คุณพ่อแยกกันอยู่กับคุณแม่ โดยคุณพ่อย้ายมาอยู่ที่ จ.นครปฐม โดยไม่ได้หย่ากับคุณแม่ (มีทะเบียนสมรส)
ภายหลังคุณพ่อได้มีภรรยาน้อย (โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส) ต่อมาคุณพ่อเสียชีวิตลง
และศาลได้แต่งตั้งดิฉันเป็นผู้จัดการมรดก ดิฉันได้ทำการโอนที่ดินมรดกให้กับตัวเองและน้อง
ที่ดินนั้นมีสิ่งปลูกสร้างคือบ้านที่คุณพ่ออาศัยอยู่กับภรรยาน้อยและลูกติด
ความที่คุณแม่สงสารเห็นใจที่ไม่มีที่ไป จึงอนุญาตให้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นต่อไปได้
ระยะเวลาที่คุณพ่ออาศัยอยู่ร่วมกับเค้าประมาณ 2 ปี 
พอคุณพ่อเสียได้ 6 เดือน ดิฉันทำการโอนที่ดินมาเป็นชื่อตัวเอง
จนถึงทุกวันนี้เค้าอาศัยบ้านหลังนี้มาเป็นเวลา 6 ปี 
เค้าทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลบ้าน หากมีอะไรก็จะโทรแจ้งแม่ดิฉันเพื่อทราบและขอความช่วยเหลือ
ครอบครัวดิฉันไปดูบ้านบ้าง 2-3 เดือนต่อครั้ง เค้าไม่ได้แสดงออกว่าอยากครอบครอง
และต้อนรับครอบครัวดิฉันทุกครั้งอย่างเป็นมิตรเมื่อไปถึง
(แต่ก่อนหน้านี้มีประเด็นคือรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อที่ผ่อนหมดแล้ว 
เค้าไม่มาขอเอกสารผจก.มรดกจากดิฉันเพื่อไปโอนรถ แต่สุดท้ายแล้วเค้าโอนได้
อันนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ดิฉันเกิดความไม่ไว้ใจ)

1. ขอสอบถามว่าหากดิฉันปล่อยให้ระยะเวลาเดินต่อไปจนถึง 10 ปี
เค้าจะ มีสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ หรือไม่ ?
และดิฉันควรจะดำเนินการอย่างไรเพื่อป้องกันปัญหานี้ ?
คุณลุงของดิฉัน (ซึ่งไม่ได้มีความปรารถนาดีต่อครอบครัวดิฉันเท่าไหร่นัก)
ได้ประกาศให้เช่าบ้านของดิฉันอีกหลังนึง (ในบริเวณเดียวกับที่ภรรยาน้อยพ่ออาศัยอยู่)
โดยไม่ได้แจ้งให้ดิฉันหรือคนในครอบครัวดิฉันทราบ 
ซึ่งดิฉันไม่เคยบอกว่าจะให้เช่า ไม่ต้องการให้เช่า และไม่ต้องการให้ใครเข้ามาในพื้นที่
ดิฉันทราบเพราะภรรยาน้อยพ่อได้โทรมาแจ้งคุณแม่ว่ามีชายแปลกหน้า 2 คนเข้ามาในเขตบ้าน
สอบถามได้ความว่า ลุงของดิฉันบอกให้เช่า พวกเค้าเลยมาดูสถานที่
โดยภรรยาน้อยพ่อได้แจ้งว่า ที่ดินนี้ลุงไม่ได้เป็นเจ้าของ เจ้าของคือดิฉันและครอบครัว
และไม่ได้อนุญาตให้เช่า พวกเค้าจึงเดินทางกลับไป

2. ขอสอบถามว่าหากว่ามีผู้อื่นเข้ามาในพื้นที่ของดิฉัน
เนื่องจากลุงเป็นคนแนะนำเข้ามา 
หรือในกรณีร้ายสุดหากผู้ที่ต้องการเช่าไม่ฟังที่เตือน
และขนของเข้าบ้าน ในขณะที่ไม่มีใครอยู่บ้านเพื่อยับยั้งการขนย้าย
ดิฉันสามารถ เอาผิด อย่างไรบ้าง สามารถเอาผิด ลุง ด้วยได้หรือไม่ ?

* ตอนนี้ทำป้ายไวนิลเตือนพื้นที่ส่วนบุคคลห้ามบุกรุกไว้บริเวณที่ดินแล้วค่ะ