หลายคนที่เคยสอบ IELTS แล้วอาจจะติดที่พาร์ทอ่านมากที่สุด ทำให้คะแนนไม่เพิ่มสักที ทั้ง ๆ ที่ก็อ่านบทความภาษาอังกฤษ ทั้งเรียนพิเศษมาตั้งเยอะ เราขอมาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวสำหรับคนที่ได้พาร์ทอ่านเต็ม 9 และกำลังเรียนที่ต่างประเทศค่ะ เพื่อที่จะเจาะประเด็นปัญหาสำคัญของพาร์ทอ่าน และช่วยแก้ไขจุดอ่อนของหลาย ๆ คนค่ะ 🤔
WHAT to Fix and HOW to Fix ???
🔸
1. เลี่ยงการพยายามแปลประโยคจากอังกฤษเป็นไทย
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของไทยที่เรา ๆ คุ้นชิน จะเน้นหนักไปที่การแปลประโยค การจำคำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งบอกไว้ตัวใหญ่ ๆ ตรงนี้เลยค่ะ ว่า เราต้อง ❌หยุด! ❌ การกระทำนี้ไปเลยยยยย
สำหรับการสอบ IELTS เพราะนอกจากผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์การใช้งานภาษาอังกฤษ (โดยเฉพาะ academic reading) ที่เพียงพอที่จะแปลทั้งหมดภายในเวลาสอบแล้ว นี่ยังไม่ใช่เป็นการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษที่ถูกต้องค่ะ เพราะทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยนั้นต่างก็มีโครงสร้าง/รูปแบบการใช้ที่ไม่เหมือนกันเลย
>> วิธีที่ควรทำ คือ การคิดตามบริบทเป็นภาษาอังกฤษ โดยไม่แปลไทยไปเลยค่ะ จุดสำคัญคือ ถ้าเรารู้ตัวเองว่าเราไม่เข้าใจสิ่งที่เรากำลังอ่าน เราต้องพยายามถามตัวเองและเดาเอาว่า จากประโยคและคำรอบ ๆ ที่เราพอจะเข้าใจ พอเอามารวมกับประโยคที่เราไม่เข้าใจแล้วมันน่าจะเป็นไปประมาณไหนนะ? เค้าน่าจะกำลังอยากบอกอะไรนะ? พูดง่าย ๆ คือ เดาใจคนเขียนจากสิ่งที่เราพอจะเข้าใจในบทความค่ะ
ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูยาก แต่ถ้าลองฝึกทำแล้วเราจะค้นพบว่ามันช่วยให้การอ่านกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ อ้อ! แล้วอย่าลืมคิดภาพตามสิ่งที่อ่านไปด้วยนะคะ เราจะได้จำได้ดีขึ้น
🔸2.
เลือกทำบทความที่เราถนัดก่อน
พาร์ทอ่าน จะประกอบไปด้วย 3 บทความใหญ่ ๆ ที่อาจจะถูกหยิบยกมาจากหลาย ๆ ด้าน และอาจจะมีส่วนของ academic ที่อาจจะได้เจอบทความทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา ซึ่งจะมีโอกาสที่บทความใดบทความหนึ่ง อาจจะมาจากสาขาที่เราไม่ถนัด และไม่มีคลังคำศัพท์เฉพาะด้านนั้นในหัวมากนัก ถ้าเจอแบบนี้แล้วเราต้องข้ามไปทำบทความที่ตัวเองคิดว่าง่ายที่สุดจากความรู้ภูมิหลังของเราก่อนค่ะ
🔸3.
ไม่ยึดติดกับเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งของเรื่อง
บางคนพยาย๊ามมม พยายามที่จะเข้าใจสิ่งที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แต่หารู้ไม่ว่าเอาเข้าจริงแล้ว เราไม่ต้องไปทำความเข้าใจเนื้อเรื่องขนาดนั้นเลยค่ะ💡
ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าอยากทำข้อสอบได้ทันเวลาต้องทิ้งการตั้งใจจะทำความเข้าใจเนื้อหาไปซะ ส่วนมาก 1 บทความในข้อสอบ IELTS จะประกอบไปด้วยหลาย paragrahs โดยที่คำถามแต่ละคำถามจะไม่เชื่อมโยงกัน ยกตัวอย่างเช่น ใน 1 บทความของเรามีทั้งหมด 5 paragraphs ถ้าเราเกิดไม่เข้าใจ paragrah ที่ 2 เราก็สามารถข้ามไปอ่าน และทำความเข้าใจ paragrahs ที่ 3 และ 4 แทน จะได้ตอบคำถามที่มาจาก paragrahs ที่ 3 และ 4 ได้นั่นเองค่ะ บางครั้งการที่เรายึดติดกับ paragrah ใด paragrah หนึ่งจนเกินไป ก็อาจจะไม่เกิดผลดี เพราะไม่แน่ว่าอาจจะมีคำถามที่เกี่ยวข้องกับ paragrah นั้นเพียงแค่ 1 หรือ 2 ข้อก็ได้ จะได้ไม่คุ้มเสียเอาเนอะ หรือเผลอ ๆ ส่วนที่เราไม่เข้าใจ ก็อาจจะไม่ได้อยู่ในคำถามเลยก็ได้ค่ะ ;D
🔸4.
