วจัง!! 

ไว้รอบหน้าจะแวะมาใหม่ ป้ายทุ่งแสลงหลวงด้านหน้าไม่เคยได้ถ่าย เพราะพูดแต่ว่าเดี่ยวมาใหม่ค่อยถ่าย555

ดูฟ้าดูเขาให้ชื่นใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่