ทำไม ค่าการตลาด E 85 สูงจัง

6.38 บาทต่อลิตร ป้าดดด โห 
ก่อนอื่น ค่าการตลาดน้ำมันนี่คืออะไร ค่าการตลาด( Marketing Margin ) คืออะไร
คือ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการคลังน้ำมัน ค่าใช้จ่ายในการขนส่งน้ำมันจากคลังน้ำมันไปยังสถานีบริการ ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไป  การขายและการตลาด ค่าใช้จ่าย ณ สถานีบริการ เช่น ค่าแรง พนักงาน ค่าเช่าที่ดิน และค่าสาธารณูปโภคต่างๆ
หรือเอาง่ายๆ คือ ปั๊มขายน้ำมันให้เพื่อนๆเค้าได้ตังค์แค่ไหนนั่นเอง
เช่น วันนี้ขายอะไรที่ได้กำไรบ้างน้อ...
E10  0.07 บาท/ลิตร
E20  1.27 บาท/ลิตร
E85  6.38 บาท/ลิตร       เย้ย
ส่วน ขายน้ำมันอื่น ม่ายมีกำไร เพราะค่าการตลาดติดลบ หัวจ่ายดีเซลนี่จ่ายฟรีเลย มีหลายหัวจ่ายซะด้วย 
ทีนี้ มาดูราคากัน E100 25.61 บาท/ลิตร B100 52.98 บาท/ลิตร
เท่ากับว่า ผสมอย่างไร E85 ก็ไม่ควรขายแพงกว่า ดีเซล ใช่หรือไม่ 
แต่ดีเซลนี่ ถ้าราคาหน้าโรงกลั่นเกิน 52.98 บาท/ลิตร B20 ถึงจะมีลุ้นถูกกว่า
แต่ B100 52.98 บาท/ลิตร จขกท.แอบมองว่าแพงจัง ควรแจงต้นทุนหน่อยนะ
แต่อย่างไรก็ดี เอทานอล น้ำมันปาล์ม เป็นเชื้อเพลิงที่ควรต้องสนับสนุน
เพราะไม่ปล่อยคาร์บอนตามหลัก Carbon neutrality
E85 ปล่อยคาร์บอน 15% ถือว่าน้อยที่สุดละ
ถึงโดยมากคนจะมองว่า รถไฟฟ้า EV ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า แต่เอาเข้าจริง EV เมืองไทยปล่อยคาร์บอนไม่น้อยกว่า 78.39%
ก็ใกล้เคียงกับ E20 และ B20 เลยนะนั่น ซึ่งไม่น้อยเลย
รถไฮบริด รถน้ำมัน e-POWER ก็ปล่อยคาร์บอนตามน้ำมันที่เติมนั่นละ ถ้าจะไปอุดหนุนภาษีตัวรถก็ไม่มีประโยชน์
เอาจริงๆ ferrari กับ รถกระบะ ใครปล่อยคาร์บอนมากกว่ากัน ถ้ารถ ferrari จอดมากกว่าขับ ดังนั้นการอุดหนุนภาษีหรือเก็บภาษีตามประเภทรถไม่มีประโยชน์ในการลดคาร์บอน
แต่เรื่องน้ำมันช่วยได้ในการลดคาร์บอน ถ้าเพื่อนๆอยากลดคาร์บอน
E85 E100 B100 คือคำตอบที่ใช่ ไม่ใช่ รถ EV
E85 จึงควรจะมีราคาที่สมเหตุผล
ไม่ใช่บวกลบราคายังไงก็ได้ หรือ อาจจะเป็นด้วยแค่ว่ามีเป้าต้องแพงกว่าดีเซลอย่างนั้นหรือ???
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่