ไปต่อไม่ไหว 23 โรงแรมในไทยเทขาย มูลค่าทะลุ 1.3หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 6 เท่า
https://www.thansettakij.com/business/516058
อ่วมโควิด 23 โรงแรมในไทยเทขาย มูลค่าทะลุ 1.3หมื่นล้าน สูงกว่า ปี63 ถึง 6 เท่า นักลงทุนไทย-เทศ แห่ช้อนซื้อ เจแอลแอล คาดปีนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อมากขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศและภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
รายงานการศึกษาล่าสุดจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เผยว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา มีการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยเกิดขึ้นรวม 23 โรง คิดเป็นจำนวนห้องพักรวมราว 3,000 ห้อง และมูลค่าการซื้อขายรวม 1.32 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 550% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของมูลค่าการซื้อขายต่อปีในช่วง 10 ปีก่อนเกิดคิดระหว่างปี 2552-2562 อยู่ที่ราว 30%
การซื้อขายโรงแรมที่อยู่ในการศึกษาของ JLL ครั้งนี้ ครอบคลุมเฉพาะโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุน (investment-grade assets) ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ของไทย และไม่นับรวมการซื้อขายกันเองระหว่างบริษัทในเครือเดียวกันหรือเพื่อเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
นาย
จักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม JLL กล่าวว่า
“วิกฤติการณ์โควิดทำให้ปริมาณการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทย ในปี 2563 ดิ่งลงเหลือมูลค่าเพียงไม่ถึง 2 พันล้านบาท อย่างไรก็ดี ในปีที่ผ่านมาตลาดการลงทุนซื้อขายกลับมาคึกคักมากขึ้นมาก โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมสูงกว่าปี 2563 ถึงเกือบ 6 เท่า”
“
เราเริ่มเห็นนักลงทุนทั้งของไทยและต่างชาติกลับมาสนใจตลาดโรงแรมในประเทศไทยมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยหนุนหลายประการ อาทิ นักลงทุนมีทัศนคติที่เป็นบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในไทยไม่ได้รุนแรงเท่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า นอกจากนี้ การมีโรงแรมคุณภาพเหมาะสมสำหรับการลงทุนออกมาเสนอขายมากขึ้นในราคาที่ไม่ได้สูงเกินจริงยังเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นความสนใจของนักลงทุน” นาย
จักรกริชกล่าว
การศึกษาของ JLL พบว่า ตลาดโรงแรมของไทยที่มีการลงทุนซื้อขายเกิดขึ้นมากที่สุดในปีที่ผ่านมา คือ เกาะสมุย กรุงเทพฯ และภูเก็ต โดยมีมูลค่าการซื้อขายคิดเป็น 44.3% 24.6% และ 11.7% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตามลำดับ
นางสาวพิมพ์
พะงา ยมจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการลงทุนซื้อขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการที่ปรึกษาด้านโรงแรม กล่าวว่า
“โดยทั่วไป กรุงเทพฯ เป็นตลาดที่นักลงทุนสนใจซื้อโรงแรมมากที่สุด แต่ในปีที่ผ่านมา เกาะสมุยแซงหน้าขึ้นมา เนื่องจากมีโรงแรมเสนอขายมากกว่า และยังมีการซื้อขายรายการใหญ่ที่สุดของปี 2564 เกิดขึ้นด้วย”
ข้อมูลจาก JLL ระบุว่า โรงแรม 23 โรงที่มีการซื้อขายในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 500-600 ล้านบาทต่อโรง และมีเพียงโรงแรมเดียวเท่านั้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงกว่าพันล้านบาท ซึ่งอยู่ที่เกาะสมุย
