ใ
นครั้งอดีตกาล ผู้ปกครองสวรรค์และมารไม่พิสมัยการศึกสงคราม จึงตกลงร่วมกันว่า ทุกๆร้อยปี ในวัน ศารทวิษุวัต ซึ่งเป็นช่วงเวลากลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน จะจัดการแข่งขันเพื่อแสดงถึงความเสมอภาคและกระชับมิตรซึ่งกันและกัน โดยกำหนดระยะเวลาจัดงานสามวัน วันแรกแข่งสกา วันที่สองแข่งความสามารถในการบังคับสัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์ ส่วนวันสุดท้ายจะแข่งความสามัคคีในการแปรขบวนรบ ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นการแข่งขันที่สำคัญที่สุด เพราะแม้ว่าสองวันแรกจะพ่ายแพ้ แต่หากวันที่สามสามารถแข่งชนะ ก็จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ทันที
สถานที่ในการจัดการแข่งขันนั้นจะสลับกันระหว่างสองดินแดน และครั้งนี้ ก็ถึงคราวแดนสวรรค์เป็นเจ้าภาพ
แม้ว่า การแข่งขันนี้ จะอ้างถึงความเสมอภาคและความสามัคคี ทว่า ต่างฝ่ายต่างรู้ถึงนัยยะแอบแฝงในการแข่งของสองวันแรก ซึ่งต้องการแสดงถึงสติปัญญาและความสามารถของชนเผ่าที่เหนือกว่า ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงให้ความสำคัญไม่ต่างกับการแข่งวันสุดท้าย
ก่อนการแข่งขันหนึ่งวัน ทั่วทั้งสวรรค์ต่างคึกคัก โดยเฉพาะเหล่านางอัปสรที่คอยชม้ายชายตาสำรวจบรรดาผู้แข่งขันจากแดนมารที่ขนกันมาเป็นกองทัพ ซึ่งล้วนมีร่างแกร่งกำยำ สีหน้าดุดันให้ความรู้สึกต่างจากเหล่าเทวบุตรที่ท่วงท่าสะโอดสะอง เครื่องหน้าอ่อนหวานงดงามเสียเป็นส่วนใหญ่
เสียงฮือฮาด้วยความตื่นตาตื่นใจจากชาวสวรรค์ดังอื้ออึง เมื่อร่างสูงเพรียวแกร่งของจอมมาร
วฤตระ โอรสองค์โตของราชามาร สวมอาภรณ์แดง ยืนอย่างองอาจบนหัวของพญางูเผือกตัวเขื่อง มีหงอนสีแดงปลั่งนามว่า
อุรค เกล็ดของมันแวววาวสวยงามประดุจอัญมณีจากสรวงสวรรค์ และมีความแข็งแกร่งจนไม่มีอาวุธใดสามารถทำร้ายได้ เนื่องจากบรรพบุรุษได้สร้างคุณงามความดีในฐานะสัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์ไว้มากมาย จนได้รับพรจากพระพรหมให้เผ่าพันธุ์งูเผือก ซึ่งใกล้สูญพันธุ์มีผิวที่สวยงามและแข็งแกร่ง แต่กระนั้นพระพรหมเกรงว่าพรนี้จะทำให้สัตว์ภูตเผ่านี้หลงระเริงจนสร้างความปั่นป่วน จึงมอบความแข็งแกร่งให้เพียงผิวเกล็ด แต่ดวงตาสีทับทิมทั้งคู่ฝ้าฟาง ไม่ได้แข็งแกร่งแต่อย่างใด และแม้ว่ามันจะมีนิสัยดุร้าย ทว่า ยามอยู่ใต้เท้าของวฤตระ กลับขยับเลื้อยด้วยความสุขุม เรียบร้อย
