สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ไม่จริงครับ
ความรู้สึกว่าต้องมีของหรูของแบรนด์ มันเป็นอาการของสังคมที่เหลื่อมล้ำมากๆ ครับ
บ้านเราเหลื่อมล้ำสูงนะ
และในสังคมที่เหลื่อมล้ำมากๆ เช่นนี้ คนส่วนมากชีวิตจะไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีความมั่นคง
เมื่อเราอยู่ในสังคมแบบนี้ เราก็มีปมด้อยอยู่ลึกๆ
เรามีความกังวลว่าคนอื่นจะมองว่าเราไม่ได้มีดีเท่าเขา แล้วหากเป็นแบบนี้ไปนานๆ สุดท้ายเราก็จะโดนแปลกแยกหรือทอดทิ้ง
ตรงนี้เขาเรียกว่า "ความกังวลเรื่องสถานะ" ("status anxiety")
คนเราจึงชดเชยความกังวลตรงนี้ด้วยความคิดและพฤติกรรมแบบวัตถุนิยม
เอาของแบรนด์ กระเป๋าแพง รถหรู มาชดเชยความกังวลว่าสักวันตัวเองจะไม่มีหน้ามีตาในสังคม
ใช้วัตถุเป็นสัญญาณบอกคนอื่นว่าตัวเองมีหน้ามีตา อยู่ในกลุ่มคนฐานะดี เป็นตัวยกสถานะ
ทำให้รู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง เพิ่มความมั่นใจ ลดความกังวล
ซึ่งก็ป้องกันผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำได้ชั่วคราว
แต่ย้ำว่าได้แค่ "ชั่วคราว" ครับ
เพราะทุกอย่างถูกออกแบบมาให้มีเวลาหมดอายุ จะได้ขายของได้อีก
เมื่อของหมดเทรนด์แล้ว เชยแล้ว คุณก็ต้องกลับไปหากระเป๋าใหม่ ไอโฟนใหม่ รถหรูคันใหม่ ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนอื่นประทับใจอีก
วิ่งเต้นชดเชยความกังวลและไม่มั่นใจของตนเองเรื่อยไป
แต่มีทางออกนะ
สิ่งที่แก้ไขความไม่แน่นอนตรงนี้ได้ถาวร คือ สร้างความสามารถในการรับมือกับความไม่แน่นอนครับ
เริ่มเก็บเงินเผื่อฉุกเฉิน อย่าสร้างหนี้หรือปลดหนี้ให้หมด ใช้เงินให้น้อยกว่ารายได้ เอาส่วนที่เหลือไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง
แล้วคุณจะเป็นคนที่ใช้เสื้อผ้ามือสอง ที่ให้เพื่อนที่ใช้ของแบรนด์ยืมเงิน เวลาที่เขาหมุนเงินไม่ทันครับ
ปล. อ่านเรื่อง status anxiety และวัตถุนิยม เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ https://link.springer.com/article/10.1007/s11205-021-02760-1
ความรู้สึกว่าต้องมีของหรูของแบรนด์ มันเป็นอาการของสังคมที่เหลื่อมล้ำมากๆ ครับ
บ้านเราเหลื่อมล้ำสูงนะ
และในสังคมที่เหลื่อมล้ำมากๆ เช่นนี้ คนส่วนมากชีวิตจะไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีความมั่นคง
เมื่อเราอยู่ในสังคมแบบนี้ เราก็มีปมด้อยอยู่ลึกๆ
เรามีความกังวลว่าคนอื่นจะมองว่าเราไม่ได้มีดีเท่าเขา แล้วหากเป็นแบบนี้ไปนานๆ สุดท้ายเราก็จะโดนแปลกแยกหรือทอดทิ้ง
ตรงนี้เขาเรียกว่า "ความกังวลเรื่องสถานะ" ("status anxiety")
คนเราจึงชดเชยความกังวลตรงนี้ด้วยความคิดและพฤติกรรมแบบวัตถุนิยม
เอาของแบรนด์ กระเป๋าแพง รถหรู มาชดเชยความกังวลว่าสักวันตัวเองจะไม่มีหน้ามีตาในสังคม
ใช้วัตถุเป็นสัญญาณบอกคนอื่นว่าตัวเองมีหน้ามีตา อยู่ในกลุ่มคนฐานะดี เป็นตัวยกสถานะ
ทำให้รู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง เพิ่มความมั่นใจ ลดความกังวล
ซึ่งก็ป้องกันผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำได้ชั่วคราว
แต่ย้ำว่าได้แค่ "ชั่วคราว" ครับ
เพราะทุกอย่างถูกออกแบบมาให้มีเวลาหมดอายุ จะได้ขายของได้อีก