โดยทั่วไป โรงแรมที่มีเสนอขายในตลาดรีสอร์ทมักมีการเสนอส่วนลดมากกว่าราคาโรงแรมที่มีเสนอขายในกรุงเทพฯ เนื่องจากโรงแรมในหัวเมืองรีสอร์ทส่วนใหญ่พึ่งพาตลาดการท่องเที่ยวเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อการท่องเที่ยวซบเซา จึงได้รับผลกระทบมากกว่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อธิบายว่า เหตุใดการลงทุนซื้อขายโรงแรมบนเกาะสมุยในปีที่ผ่านมาจึงขยับขึ้นแซงหน้ากรุงเทพฯ
นางสาว
พิมพ์พะงากล่าวว่า
“โรงแรมที่เสนอขายในกรุงเทพฯ ตลอดช่วงวิกฤติโควิด มีราคาเสนอขายที่ค่อนข้างไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อน และไม่พบว่ามีการลดราคาแรงๆ ให้เห็น ทั้งนี้ ราว 75% ของโรงแรมที่เสนอขายในกรุงเทพฯ มีการลดราคาขายไม่เกิน 5% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด ที่เหลือ 25% เป็นการขายโดยการเปิดประมูลโดยกรมบังคับคดี ในขณะที่โรงแรมในสมุยและภูเก็ตมีการลดราคาขายลงมากกว่า”
JLL คาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมจะยังคงขยายตัว
“เราพบว่าขณะนี้มีการซื้อขายโรงแรมมูลค่าสูงหลายรายการที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวหลักๆ และในจำนวนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นโรงแรมที่มีมูลค่ากว่าพันล้านบาทขึ้นไป นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการการควบคุมชาวต่างชาติเข้าออกประเทศ จะทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันสูงขึ้นในหมู่นักลงทุนที่ต้องการซื้อโรงแรมคุณภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำให้เราเชื่อว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมของไทยในปีนี้ จะมีมูลค่าสูงกว่าปีที่ผ่านมา ยังไม่นับรวมถึงการที่ประเทศไทยเป็นตลาดการลงทุนซื้อขายที่คึกคักมากที่สุดในอาเซียนในปีที่ผ่านมา” นาย
จักรกริชกล่าวสรุป
หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมของเจแอลแอล เป็นที่ปรึกษาการลงทุนด้านโรงแรมชั้นน้ำของเอเชียแปซิฟิก ด้วยทีมงานมืออาชีพมากกว่า 80 คนในสำนักงาน 14 สาขาทั่วภูมิภาค
นอกจากนี้ เจแอลแอลยังได้รับการจัดให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอันดับหนึ่งของเอเชียแปซิฟิกแปซิฟิกติดต่อกันตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ตามการจัดอันดับโดย Real Capital Analytics
โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เจแอลแอลเป็นตัวแทนซื้อขายโรงแรมคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 23,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 7.6 แสนล้านบาท คิดเป็นกว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายโรงแรมทั้งหมดที่ดำเนินการโดยบริษัทตัวแทน
ส่วนในประเทศไทย เจแอลแอลเป็นบริษัทอันดับหนึ่งด้านการเป็นตัวแทนซื้อโรงแรมเช่นกัน โดยนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา บริษัทได้เป็นตัวแทนปิดการขายโรงแรมในไทยไปแล้วคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านบาท
ไทยติดเชื้อทะยานอันดับ 5 ของโลก นพ.ธีระ แนะ ควรกักตัว 14 วันหลังพบเชื้อ
https://www.nationtv.tv/news/378865546
หมอธีระ เผยสถานการณ์ระบาดโควิด "โอมิครอน" ในไทยยังน่าเป็นห่วง ติดเชื้อสูงพุ่งอันดับ 5 ของโลก แนะตรวจ ATK พบผลบวก ควรกักตัว 14 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะตัดโอกาสแพร่เชื้อ ระบุ นโยบายสาธารณสุขยังไม่สามารถรับมือสถานการณ์ระบาด อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ
4 มีนาคม 2565 จากสถานการณืการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรโรนา 2019หรือ โควิด-19 ได้ระบาดลามทั่วโลก ล่าสุด อยู่ในช่วงของ"โอมิครอน" รศ.นพ.
ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายงานสถานการณ์การโควิดทั่วโลก ประจำวันที่ 4 มีนาคม 2565 โดยโพสต์ข้อความผ่าน
เฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat " ระบุข้อความว่า
ยอดติดเชื้อรวมทะลุ 440 ล้านแล้ว และเสียชีวิตเกิน 6 ล้านคน เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 1,476,855 คน ตายเพิ่ม 7,121 คน รวมแล้วติดไปรวม 441,774,808 คน เสียชีวิตรวม 6,000,263 คน 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เยอรมัน เกาหลีใต้ รัสเซีย ญี่ปุ่น และบราซิล
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ/ใต้ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 95.54 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 97.55 ในขณะที่ยุโรปนั้นคิดเป็นร้อยละ 48.45 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 38.36 เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 9 ใน 10 อันดับแรก และ 15 ใน 20 อันดับแรกของโลก
...สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้หากดูเฉพาะจำนวนติดเชื้อยืนยัน จะสูงเป็นอันดับ 17 ของโลก
แต่หากรวม ATK ด้วย จะพุ่งไปถึงอันดับ 5 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย
...ติดเชื้อแล้ว ควรแยกจากคนอื่น 14 วัน
Boucau J และคณะ จากสหรัฐอเมริกา ทำการศึกษาระยะเวลาในการตรวจพบเชื้อไวรัสที่มีชีวิต โดยทำการเพาะเชื้อ (culture) พบว่ายังสามารถเพาะเชื้อได้ถึง 25% ณ 7 วัน แต่จะเพาะเชื้อไม่ขึ้นหากติดตามไป 14 วันหลังจากติดเชื้อ การติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ Omicron หรือเดลตา มีระยะเวลาพอๆ กัน ผลการศึกษานี้ช่วยให้เรานำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หากตนเอง สมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เกิดติดเชื้อโรคโควิด-19 ขึ้นมา ควรแยกกักตัวจากคนอื่นไป 2 สัปดาห์ หรือ 14 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะตัดโอกาสแพร่เชื้อ
...การระบาดของไทยนั้นรุนแรง กระจายไปทั่ว
นโยบายสาธารณสุขนั้นยังไม่สามารถรับมือสถานการณ์ระบาดอย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ สัดส่วนของผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้นยังน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด ดังนั้นหากตรวจพบว่าติดเชื้อ การแยกจากคนอื่นโดยใช้เวลานานเพียงพอจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนคนที่ยังไม่ติดเชื้อ ก็จำเป็นต้องป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด เป็นกิจวัตร ใส่หน้ากากเสมอ เว้นระยะห่างจากคนอื่น พบปะคนอื่นเท่าที่จำเป็น ใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น หากไม่สบาย ควรหยุดเรียนหยุดงาน แจ้งคนใกล้ชิดและที่ทำงาน และไปตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน
อ้างอิง
Boucau J et al. Duration of viable virus shedding in SARS-CoV-2 omicron variant infection. medRxiv. 2 March 2022.
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10223978973254653
"สภาฯ" จี้ "ผู้รับจ้าง" ตอบปมท่อน้ำแตก สงสัยใช้ท่อผิดสเปค
https://www.bangkokbiznews.com/politics/991717
โฆษกสำนักงานเลขาธิการสภาฯ แจง ตรวจสอบปมท่อน้ำแตกกลางสภาฯ สงสัยใช้ท่อผิดสเปค ชี้ต้องทนแรงดันน้ำ 10Bar จี้ผู้รับจ้างตอบ
ว่าที่เรือตรี
ยุทธนา สำเภาเงิน ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ฐานะโฆษกประจำสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกเอกสารข่าว ชี้แจงถึงกรณีที่มีภาพปรากฎในสื่อมวลชนว่า เกิดเหตุท่อน้ำประปารั่วภายในอาคารรัฐ เมื่อเวลา 06.00 น. ของวันที่ 1 มีนาคม ทำให้มีน้ำไหลท่วมขังบริเวณห้องทำงาน บางส่วน ตลอดจนไหลท่วมขังที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน B1 ว่า สำนักงานฯ ได้สั่งการให้ผู้รับจ้างโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วและได้รับรายงานว่า เหตุดังกล่าวเกิดจากข้องอ 90 องศา ชนิดแบบสวมอัด ของท่อระบบรดน้ำต้นไม้แตก ทำให้เกิดน้ำรั่วบริเวณเหนือฝ้าเพดานชั้น 8 และไหลท่วมลงมาบริเวณพื้นและห้องทำงานบางส่วนที่อยู่บริเวณ ชั้น 8 ตลอดจนไหลต่อเนื่องไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน B1 ภายในอาคารรัฐสภา