จอมมารหนุ่มตนนี้นับว่ามีรูปโฉมสะดุดตาสะดุดใจทันทีเมื่อแรกเห็น เพราะนอกจากมีเครื่องหน้าคมเข้ม ท่วงท่าสง่างาม ยังมีดวงตาสีแดงล้อมกรอบด้วยประกายสีทองชวนพิศวงและน่าพิสมัยในคราวเดียว ซึ่งไม่เพียงแค่ชาวสวรรค์ทั่วไปเท่านั้นที่สนใจในตัวเขา แม้แต่เหล่าจอมเทพทั้งหกยังจับตามองเขม็งด้วยความหวาดระแวง เหตุเพราะการถือกำเนิดของมารหนุ่มผู้นี้ช่างแสนพิเศษนัก เริ่มด้วย ดอกปาริชาตแดงบานสะพรั่งร่วงหล่นจากแดนสวรรค์ลงไปปกคลุมพระราชวังของราชามารประดุจผืนพรมแดง ดอกไม้ทั่วภพมารชูช่อเบ่งบานดอกอย่างพร้อมเพรียง ส่งกลิ่นหอมขจรไกลถึงแดนสวรรค์ ดวงอาทิตย์ทอแสงละมุนอาบไล้ผิวดิน สายน้ำหลากรินชุ่มชื่นทั่วขุนเขา หมู่สกุณาโผผินขับขานกังวานใส นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนก่อนทารกน้อยผู้เปี่ยมด้วยพลังบารมีอันแข็งแกร่งจะถือกำเนิดขึ้นมา
บรรดาฤๅษีผู้วิเศษรวมทั้งโหรสวรรค์ ต่างทำนายทายทักไปในทิศทางเดียวกันว่า ในภายภาคหน้า ทารกน้อยผู้นี้จะได้เป็นใหญ่ ปกครองทั้งแดนสวรรค์และภพมาร สร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาจอมเทพ ที่คิดว่า วฤตระคือภยันตรายใหญ่หลวงต่อแดนสวรรค์..จึงถือโอกาสในเกมการแข่งขันครั้งนี้กำจัดเขาให้สิ้น
จอมเทพทั้งหกจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม นับตั้งแต่ก้าวลงจากหัวของสัตว์ภูตซึ่งลดขนาดตัวลงทันทีที่เจ้านายของมันก้าวลงพื้น และสงบนิ่งรอผู้เป็นนายพร้อมกองทัพมารที่ได้รับคำสั่งให้คอยอยู่ด้านนอกเขตพระราชฐาน โดยปล่อยเจ้านายเดินเข้าไปพร้อมกับพระขนิษฐา นามว่า
กิมิทา เพียงลำพัง
องค์อัมรินทร์ จอมทัพของเหล่าเทวดาแย้มยิ้มทักทายชายหนุ่มอย่างมิตรสหายและกล่าวถึงแผนการแข่งขันในวันรุ่งแค่พอหอมปากหอมคอ จากนั้นจึงให้เขาไปพักผ่อนในสถานที่พักรับรอง..และเมื่อคล้อยหลังสองหนุ่มสาว แววตาเป็นมิตรแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวดุดัน ไม่ต่างจากสายตาของเหล่าเทวาภายในห้องนั้น
การแข่งขันวันแรก..
วฤตระเป็นผู้เข้าแข่งขันสกา และสามารถชนะฝ่ายเทวดาได้อย่างง่ายดาย ทำให้ได้รับความชื่นชมจากบรรดานางสวรรค์เพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม แม้แต่ พระธิดาของจอมเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งในขณะนั้น ถือว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในสวรรค์ทั้งหก ยังชื่นชมอย่างออกหน้าออกตา ถึงขนาดมอบพวงมาลัยให้เป็นรางวัล เหล่าเทวดาได้แต่เก็บซ่อนความริษยาไว้ภายใต้รอยยิ้ม
การแข่งขันวันที่สอง..
กิมิทาอยากให้สัตว์ภูตไกรสรปักษาร่วมลงแข่งบ้าง วฤตระคาดคะเนว่า สัตว์ภูตของน้องสาวแม้มีลักษณะเด่นและคึกคะนอง แต่ยังด้อยประสบการณ์เกินกว่าจะสามารถพิชิตคู่ต่อสู้ได้ แต่เมื่อถูกรบเร้า เขาก็ใจอ่อน เพราะคิดว่า ยอมให้อีกฝ่ายชนะสักตา จะได้ไม่รู้สึกเสียหน้าจนเกินไป เพราะถึงอย่างไร การแข่งรอบสุดท้ายเขาต้องเป็นผู้ชนะ !
และผลของการแข่งขันก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาดการณ์..กิมิทาจำต้องยอมแพ้ ก่อนที่สัตว์ภูตของตนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
การแข่งขันรอบตัดสิน..