รู้จักจุดแข็งของตัวเอง หลีกเลี่ยงการทำตามแนวทางคนอื่น
เทคนิคการอ่านแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ อย่างจขกท.เองชอบอ่านไปทีละบรรทัดไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ (scanning) ให้เข้าใจชัดเจนไปเลย เพื่อค้นหาข้อมูลแบบเจาะจงในข้อความ แทนที่จะอ่านกวาดสายตา (skimming) จากต้นเรื่องถึงท้ายเรื่อง ที่มักจะเป็นวิธีการอ่านที่นิยม และเหมาะกับคนที่อยากอ่านเพื่อเก็บประเด็นใจความสำคัญของบทความทั้งเรื่องก่อน ซึ่งก็ไม่มีแบบไหนถูกผิดค่ะ เราแค่ต้องรู้ว่าสไตล์การอ่านของเราเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากัน
เทคนิค scanning นี้ จะเหมาะสำหรับคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษค่อนข้างดีค่ะ ทำให้สามารถอ่านเพื่อให้เข้าใจได้ภายในครั้งเดียวอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นคนที่มีพื้นฐานการอ่านที่ยังไม่ชำนาญ อาจจะคิดว่าเทคนิค skimming เหมาะกว่าก็ได้ค่ะ ส่วนตัวเราคิดว่าการอ่านแบบ skimming มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ และไม่สามารถคุมสมาธิได้ดีเท่าแบบ scanning ค่ะ
🔸5.
กระตุ้นต่อม “เอ๊ะ” เวลาอ่าน
ต่อม “เอ๊ะ” ในที่นี้คือการที่เราต้อง “ตั้งคำถาม” กับสิ่งที่เราทำลงไปในข้อสอบตลอดเวลาค่ะ อย่างเช่น การเลือกตอบระหว่าง TRUE/ FALSE/ NOT GIVEN เราต้องไม่เพียงแต่ตั้งคำถามที่ว่า “คำตอบที่เราเลือกตอบนั้นถูกหรือยัง” แต่ต้องตั้งคำถามด้วยว่า แล้วถ้าเป็นคำตอบอื่นล่ะ มันพอจะมีสิทธิ์เป็นไปได้มั้ย หรือ พอจะมีสิทธิ์เป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลกว่ามั้ย กลับไปอ่านย้ำอีกทีดีมั้ย เพราะในบางครั้งความคิดแว๊บแรกของเราก็อาจจะใช้การไม่ได้กับคำถามลักษณะนี้ค่ะ ก็เขาตั้งคำถามมาเพื่ออยากจะหลอกเราโดยเฉพาะเลยนี่นาา
🔸6.
แก้ไขการอ่านช้า ด้วยการฝึกอ่าน
ไม่มีอะไรที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้มากไปกว่าการ “ฝึกอ่าน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และใช้ประสบการณ์ของเราที่ได้จากการอ่านข้อสอบเก่า ๆ แล้วล่ะค่า ถึงเราจะไปติวที่ไหนมายังไง แต่เวลาการอ่านก็ขึ้นอยู่กับระดับความโชกโชน และเวลาทั้งหมดที่เราใช้นั่งอ่านบทความนี้ บทความโน้น ขอการันตีจากประสบการณ์ตัวเองเลยค่ะว่ายิ่งเราได้อ่านมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งจับใจความเร็วขึ้นและเก่งขึ้นเท่านั้น อย่าไปคิดค่ะว่าเราทำไม่ได้ พยายามหาอ่านอะไรที่เรารู้สึกสนุกดูก่อนก็ได้ค่ะ แต่ทั้งนี้การอ่านช้าอาจจะเป็นปัญหาเดียวเลยก็ได้ที่เราไม่สามารถบอกทางลัดได้ นอกเหนือจากการแนะนำให้อ่านคำถาม ให้รู้ว่าข้อสอบถามตรงจุดไหน แล้วค่อยพยายามอ่านเก็บตรงจุดนั้นค่าาาา 🏆
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเตรียมตัวสอบนะคะ ถ้าใครมีปัญหา หรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเทคนิคการสอบ IELTS สามารถ inbox มาหาจขกท. ที่เพจ Facebook
https://www.facebook.com/bearyougo ได้เลยนะคะ 🥰
🌟เคล็ด(ไม่)ลับการสอบ IELTS Readingให้ได้คะแนนเต็ม Band 9🌟 จากประสบการณ์ตรง
WHAT to Fix and HOW to Fix ???