"
ตามปกติแล้ว การทำงานของระบบรดน้ำต้นไม้จะมีการกำหนดโปรแกรมให้ปั๊มระบบรดน้ำต้นไม้ทำงานในระหว่างเวลา 06.00 -12.00 นาฬิกาของทุกวัน เมื่อระบบทำงานจะเกิดแรงดันน้ำภายในท่อในระดับ 4 Bar โดยชนิดของท่อและข้อต่อที่เลือกใช้ในโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบนั้น ได้เลือกใช้ท่อและข้อต่อเป็นชนิด HDPE Class PN10 ซึ่งได้มีการทดสอบการทนแรงดันน้ำได้ถึงระดับ 10 Bar จึงไม่ควรเกิดปัญหาข้องอ 90 องศา ชนิดแบบสวมอัดของท่อระบบรถน้ำต้นไม้แตกตามที่ปรากฏ สำหรับสาเหตุที่ทำให้ระบบท่อน้ำแตกนั้น อยู่ในระหว่างการตรวจสอบของผู้รับจ้างฯ และจะรายงานผล รวมทั้งวิธีการป้องกันปัญหาให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทราบต่อไป" โฆษกสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ระบุ
ว่าที่เรือตรี ยุทธนา ระบุด้วยว่าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบนั้น อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ควบคุมงานและมีที่ปรึกษาบริหารโครงการฯ ร่วมดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการก่อสร้าง ทั้งผู้รับจ้างยังไม่ได้ส่งมอบงานงวดสุดท้าย และคณะกรรมการตรวจการจ้างฯ ยังไม่มีการตรวจรับ ดังนั้น หากมีความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากความชำรุดบกพร่องของการก่อสร้างอาคารในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการตรวจรับ ผู้รับจ้างฯ ยังคงต้องรับผิดชอบในความเสียหายทั้งหมด.
JJNY : 23 โรงแรมในไทยเทขาย│ไทยติดเชื้ออันดับ 5 ของโลก│"สภาฯ" จี้ ตอบปมท่อน้ำแตก │IAEAเตือนหยุดยิงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
https://www.thansettakij.com/business/516058
อ่วมโควิด 23 โรงแรมในไทยเทขาย มูลค่าทะลุ 1.3หมื่นล้าน สูงกว่า ปี63 ถึง 6 เท่า นักลงทุนไทย-เทศ แห่ช้อนซื้อ เจแอลแอล คาดปีนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อมากขึ้น จากการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศและภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
รายงานการศึกษาล่าสุดจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เผยว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมา มีการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยเกิดขึ้นรวม 23 โรง คิดเป็นจำนวนห้องพักรวมราว 3,000 ห้อง และมูลค่าการซื้อขายรวม 1.32 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 550% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของมูลค่าการซื้อขายต่อปีในช่วง 10 ปีก่อนเกิดคิดระหว่างปี 2552-2562 อยู่ที่ราว 30%
การซื้อขายโรงแรมที่อยู่ในการศึกษาของ JLL ครั้งนี้ ครอบคลุมเฉพาะโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุน (investment-grade assets) ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ของไทย และไม่นับรวมการซื้อขายกันเองระหว่างบริษัทในเครือเดียวกันหรือเพื่อเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
นายจักรกริช จักรพันธุ์ ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม JLL กล่าวว่า “วิกฤติการณ์โควิดทำให้ปริมาณการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทย ในปี 2563 ดิ่งลงเหลือมูลค่าเพียงไม่ถึง 2 พันล้านบาท อย่างไรก็ดี ในปีที่ผ่านมาตลาดการลงทุนซื้อขายกลับมาคึกคักมากขึ้นมาก โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมสูงกว่าปี 2563 ถึงเกือบ 6 เท่า”