สนามจัดการแข่งขันอยู่ที่เชิงเขาสัตบริภัณฑ์ โดยใช้แนวเขาที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นเป็นกำแพงกั้นระหว่างสองฝ่ายซึ่งมีลูกทีมฝั่งละห้าร้อยนาย พร้อมธนูหัวทู่แต้มสีชาด ส่วนหัวหน้าทีมเป็นผู้แปรขบวนโดยใช้สัญญาณกลอง แต่จะถูกสะกดปิดตาทิพย์ไว้ เพื่อไม่ให้มองเห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ จากนั้นจะยิงลูกธนูข้ามเขาให้ถูกฝ่ายตรงข้ามจนหมด และให้นำธงสัญลักษณ์ไปปักบนยอดเขาสิเนรุ เพื่อเป็นการประกาศชัยชนะ
การแข่งขันเริ่มขึ้น โดยฝั่งเจ้าภาพสามารถเลือกเป็นผู้เริ่มเกมได้สำเร็จ
วฤตระ เริ่มตีกลองส่งสัญญาณแปรขบวน เพียงครู่ เสียงกลองจัดทัพอีกฝ่ายดังขึ้น ก่อนห่าลูกศรพุ่งข้ามเขาตกต้องเนื้อตัวของลูกทีม ทว่า..ตกพื้นเป็นเสียส่วนใหญ่ รองหัวหน้าทีมบอกจำนวนและตำแหน่งของผู้ที่ถูกลูกศรให้เขาจดจำ หลังจากกรรมการบอกจำนวนผู้ถูกคัดออกแล้ว ก็เริ่มเกมอีกครั้ง..ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังสัญญาณกลองของอีกฝ่าย ครุ่นคิดเพียงครู่ก็ตีกลองส่งสัญญาณจัดทัพก่อนที่ลูกทีมจะโก่งคันธนูส่งลูกศรโจมตีอีกฝ่ายบ้าง และฟังจำนวนผู้ที่ถูกคัดออกอย่างพึงพอใจ
ทั้งสองฝ่ายสลับกันโจมตี แต่ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของวฤตระ สามารถถอดรหัสสัญญาณกลองของอีกฝ่ายได้ จึงใช้ความได้เปรียบเชิงกลศึกโต้กลับจนสามารถกำจัดลูกทีมของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด จากนั้น ก็นำธงสัญลักษณ์ของแดนมารมุ่งหน้าสู่ยอดเขาสิเนรุ
แต่การที่จะขึ้นไปถึงยอดเขาสูงกลางมหานทีสีทันดรได้นั้น จำต้องผ่านภูเขาสูงที่ห้อมล้อมอีกเจ็ดเทือก แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคที่จะขวางกั้นเจตนารมณ์ของเขาได้
ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มใจ ด้วยมั่นใจในอิทธิฤทธิ์ของตน
ขณะที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเหาะข้ามมหานทีจนใกล้ถึงจุดหมาย โดยไม่ทันระแวดระวังเภทภัยรอบตัว เพราะเชื่อมั่นในสัจจะแห่งพันธะสัญญาที่ทั้งสองเผ่า
มีร่วมกัน พลัน! สะดุ้งเฮือกเจ็บแปลบกลางหลังกับลูกศรที่พุ่งปักเข้าอย่างจัง เขาหันกลับเป็นจังหวะเดียวกับลูกศรอีกดอกพุ่งปักเข้ากลางอก พร้อมภาพของหกจอมเทพอยู่ตรงหน้า และก่อนที่จะร่วงสู่แม่น้ำอันไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้ พญางูอุรคปรากฏกายโอบอุ้มหมายจะพาหนี ทว่าหกจอมเทพรีบขัดขวาง จู่โจมโรมรันจนร่างของวฤตระหลุดร่วงลงกลางมหานที
อิทธิฤทธิ์ที่มีแทบสูญสิ้น เมื่อลูกศรนี้มีพิษร้ายแรง ซึ่งกำลังชอนไชไม่ต่างจากแมลงร้ายสร้างความเจ็บปวดไปทุกอณู วฤตระพยายามแหวกว่ายสุดกำลัง สายตาพร่าพรายมองไปเบื้องบน เห็นองค์อินทร์กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มเย็น ห่างไปไม่ไกล สัตว์ภูตผู้ซื่อสัตย์ถูกห้าจอมเทพรัดแน่นด้วยบ่วงเวนไตย ศรนารายณ์เรืองฤทธิ์ทิ่มแทงดวงตาทั้งสองข้างจนเลือดอาบแดงฉาน และเนื่องด้วยไม่มีอาวุธใดระคายผิวได้ จอมเทพทั้งห้าจึงช่วยกันถอนเกล็ดของมันด้วยความสะใจ โดยไม่สนใจกับเสียงแผดร้องอย่างเจ็บปวดดังกึกก้อง
จนองค์อินทร์ต้องหันไปสั่ง
“ปิดปากมันสิ เดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินหรอก!”