🔸1. เลี่ยงการพยายามแปลประโยคจากอังกฤษเป็นไทย
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของไทยที่เรา ๆ คุ้นชิน จะเน้นหนักไปที่การแปลประโยค การจำคำศัพท์ใหม่ ๆ ซึ่งบอกไว้ตัวใหญ่ ๆ ตรงนี้เลยค่ะ ว่า เราต้อง ❌หยุด! ❌ การกระทำนี้ไปเลยยยยย
สำหรับการสอบ IELTS เพราะนอกจากผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์การใช้งานภาษาอังกฤษ (โดยเฉพาะ academic reading) ที่เพียงพอที่จะแปลทั้งหมดภายในเวลาสอบแล้ว นี่ยังไม่ใช่เป็นการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษที่ถูกต้องค่ะ เพราะทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยนั้นต่างก็มีโครงสร้าง/รูปแบบการใช้ที่ไม่เหมือนกันเลย
>> วิธีที่ควรทำ คือ การคิดตามบริบทเป็นภาษาอังกฤษ โดยไม่แปลไทยไปเลยค่ะ จุดสำคัญคือ ถ้าเรารู้ตัวเองว่าเราไม่เข้าใจสิ่งที่เรากำลังอ่าน เราต้องพยายามถามตัวเองและเดาเอาว่า จากประโยคและคำรอบ ๆ ที่เราพอจะเข้าใจ พอเอามารวมกับประโยคที่เราไม่เข้าใจแล้วมันน่าจะเป็นไปประมาณไหนนะ? เค้าน่าจะกำลังอยากบอกอะไรนะ? พูดง่าย ๆ คือ เดาใจคนเขียนจากสิ่งที่เราพอจะเข้าใจในบทความค่ะ
ถึงแม้ว่ามันจะฟังดูยาก แต่ถ้าลองฝึกทำแล้วเราจะค้นพบว่ามันช่วยให้การอ่านกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ อ้อ! แล้วอย่าลืมคิดภาพตามสิ่งที่อ่านไปด้วยนะคะ เราจะได้จำได้ดีขึ้น
🔸2. เลือกทำบทความที่เราถนัดก่อน
พาร์ทอ่าน จะประกอบไปด้วย 3 บทความใหญ่ ๆ ที่อาจจะถูกหยิบยกมาจากหลาย ๆ ด้าน และอาจจะมีส่วนของ academic ที่อาจจะได้เจอบทความทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ จิตวิทยา ซึ่งจะมีโอกาสที่บทความใดบทความหนึ่ง อาจจะมาจากสาขาที่เราไม่ถนัด และไม่มีคลังคำศัพท์เฉพาะด้านนั้นในหัวมากนัก ถ้าเจอแบบนี้แล้วเราต้องข้ามไปทำบทความที่ตัวเองคิดว่าง่ายที่สุดจากความรู้ภูมิหลังของเราก่อนค่ะ
🔸3. ไม่ยึดติดกับเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งของเรื่อง
บางคนพยาย๊ามมม พยายามที่จะเข้าใจสิ่งที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ แต่หารู้ไม่ว่าเอาเข้าจริงแล้ว เราไม่ต้องไปทำความเข้าใจเนื้อเรื่องขนาดนั้นเลยค่ะ💡
ถ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษ ถ้าอยากทำข้อสอบได้ทันเวลาต้องทิ้งการตั้งใจจะทำความเข้าใจเนื้อหาไปซะ ส่วนมาก 1 บทความในข้อสอบ IELTS จะประกอบไปด้วยหลาย paragrahs โดยที่คำถามแต่ละคำถามจะไม่เชื่อมโยงกัน ยกตัวอย่างเช่น ใน 1 บทความของเรามีทั้งหมด 5 paragraphs ถ้าเราเกิดไม่เข้าใจ paragrah ที่ 2 เราก็สามารถข้ามไปอ่าน และทำความเข้าใจ paragrahs ที่ 3 และ 4 แทน จะได้ตอบคำถามที่มาจาก paragrahs ที่ 3 และ 4 ได้นั่นเองค่ะ บางครั้งการที่เรายึดติดกับ paragrah ใด paragrah หนึ่งจนเกินไป ก็อาจจะไม่เกิดผลดี เพราะไม่แน่ว่าอาจจะมีคำถามที่เกี่ยวข้องกับ paragrah นั้นเพียงแค่ 1 หรือ 2 ข้อก็ได้ จะได้ไม่คุ้มเสียเอาเนอะ หรือเผลอ ๆ ส่วนที่เราไม่เข้าใจ ก็อาจจะไม่ได้อยู่ในคำถามเลยก็ได้ค่ะ ;D