“เราเริ่มเห็นนักลงทุนทั้งของไทยและต่างชาติกลับมาสนใจตลาดโรงแรมในประเทศไทยมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา ด้วยปัจจัยหนุนหลายประการ อาทิ นักลงทุนมีทัศนคติที่เป็นบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในไทยไม่ได้รุนแรงเท่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า นอกจากนี้ การมีโรงแรมคุณภาพเหมาะสมสำหรับการลงทุนออกมาเสนอขายมากขึ้นในราคาที่ไม่ได้สูงเกินจริงยังเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นความสนใจของนักลงทุน” นายจักรกริชกล่าว
การศึกษาของ JLL พบว่า ตลาดโรงแรมของไทยที่มีการลงทุนซื้อขายเกิดขึ้นมากที่สุดในปีที่ผ่านมา คือ เกาะสมุย กรุงเทพฯ และภูเก็ต โดยมีมูลค่าการซื้อขายคิดเป็น 44.3% 24.6% และ 11.7% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตามลำดับ
นางสาวพิมพ์พะงา ยมจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการลงทุนซื้อขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการที่ปรึกษาด้านโรงแรม กล่าวว่า “โดยทั่วไป กรุงเทพฯ เป็นตลาดที่นักลงทุนสนใจซื้อโรงแรมมากที่สุด แต่ในปีที่ผ่านมา เกาะสมุยแซงหน้าขึ้นมา เนื่องจากมีโรงแรมเสนอขายมากกว่า และยังมีการซื้อขายรายการใหญ่ที่สุดของปี 2564 เกิดขึ้นด้วย”
ข้อมูลจาก JLL ระบุว่า โรงแรม 23 โรงที่มีการซื้อขายในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 500-600 ล้านบาทต่อโรง และมีเพียงโรงแรมเดียวเท่านั้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงกว่าพันล้านบาท ซึ่งอยู่ที่เกาะสมุย
โดยทั่วไป โรงแรมที่มีเสนอขายในตลาดรีสอร์ทมักมีการเสนอส่วนลดมากกว่าราคาโรงแรมที่มีเสนอขายในกรุงเทพฯ เนื่องจากโรงแรมในหัวเมืองรีสอร์ทส่วนใหญ่พึ่งพาตลาดการท่องเที่ยวเป็นหลัก ดังนั้น เมื่อการท่องเที่ยวซบเซา จึงได้รับผลกระทบมากกว่า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อธิบายว่า เหตุใดการลงทุนซื้อขายโรงแรมบนเกาะสมุยในปีที่ผ่านมาจึงขยับขึ้นแซงหน้ากรุงเทพฯ
นางสาวพิมพ์พะงากล่าวว่า “โรงแรมที่เสนอขายในกรุงเทพฯ ตลอดช่วงวิกฤติโควิด มีราคาเสนอขายที่ค่อนข้างไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อน และไม่พบว่ามีการลดราคาแรงๆ ให้เห็น ทั้งนี้ ราว 75% ของโรงแรมที่เสนอขายในกรุงเทพฯ มีการลดราคาขายไม่เกิน 5% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด ที่เหลือ 25% เป็นการขายโดยการเปิดประมูลโดยกรมบังคับคดี ในขณะที่โรงแรมในสมุยและภูเก็ตมีการลดราคาขายลงมากกว่า”
JLL คาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมจะยังคงขยายตัว
“เราพบว่าขณะนี้มีการซื้อขายโรงแรมมูลค่าสูงหลายรายการที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจา ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวหลักๆ และในจำนวนนี้ ส่วนหนึ่งเป็นโรงแรมที่มีมูลค่ากว่าพันล้านบาทขึ้นไป นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการการควบคุมชาวต่างชาติเข้าออกประเทศ จะทำให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการแข่งขันสูงขึ้นในหมู่นักลงทุนที่ต้องการซื้อโรงแรมคุณภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ ทำให้เราเชื่อว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมของไทยในปีนี้ จะมีมูลค่าสูงกว่าปีที่ผ่านมา ยังไม่นับรวมถึงการที่ประเทศไทยเป็นตลาดการลงทุนซื้อขายที่คึกคักมากที่สุดในอาเซียนในปีที่ผ่านมา” นายจักรกริชกล่าวสรุป
หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมของเจแอลแอล เป็นที่ปรึกษาการลงทุนด้านโรงแรมชั้นน้ำของเอเชียแปซิฟิก ด้วยทีมงานมืออาชีพมากกว่า 80 คนในสำนักงาน 14 สาขาทั่วภูมิภาค
นอกจากนี้ เจแอลแอลยังได้รับการจัดให้เป็นบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนอันดับหนึ่งของเอเชียแปซิฟิกแปซิฟิกติดต่อกันตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ตามการจัดอันดับโดย Real Capital Analytics
โดยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เจแอลแอลเป็นตัวแทนซื้อขายโรงแรมคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 23,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 7.6 แสนล้านบาท คิดเป็นกว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายโรงแรมทั้งหมดที่ดำเนินการโดยบริษัทตัวแทน