ทั้งหมดรีบทำตามคำสั่ง
“หยุดนะ !!” วฤตระแผดเสียงด้วยเรียวแรงที่อ่อนล้า สงสารสัตว์ภูตจับใจ และหันไปถามองค์อินทร์อย่างเดือดดาล “เหตุใดพวกท่านถึงทำเยี่ยงนี้”
จอมเทพตอบด้วยความเย็นชา “ผิดที่มารต้อยต่ำเช่นเจ้าไม่รู้จักเจียมตน คิดตีเสมอเหล่าเทวาผู้มีฌานอันประเสริฐเช่นพวกข้า”
“พวกท่านเหยียดหยามว่าเผ่ามารชั่วช้า..แล้วการกระทำเช่นนี้ของท่านมิเป็นการชั่วช้าเลวทรามกว่าหรอกรึ” เขาแค่นเสียงออกมาได้อย่างยากเย็น สายตาอาฆาตจ้องเขม็งอีกฝ่ายที่กำลังง้างคันศร
“ข้าขอสาปแช่งให้เผ่าพันธุ์อันสูงส่งของพวกเจ้าต้องย่อยยับลงไปด้วยมือของเผ่ามารเช่นข้า..ข้าขอสาปแช่ง !!”
สิ้นคำ ลูกศรถูกปล่อยพุ่งปักเข้ากลางหน้าผาก ชายหนุ่มค่อยๆจมลงสู่ความเย็นเฉียบ..อสูรใต้สายน้ำต่างพุ่งเข้าหาร่างที่กำลังจมดิ่งคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด
พระอินทร์มองจนแน่ใจว่า ร่างนั้นจะไม่โผล่ขึ้นจากผิวน้ำอีกแล้ว ก็เหยียดยิ้ม
“นับจากนี้..คำทำนายก็ไม่มีวันเป็นจริง”
โดยหารู้ไม่ว่า ดวงจิตอันแข็งแกร่งของวฤตระยังไม่แตกดับ ทว่า กำลังดูดกลืนความคั่งแค้นอันมหาศาลมาอัดแน่น จนกายหยาบระเบิดเป็นจุลก่อนที่บรรดาอสูรร้ายใต้ผืนน้ำจะทันได้เข้ามากัดกิน และแรงระเบิดจากพลังอาฆาตของจอมมารผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์สร้างแรงสั่นสะเทือนขยายเป็นวงกว้าง เกิดคลื่นขนาดยักษ์ถาโถม ปลาอานนท์และปลาใหญ่อีกหลายสายพันธุ์นอนสงบนิ่งมาเนิ่นนาน พลัน ตกใจต่อแรงสั่นสะเทือนและเสียงอันกัมปนาท จึงพากันพลิกตัวอย่างโกลาหล ยิ่งส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์ทำลายล้างทั่วบริเวณ ภูเขารอบมหานทีสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงวิมานชั้นดาวดึงส์ ท้องฟ้าดำมืดคำรามคำรณ เหล่าเทวดาและมารพากันหนีตายอุตลุด ไม่เว้นแม้แต่หกจอมเทพที่รีบหาที่หลบภัย ก่อนจะถูกสายนทีกลืนกิน ทิ้งซากพญางูให้จมหาย จึงไม่มีผู้ใดทันเห็นดวงจิตของวฤตระกระเด็นกระดอนอย่างไร้ทิศทาง และไปสงบนิ่งอยู่ใต้สระอโนดาต
นอกจากนั้น..แรงสั่นสะเทือนยังส่งผลให้ผอบแก้วที่ขังจอมมารธาษตรีใต้เขาสิเนรุหลุดออกมาด้วยเช่นกัน ดวงจิตที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต พุ่งทะยานสู่มนุษยโลกในทันใด
(ต่อค่ะ)
ลำนำรักเทพบรรพกาล (1) : Angels and Devils. #บทที่๑ #(สัจจะอันไร้ค่า.)