🔸4. รู้จักจุดแข็งของตัวเอง หลีกเลี่ยงการทำตามแนวทางคนอื่น
เทคนิคการอ่านแต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ อย่างจขกท.เองชอบอ่านไปทีละบรรทัดไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ (scanning) ให้เข้าใจชัดเจนไปเลย เพื่อค้นหาข้อมูลแบบเจาะจงในข้อความ แทนที่จะอ่านกวาดสายตา (skimming) จากต้นเรื่องถึงท้ายเรื่อง ที่มักจะเป็นวิธีการอ่านที่นิยม และเหมาะกับคนที่อยากอ่านเพื่อเก็บประเด็นใจความสำคัญของบทความทั้งเรื่องก่อน ซึ่งก็ไม่มีแบบไหนถูกผิดค่ะ เราแค่ต้องรู้ว่าสไตล์การอ่านของเราเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากัน
เทคนิค scanning นี้ จะเหมาะสำหรับคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษค่อนข้างดีค่ะ ทำให้สามารถอ่านเพื่อให้เข้าใจได้ภายในครั้งเดียวอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นคนที่มีพื้นฐานการอ่านที่ยังไม่ชำนาญ อาจจะคิดว่าเทคนิค skimming เหมาะกว่าก็ได้ค่ะ ส่วนตัวเราคิดว่าการอ่านแบบ skimming มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เสียเวลาโดยใช่เหตุ และไม่สามารถคุมสมาธิได้ดีเท่าแบบ scanning ค่ะ
🔸5. กระตุ้นต่อม “เอ๊ะ” เวลาอ่าน
ต่อม “เอ๊ะ” ในที่นี้คือการที่เราต้อง “ตั้งคำถาม” กับสิ่งที่เราทำลงไปในข้อสอบตลอดเวลาค่ะ อย่างเช่น การเลือกตอบระหว่าง TRUE/ FALSE/ NOT GIVEN เราต้องไม่เพียงแต่ตั้งคำถามที่ว่า “คำตอบที่เราเลือกตอบนั้นถูกหรือยัง” แต่ต้องตั้งคำถามด้วยว่า แล้วถ้าเป็นคำตอบอื่นล่ะ มันพอจะมีสิทธิ์เป็นไปได้มั้ย หรือ พอจะมีสิทธิ์เป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลกว่ามั้ย กลับไปอ่านย้ำอีกทีดีมั้ย เพราะในบางครั้งความคิดแว๊บแรกของเราก็อาจจะใช้การไม่ได้กับคำถามลักษณะนี้ค่ะ ก็เขาตั้งคำถามมาเพื่ออยากจะหลอกเราโดยเฉพาะเลยนี่นาา
🔸6. แก้ไขการอ่านช้า ด้วยการฝึกอ่าน
ไม่มีอะไรที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้มากไปกว่าการ “ฝึกอ่าน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และใช้ประสบการณ์ของเราที่ได้จากการอ่านข้อสอบเก่า ๆ แล้วล่ะค่า ถึงเราจะไปติวที่ไหนมายังไง แต่เวลาการอ่านก็ขึ้นอยู่กับระดับความโชกโชน และเวลาทั้งหมดที่เราใช้นั่งอ่านบทความนี้ บทความโน้น ขอการันตีจากประสบการณ์ตัวเองเลยค่ะว่ายิ่งเราได้อ่านมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งจับใจความเร็วขึ้นและเก่งขึ้นเท่านั้น อย่าไปคิดค่ะว่าเราทำไม่ได้ พยายามหาอ่านอะไรที่เรารู้สึกสนุกดูก่อนก็ได้ค่ะ แต่ทั้งนี้การอ่านช้าอาจจะเป็นปัญหาเดียวเลยก็ได้ที่เราไม่สามารถบอกทางลัดได้ นอกเหนือจากการแนะนำให้อ่านคำถาม ให้รู้ว่าข้อสอบถามตรงจุดไหน แล้วค่อยพยายามอ่านเก็บตรงจุดนั้นค่าาาา 🏆
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเตรียมตัวสอบนะคะ ถ้าใครมีปัญหา หรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับเทคนิคการสอบ IELTS สามารถ inbox มาหาจขกท. ที่เพจ Facebook https://www.facebook.com/bearyougo ได้เลยนะคะ 🥰