ส่วนในประเทศไทย เจแอลแอลเป็นบริษัทอันดับหนึ่งด้านการเป็นตัวแทนซื้อโรงแรมเช่นกัน โดยนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา บริษัทได้เป็นตัวแทนปิดการขายโรงแรมในไทยไปแล้วคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านบาท
ไทยติดเชื้อทะยานอันดับ 5 ของโลก นพ.ธีระ แนะ ควรกักตัว 14 วันหลังพบเชื้อ
https://www.nationtv.tv/news/378865546
หมอธีระ เผยสถานการณ์ระบาดโควิด "โอมิครอน" ในไทยยังน่าเป็นห่วง ติดเชื้อสูงพุ่งอันดับ 5 ของโลก แนะตรวจ ATK พบผลบวก ควรกักตัว 14 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะตัดโอกาสแพร่เชื้อ ระบุ นโยบายสาธารณสุขยังไม่สามารถรับมือสถานการณ์ระบาด อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ
4 มีนาคม 2565 จากสถานการณืการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรโรนา 2019หรือ โควิด-19 ได้ระบาดลามทั่วโลก ล่าสุด อยู่ในช่วงของ"โอมิครอน" รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายงานสถานการณ์การโควิดทั่วโลก ประจำวันที่ 4 มีนาคม 2565 โดยโพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก "Thira Woratanarat " ระบุข้อความว่า
ยอดติดเชื้อรวมทะลุ 440 ล้านแล้ว และเสียชีวิตเกิน 6 ล้านคน เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มสูงถึง 1,476,855 คน ตายเพิ่ม 7,121 คน รวมแล้วติดไปรวม 441,774,808 คน เสียชีวิตรวม 6,000,263 คน 5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ เยอรมัน เกาหลีใต้ รัสเซีย ญี่ปุ่น และบราซิล
จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ/ใต้ ซึ่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 95.54 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 97.55 ในขณะที่ยุโรปนั้นคิดเป็นร้อยละ 48.45 ของทั้งโลก ส่วนจำนวนเสียชีวิตเพิ่มคิดเป็นร้อยละ 38.36 เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 9 ใน 10 อันดับแรก และ 15 ใน 20 อันดับแรกของโลก
...สถานการณ์ระบาดของไทย
เมื่อวานนี้หากดูเฉพาะจำนวนติดเชื้อยืนยัน จะสูงเป็นอันดับ 17 ของโลก
แต่หากรวม ATK ด้วย จะพุ่งไปถึงอันดับ 5 ของโลก และอันดับ 3 ของเอเชีย
...ติดเชื้อแล้ว ควรแยกจากคนอื่น 14 วัน
Boucau J และคณะ จากสหรัฐอเมริกา ทำการศึกษาระยะเวลาในการตรวจพบเชื้อไวรัสที่มีชีวิต โดยทำการเพาะเชื้อ (culture) พบว่ายังสามารถเพาะเชื้อได้ถึง 25% ณ 7 วัน แต่จะเพาะเชื้อไม่ขึ้นหากติดตามไป 14 วันหลังจากติดเชื้อ การติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ Omicron หรือเดลตา มีระยะเวลาพอๆ กัน ผลการศึกษานี้ช่วยให้เรานำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หากตนเอง สมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เกิดติดเชื้อโรคโควิด-19 ขึ้นมา ควรแยกกักตัวจากคนอื่นไป 2 สัปดาห์ หรือ 14 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะตัดโอกาสแพร่เชื้อ
...การระบาดของไทยนั้นรุนแรง กระจายไปทั่ว
นโยบายสาธารณสุขนั้นยังไม่สามารถรับมือสถานการณ์ระบาดอย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ สัดส่วนของผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้นยังน้อยมากเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมด ดังนั้นหากตรวจพบว่าติดเชื้อ การแยกจากคนอื่นโดยใช้เวลานานเพียงพอจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนคนที่ยังไม่ติดเชื้อ ก็จำเป็นต้องป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด เป็นกิจวัตร ใส่หน้ากากเสมอ เว้นระยะห่างจากคนอื่น พบปะคนอื่นเท่าที่จำเป็น ใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น หากไม่สบาย ควรหยุดเรียนหยุดงาน แจ้งคนใกล้ชิดและที่ทำงาน และไปตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน
อ้างอิง
Boucau J et al. Duration of viable virus shedding in SARS-CoV-2 omicron variant infection. medRxiv. 2 March 2022.