สถานที่ในการจัดการแข่งขันนั้นจะสลับกันระหว่างสองดินแดน และครั้งนี้ ก็ถึงคราวแดนสวรรค์เป็นเจ้าภาพ
แม้ว่า การแข่งขันนี้ จะอ้างถึงความเสมอภาคและความสามัคคี ทว่า ต่างฝ่ายต่างรู้ถึงนัยยะแอบแฝงในการแข่งของสองวันแรก ซึ่งต้องการแสดงถึงสติปัญญาและความสามารถของชนเผ่าที่เหนือกว่า ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงให้ความสำคัญไม่ต่างกับการแข่งวันสุดท้าย
ก่อนการแข่งขันหนึ่งวัน ทั่วทั้งสวรรค์ต่างคึกคัก โดยเฉพาะเหล่านางอัปสรที่คอยชม้ายชายตาสำรวจบรรดาผู้แข่งขันจากแดนมารที่ขนกันมาเป็นกองทัพ ซึ่งล้วนมีร่างแกร่งกำยำ สีหน้าดุดันให้ความรู้สึกต่างจากเหล่าเทวบุตรที่ท่วงท่าสะโอดสะอง เครื่องหน้าอ่อนหวานงดงามเสียเป็นส่วนใหญ่
เสียงฮือฮาด้วยความตื่นตาตื่นใจจากชาวสวรรค์ดังอื้ออึง เมื่อร่างสูงเพรียวแกร่งของจอมมาร วฤตระ โอรสองค์โตของราชามาร สวมอาภรณ์แดง ยืนอย่างองอาจบนหัวของพญางูเผือกตัวเขื่อง มีหงอนสีแดงปลั่งนามว่า อุรค เกล็ดของมันแวววาวสวยงามประดุจอัญมณีจากสรวงสวรรค์ และมีความแข็งแกร่งจนไม่มีอาวุธใดสามารถทำร้ายได้ เนื่องจากบรรพบุรุษได้สร้างคุณงามความดีในฐานะสัตว์ภูตศักดิ์สิทธิ์ไว้มากมาย จนได้รับพรจากพระพรหมให้เผ่าพันธุ์งูเผือก ซึ่งใกล้สูญพันธุ์มีผิวที่สวยงามและแข็งแกร่ง แต่กระนั้นพระพรหมเกรงว่าพรนี้จะทำให้สัตว์ภูตเผ่านี้หลงระเริงจนสร้างความปั่นป่วน จึงมอบความแข็งแกร่งให้เพียงผิวเกล็ด แต่ดวงตาสีทับทิมทั้งคู่ฝ้าฟาง ไม่ได้แข็งแกร่งแต่อย่างใด และแม้ว่ามันจะมีนิสัยดุร้าย ทว่า ยามอยู่ใต้เท้าของวฤตระ กลับขยับเลื้อยด้วยความสุขุม เรียบร้อย
จอมมารหนุ่มตนนี้นับว่ามีรูปโฉมสะดุดตาสะดุดใจทันทีเมื่อแรกเห็น เพราะนอกจากมีเครื่องหน้าคมเข้ม ท่วงท่าสง่างาม ยังมีดวงตาสีแดงล้อมกรอบด้วยประกายสีทองชวนพิศวงและน่าพิสมัยในคราวเดียว ซึ่งไม่เพียงแค่ชาวสวรรค์ทั่วไปเท่านั้นที่สนใจในตัวเขา แม้แต่เหล่าจอมเทพทั้งหกยังจับตามองเขม็งด้วยความหวาดระแวง เหตุเพราะการถือกำเนิดของมารหนุ่มผู้นี้ช่างแสนพิเศษนัก เริ่มด้วย ดอกปาริชาตแดงบานสะพรั่งร่วงหล่นจากแดนสวรรค์ลงไปปกคลุมพระราชวังของราชามารประดุจผืนพรมแดง ดอกไม้ทั่วภพมารชูช่อเบ่งบานดอกอย่างพร้อมเพรียง ส่งกลิ่นหอมขจรไกลถึงแดนสวรรค์ ดวงอาทิตย์ทอแสงละมุนอาบไล้ผิวดิน สายน้ำหลากรินชุ่มชื่นทั่วขุนเขา หมู่สกุณาโผผินขับขานกังวานใส นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนก่อนทารกน้อยผู้เปี่ยมด้วยพลังบารมีอันแข็งแกร่งจะถือกำเนิดขึ้นมา