เมื่อของหมดเทรนด์แล้ว เชยแล้ว คุณก็ต้องกลับไปหากระเป๋าใหม่ ไอโฟนใหม่ รถหรูคันใหม่ ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนอื่นประทับใจอีก
วิ่งเต้นชดเชยความกังวลและไม่มั่นใจของตนเองเรื่อยไป
แต่มีทางออกนะ
สิ่งที่แก้ไขความไม่แน่นอนตรงนี้ได้ถาวร คือ สร้างความสามารถในการรับมือกับความไม่แน่นอนครับ
เริ่มเก็บเงินเผื่อฉุกเฉิน อย่าสร้างหนี้หรือปลดหนี้ให้หมด ใช้เงินให้น้อยกว่ารายได้ เอาส่วนที่เหลือไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง
แล้วคุณจะเป็นคนที่ใช้เสื้อผ้ามือสอง ที่ให้เพื่อนที่ใช้ของแบรนด์ยืมเงิน เวลาที่เขาหมุนเงินไม่ทันครับ
ปล. อ่านเรื่อง status anxiety และวัตถุนิยม เพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ https://link.springer.com/article/10.1007/s11205-021-02760-1
ความคิดเห็นที่ 23
เพื่อนคนนึง เงินเดือนสามแสน คนนี้ผ่อนบ้านสิบกว่าล้าน มีรถแพงๆ คนไปไหนเรียกเฮีย คนอื่นมองก็ว่ารวย
แต่ข้างในมีหนี้จากการซื้อบ้าน รถ รวมๆเกินสิบห้าล้าน ทุกเดือนได้มาสามแสน แต่ใช้หมด ไม่มีเงินเก็บ ฐานะสังคมไง
เพื่อนอีกคนนึง เงินเดือนสามแสน ใช้รถเก่าๆ10กว่าปี อยู่บ้านเก่าๆ ไม่มีใครมองว่ารวย เพราะภายนอกไม่แต่งตัว
แต่คนนี้เอาเงินไปลงทุน หุ้น กองทุน ลงทุนพวกนี้หลักสิบกว่าล้าน มีpassive income ได้หลายหมื่นต่อเดือน
และเค้าเก็บเงินจนมีเงินสด 30ล้านรวมเงินที่อยู่ในหุ้นกองทุน
และที่ตลกคือ คนแรก เวลาเจอคนที่สองจะข่มและดูถูก และเคยชวนมาเป็นลูกน้องคนแรกด้วย
ระหว่างฐานะสังคมต้องการมีหน้ามีตาทางสังคมคนอื่นเยินยอแต่หนี้บาน กับฐานะที่แท้จริงหลุดพ้นจากบ่วงกรรมหนี้สินแต่คนอื่นไม่รู้
แบบไหนก็ไม่ผิดเลือกกันเอาเองครับ ผมเลือกแบบหลังเพราะใช้ชีวิตสบายๆ หน้าตาสังคมมันจอมปลอมกินได้ไหม
สู้มีเงินในกระเป๋าสบายๆอยากซื้อ อยากเที่ยวไหน ก็ใช้ไม่ต้องเครียด เมื่อมีเงินพอแล้วคราวนี้จะซื้อบ้านใหญ่รถแพงก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
แต่ข้างในมีหนี้จากการซื้อบ้าน รถ รวมๆเกินสิบห้าล้าน ทุกเดือนได้มาสามแสน แต่ใช้หมด ไม่มีเงินเก็บ ฐานะสังคมไง
เพื่อนอีกคนนึง เงินเดือนสามแสน ใช้รถเก่าๆ10กว่าปี อยู่บ้านเก่าๆ ไม่มีใครมองว่ารวย เพราะภายนอกไม่แต่งตัว
แต่คนนี้เอาเงินไปลงทุน หุ้น กองทุน ลงทุนพวกนี้หลักสิบกว่าล้าน มีpassive income ได้หลายหมื่นต่อเดือน
และเค้าเก็บเงินจนมีเงินสด 30ล้านรวมเงินที่อยู่ในหุ้นกองทุน
และที่ตลกคือ คนแรก เวลาเจอคนที่สองจะข่มและดูถูก และเคยชวนมาเป็นลูกน้องคนแรกด้วย
ระหว่างฐานะสังคมต้องการมีหน้ามีตาทางสังคมคนอื่นเยินยอแต่หนี้บาน กับฐานะที่แท้จริงหลุดพ้นจากบ่วงกรรมหนี้สินแต่คนอื่นไม่รู้
แบบไหนก็ไม่ผิดเลือกกันเอาเองครับ ผมเลือกแบบหลังเพราะใช้ชีวิตสบายๆ หน้าตาสังคมมันจอมปลอมกินได้ไหม
สู้มีเงินในกระเป๋าสบายๆอยากซื้อ อยากเที่ยวไหน ก็ใช้ไม่ต้องเครียด เมื่อมีเงินพอแล้วคราวนี้จะซื้อบ้านใหญ่รถแพงก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
แสดงความคิดเห็น
"ไม่มีหนี้...ชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไร" ทุกคนรู้สึกอย่างไงกับคำนี้ครับ
สรุปคุณว่าคำพูดแบบนี้จริงปะครับ