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10223978973254653
"สภาฯ" จี้ "ผู้รับจ้าง" ตอบปมท่อน้ำแตก สงสัยใช้ท่อผิดสเปค
https://www.bangkokbiznews.com/politics/991717
โฆษกสำนักงานเลขาธิการสภาฯ แจง ตรวจสอบปมท่อน้ำแตกกลางสภาฯ สงสัยใช้ท่อผิดสเปค ชี้ต้องทนแรงดันน้ำ 10Bar จี้ผู้รับจ้างตอบ
ว่าที่เรือตรี ยุทธนา สำเภาเงิน ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ฐานะโฆษกประจำสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกเอกสารข่าว ชี้แจงถึงกรณีที่มีภาพปรากฎในสื่อมวลชนว่า เกิดเหตุท่อน้ำประปารั่วภายในอาคารรัฐ เมื่อเวลา 06.00 น. ของวันที่ 1 มีนาคม ทำให้มีน้ำไหลท่วมขังบริเวณห้องทำงาน บางส่วน ตลอดจนไหลท่วมขังที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน B1 ว่า สำนักงานฯ ได้สั่งการให้ผู้รับจ้างโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วและได้รับรายงานว่า เหตุดังกล่าวเกิดจากข้องอ 90 องศา ชนิดแบบสวมอัด ของท่อระบบรดน้ำต้นไม้แตก ทำให้เกิดน้ำรั่วบริเวณเหนือฝ้าเพดานชั้น 8 และไหลท่วมลงมาบริเวณพื้นและห้องทำงานบางส่วนที่อยู่บริเวณ ชั้น 8 ตลอดจนไหลต่อเนื่องไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน B1 ภายในอาคารรัฐสภา
"ตามปกติแล้ว การทำงานของระบบรดน้ำต้นไม้จะมีการกำหนดโปรแกรมให้ปั๊มระบบรดน้ำต้นไม้ทำงานในระหว่างเวลา 06.00 -12.00 นาฬิกาของทุกวัน เมื่อระบบทำงานจะเกิดแรงดันน้ำภายในท่อในระดับ 4 Bar โดยชนิดของท่อและข้อต่อที่เลือกใช้ในโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบนั้น ได้เลือกใช้ท่อและข้อต่อเป็นชนิด HDPE Class PN10 ซึ่งได้มีการทดสอบการทนแรงดันน้ำได้ถึงระดับ 10 Bar จึงไม่ควรเกิดปัญหาข้องอ 90 องศา ชนิดแบบสวมอัดของท่อระบบรถน้ำต้นไม้แตกตามที่ปรากฏ สำหรับสาเหตุที่ทำให้ระบบท่อน้ำแตกนั้น อยู่ในระหว่างการตรวจสอบของผู้รับจ้างฯ และจะรายงานผล รวมทั้งวิธีการป้องกันปัญหาให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทราบต่อไป" โฆษกสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ระบุ
ว่าที่เรือตรี ยุทธนา ระบุด้วยว่าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบนั้น อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ควบคุมงานและมีที่ปรึกษาบริหารโครงการฯ ร่วมดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการก่อสร้าง ทั้งผู้รับจ้างยังไม่ได้ส่งมอบงานงวดสุดท้าย และคณะกรรมการตรวจการจ้างฯ ยังไม่มีการตรวจรับ ดังนั้น หากมีความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากความชำรุดบกพร่องของการก่อสร้างอาคารในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการตรวจรับ ผู้รับจ้างฯ ยังคงต้องรับผิดชอบในความเสียหายทั้งหมด.