บรรดาฤๅษีผู้วิเศษรวมทั้งโหรสวรรค์ ต่างทำนายทายทักไปในทิศทางเดียวกันว่า ในภายภาคหน้า ทารกน้อยผู้นี้จะได้เป็นใหญ่ ปกครองทั้งแดนสวรรค์และภพมาร สร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาจอมเทพ ที่คิดว่า วฤตระคือภยันตรายใหญ่หลวงต่อแดนสวรรค์..จึงถือโอกาสในเกมการแข่งขันครั้งนี้กำจัดเขาให้สิ้น
จอมเทพทั้งหกจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม นับตั้งแต่ก้าวลงจากหัวของสัตว์ภูตซึ่งลดขนาดตัวลงทันทีที่เจ้านายของมันก้าวลงพื้น และสงบนิ่งรอผู้เป็นนายพร้อมกองทัพมารที่ได้รับคำสั่งให้คอยอยู่ด้านนอกเขตพระราชฐาน โดยปล่อยเจ้านายเดินเข้าไปพร้อมกับพระขนิษฐา นามว่า กิมิทา เพียงลำพัง
องค์อัมรินทร์ จอมทัพของเหล่าเทวดาแย้มยิ้มทักทายชายหนุ่มอย่างมิตรสหายและกล่าวถึงแผนการแข่งขันในวันรุ่งแค่พอหอมปากหอมคอ จากนั้นจึงให้เขาไปพักผ่อนในสถานที่พักรับรอง..และเมื่อคล้อยหลังสองหนุ่มสาว แววตาเป็นมิตรแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวดุดัน ไม่ต่างจากสายตาของเหล่าเทวาภายในห้องนั้น
การแข่งขันวันแรก..
วฤตระเป็นผู้เข้าแข่งขันสกา และสามารถชนะฝ่ายเทวดาได้อย่างง่ายดาย ทำให้ได้รับความชื่นชมจากบรรดานางสวรรค์เพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม แม้แต่ พระธิดาของจอมเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งในขณะนั้น ถือว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในสวรรค์ทั้งหก ยังชื่นชมอย่างออกหน้าออกตา ถึงขนาดมอบพวงมาลัยให้เป็นรางวัล เหล่าเทวดาได้แต่เก็บซ่อนความริษยาไว้ภายใต้รอยยิ้ม
การแข่งขันวันที่สอง..
กิมิทาอยากให้สัตว์ภูตไกรสรปักษาร่วมลงแข่งบ้าง วฤตระคาดคะเนว่า สัตว์ภูตของน้องสาวแม้มีลักษณะเด่นและคึกคะนอง แต่ยังด้อยประสบการณ์เกินกว่าจะสามารถพิชิตคู่ต่อสู้ได้ แต่เมื่อถูกรบเร้า เขาก็ใจอ่อน เพราะคิดว่า ยอมให้อีกฝ่ายชนะสักตา จะได้ไม่รู้สึกเสียหน้าจนเกินไป เพราะถึงอย่างไร การแข่งรอบสุดท้ายเขาต้องเป็นผู้ชนะ !
และผลของการแข่งขันก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาดการณ์..กิมิทาจำต้องยอมแพ้ ก่อนที่สัตว์ภูตของตนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
การแข่งขันรอบตัดสิน..
สนามจัดการแข่งขันอยู่ที่เชิงเขาสัตบริภัณฑ์ โดยใช้แนวเขาที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นเป็นกำแพงกั้นระหว่างสองฝ่ายซึ่งมีลูกทีมฝั่งละห้าร้อยนาย พร้อมธนูหัวทู่แต้มสีชาด ส่วนหัวหน้าทีมเป็นผู้แปรขบวนโดยใช้สัญญาณกลอง แต่จะถูกสะกดปิดตาทิพย์ไว้ เพื่อไม่ให้มองเห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ จากนั้นจะยิงลูกธนูข้ามเขาให้ถูกฝ่ายตรงข้ามจนหมด และให้นำธงสัญลักษณ์ไปปักบนยอดเขาสิเนรุ เพื่อเป็นการประกาศชัยชนะ
การแข่งขันเริ่มขึ้น โดยฝั่งเจ้าภาพสามารถเลือกเป็นผู้เริ่มเกมได้สำเร็จ
วฤตระ เริ่มตีกลองส่งสัญญาณแปรขบวน เพียงครู่ เสียงกลองจัดทัพอีกฝ่ายดังขึ้น ก่อนห่าลูกศรพุ่งข้ามเขาตกต้องเนื้อตัวของลูกทีม ทว่า..ตกพื้นเป็นเสียส่วนใหญ่ รองหัวหน้าทีมบอกจำนวนและตำแหน่งของผู้ที่ถูกลูกศรให้เขาจดจำ หลังจากกรรมการบอกจำนวนผู้ถูกคัดออกแล้ว ก็เริ่มเกมอีกครั้ง..ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังสัญญาณกลองของอีกฝ่าย ครุ่นคิดเพียงครู่ก็ตีกลองส่งสัญญาณจัดทัพก่อนที่ลูกทีมจะโก่งคันธนูส่งลูกศรโจมตีอีกฝ่ายบ้าง และฟังจำนวนผู้ที่ถูกคัดออกอย่างพึงพอใจ
ทั้งสองฝ่ายสลับกันโจมตี แต่ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของวฤตระ สามารถถอดรหัสสัญญาณกลองของอีกฝ่ายได้ จึงใช้ความได้เปรียบเชิงกลศึกโต้กลับจนสามารถกำจัดลูกทีมของฝ่ายตรงข้ามได้ทั้งหมด จากนั้น ก็นำธงสัญลักษณ์ของแดนมารมุ่งหน้าสู่ยอดเขาสิเนรุ
แต่การที่จะขึ้นไปถึงยอดเขาสูงกลางมหานทีสีทันดรได้นั้น จำต้องผ่านภูเขาสูงที่ห้อมล้อมอีกเจ็ดเทือก แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคที่จะขวางกั้นเจตนารมณ์ของเขาได้
ชายหนุ่มนึกกระหยิ่มใจ ด้วยมั่นใจในอิทธิฤทธิ์ของตน
ขณะที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเหาะข้ามมหานทีจนใกล้ถึงจุดหมาย โดยไม่ทันระแวดระวังเภทภัยรอบตัว เพราะเชื่อมั่นในสัจจะแห่งพันธะสัญญาที่ทั้งสองเผ่า
มีร่วมกัน พลัน! สะดุ้งเฮือกเจ็บแปลบกลางหลังกับลูกศรที่พุ่งปักเข้าอย่างจัง เขาหันกลับเป็นจังหวะเดียวกับลูกศรอีกดอกพุ่งปักเข้ากลางอก พร้อมภาพของหกจอมเทพอยู่ตรงหน้า และก่อนที่จะร่วงสู่แม่น้ำอันไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้ พญางูอุรคปรากฏกายโอบอุ้มหมายจะพาหนี ทว่าหกจอมเทพรีบขัดขวาง จู่โจมโรมรันจนร่างของวฤตระหลุดร่วงลงกลางมหานที
อิทธิฤทธิ์ที่มีแทบสูญสิ้น เมื่อลูกศรนี้มีพิษร้ายแรง ซึ่งกำลังชอนไชไม่ต่างจากแมลงร้ายสร้างความเจ็บปวดไปทุกอณู วฤตระพยายามแหวกว่ายสุดกำลัง สายตาพร่าพรายมองไปเบื้องบน เห็นองค์อินทร์กำลังมองมาด้วยรอยยิ้มเย็น ห่างไปไม่ไกล สัตว์ภูตผู้ซื่อสัตย์ถูกห้าจอมเทพรัดแน่นด้วยบ่วงเวนไตย ศรนารายณ์เรืองฤทธิ์ทิ่มแทงดวงตาทั้งสองข้างจนเลือดอาบแดงฉาน และเนื่องด้วยไม่มีอาวุธใดระคายผิวได้ จอมเทพทั้งห้าจึงช่วยกันถอนเกล็ดของมันด้วยความสะใจ โดยไม่สนใจกับเสียงแผดร้องอย่างเจ็บปวดดังกึกก้อง
จนองค์อินทร์ต้องหันไปสั่ง
“ปิดปากมันสิ เดี๋ยวพวกมันก็ได้ยินหรอก!”
ทั้งหมดรีบทำตามคำสั่ง
“หยุดนะ !!” วฤตระแผดเสียงด้วยเรียวแรงที่อ่อนล้า สงสารสัตว์ภูตจับใจ และหันไปถามองค์อินทร์อย่างเดือดดาล “เหตุใดพวกท่านถึงทำเยี่ยงนี้”
จอมเทพตอบด้วยความเย็นชา “ผิดที่มารต้อยต่ำเช่นเจ้าไม่รู้จักเจียมตน คิดตีเสมอเหล่าเทวาผู้มีฌานอันประเสริฐเช่นพวกข้า”
“พวกท่านเหยียดหยามว่าเผ่ามารชั่วช้า..แล้วการกระทำเช่นนี้ของท่านมิเป็นการชั่วช้าเลวทรามกว่าหรอกรึ” เขาแค่นเสียงออกมาได้อย่างยากเย็น สายตาอาฆาตจ้องเขม็งอีกฝ่ายที่กำลังง้างคันศร
“ข้าขอสาปแช่งให้เผ่าพันธุ์อันสูงส่งของพวกเจ้าต้องย่อยยับลงไปด้วยมือของเผ่ามารเช่นข้า..ข้าขอสาปแช่ง !!”
สิ้นคำ ลูกศรถูกปล่อยพุ่งปักเข้ากลางหน้าผาก ชายหนุ่มค่อยๆจมลงสู่ความเย็นเฉียบ..อสูรใต้สายน้ำต่างพุ่งเข้าหาร่างที่กำลังจมดิ่งคละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด
พระอินทร์มองจนแน่ใจว่า ร่างนั้นจะไม่โผล่ขึ้นจากผิวน้ำอีกแล้ว ก็เหยียดยิ้ม
“นับจากนี้..คำทำนายก็ไม่มีวันเป็นจริง”
โดยหารู้ไม่ว่า ดวงจิตอันแข็งแกร่งของวฤตระยังไม่แตกดับ ทว่า กำลังดูดกลืนความคั่งแค้นอันมหาศาลมาอัดแน่น จนกายหยาบระเบิดเป็นจุลก่อนที่บรรดาอสูรร้ายใต้ผืนน้ำจะทันได้เข้ามากัดกิน และแรงระเบิดจากพลังอาฆาตของจอมมารผู้มากด้วยอิทธิฤทธิ์สร้างแรงสั่นสะเทือนขยายเป็นวงกว้าง เกิดคลื่นขนาดยักษ์ถาโถม ปลาอานนท์และปลาใหญ่อีกหลายสายพันธุ์นอนสงบนิ่งมาเนิ่นนาน พลัน ตกใจต่อแรงสั่นสะเทือนและเสียงอันกัมปนาท จึงพากันพลิกตัวอย่างโกลาหล ยิ่งส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์ทำลายล้างทั่วบริเวณ ภูเขารอบมหานทีสะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงวิมานชั้นดาวดึงส์ ท้องฟ้าดำมืดคำรามคำรณ เหล่าเทวดาและมารพากันหนีตายอุตลุด ไม่เว้นแม้แต่หกจอมเทพที่รีบหาที่หลบภัย ก่อนจะถูกสายนทีกลืนกิน ทิ้งซากพญางูให้จมหาย จึงไม่มีผู้ใดทันเห็นดวงจิตของวฤตระกระเด็นกระดอนอย่างไร้ทิศทาง และไปสงบนิ่งอยู่ใต้สระอโนดาต
นอกจากนั้น..แรงสั่นสะเทือนยังส่งผลให้ผอบแก้วที่ขังจอมมารธาษตรีใต้เขาสิเนรุหลุดออกมาด้วยเช่นกัน ดวงจิตที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต พุ่งทะยานสู่มนุษยโลกในทันใด
(ต่อค่ะ)