เพราะสมองมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีเป้าหมายในการใช้ชีวิต
ไม่งั้นมนุษย์คงไม่ติดเกมส์ เพราะเกมส์ก็ออกแบบมาเพื่อให้เราแก้ปัญหาอละบรรลุเป้าหมายไปเรื่อยๆ
การหาเงินก็เหมือนกัน มันเหมือนการเล่นเกมส์ประเถทนึง
พอได้เป้า 10 เราก็ตั้งเป้า 100 พอได้เป้า 100 เราด็ได้เป้าใหม่ ไปเรื่อยๆ
แต่ในบางครั้งเราอาจจะมี Moment of truth ( ไม่รู้จะอธิบายว่า ตรัสรู้ ได้ไหม ) มันบอกเราว่า เราเริ่มจะมีเงินเยอะเกินพอใช้แล้ว
สำหรับผม Moment of truth เกิดขึ้นเมื่อผมลืมเงินล้านนึงว่ามี การที่คนๆนึงลืมเงินล้านนึงได้ แสดงว่า เรารวยแล้วนั่นเอง
ทีนี้พอเราหลงๆลืมๆเงินซักสามล้าน คราวนี้แหละ มันเริ่มเห็นว่า เราควรเลิกคิดเรื่องเงินได้แล้ว นั่นคือ เมื่อเราเริ่มมีอิสรภาพทางการเงิน นั่นเอง
ปีแรกของการไปถึงที่นั่น มันเหมือนสวรรค์ ผมเที่ยว ผมกิน ผมดื่ม ผมเอาเวลาว่างไปทำงานเพื่อสังคมเป็นปีๆ ( ทำจนกระทั่งทีวีช่องนึงจะเอาผมไปออกรายการ แต่ผมอายที่จะสร้างภาพ เพราะชีวิตจริงเราเมาทุกวันตอนดึก )
เรียกว่า ใช้ชีวิตเต็มที่ทั้งด้านดีและไม่ดี เท่าที่เวลาและเงินอำนวย
แต่พอมันผ่านไปห้าปี.....ทุกอย่างก็เริ่มน่าเบื่อ
ผมกินเหมือนเดิมไม่ได้ คู่หูคู่เที่ยวกับผมอย่างแม่ผมก็ตาย ผมดื่มไม่ได้เพราะเป็นเก๊าท์ แล้วผมก็ค้นพบว่าผมชั่วเกินไปที่จะเข้าสังคมกับคนดี ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ชอบคนชั่วๆด้วยกัน
เมียผมก็เข้าสู่ธรรม ผมไปด้วยไม่ได้ เพราะไม่ชอบ
ไม่มีสัตว์เลี้ยงและไม่มีศาสนา...สองสิ่งที่ทำให้คนมีความสุขได้
โลกก็เริ่มอยู่ง่ายมากขึ้นเป็น lazy economy sharing economy
ผมไม่ต้องเรียนรู้การทำกับข้าวกดแกรปเอา ผมไม่จำเป็นต้องมีลูกอีกคนใช้วิธียืมเด็กข้างบ้านมาเป็นพี่น้องกับลูกเรา ทุกอย่างใช้เงินแก้ปัญหา เมียผมสอนลูกให้เป็นคนดี ( เพราะผมสอนไม่เป็น ) โรงเรียนสอนลูกเรื่องที่เหลือ
ผมไม่ติดเกมส์เพราะผมเคยติดเกมส์มาแล้ว ผมไม่เล่นกีฬาแต่ชอบกีฬาบัตรกับกีฬาในร่ม ( ซึ่งมนุษย์ทุกคนชอบอยู่แล้ว )
สองปีที่แล้ว ผมเจอองค์ชายเอนผัก แล้วอิจฉาเขา
อิจฉาที่องค์ชายมี passion ที่ชัดเจน มีโมเดล มี bnk48 แต่ผมไม่มีเลย
ผมรู้สึกว่า.....ผมเริ่มอยู่ไป วันๆ
หนังสือวิชาการที่ชอบอ่านก็โดนสารคดี Netflix Podcast ต่างๆ ดิสรัปชั่น
ทำให้มันเร็วขึ้นในการเสพ ไม่เสียเวลาเยอะกับมันเหมือนเดิม
สมองผมเริ่มไม่มีเป้าหมาย ทำให้ผมซึมเศร้าไปเป็นปี
จนในที่สุด....ผมก็ค้นพบว่า บางทีการไม่เป้าหมายนี่กลายเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างนึง
อาชีพ คือ อะไร ไม่มี
เป้าหมายในชีวิต คือ ไม่มี
อยู่เพื่ออะไร ไม่มี
ศาสนา ไม่มี
ความรักล่ะ คิดว่ารักครอบครัวนะแต่ไม่มั่นใจว่ารักมากกว่าตัวเองหรือเปล่า ?
อีก 1 ชม.จะทำอะไร ( คำถามจากเพื่อนวันนี้ตอนกินชากัน ) คำตอบ ไม่รู้
อุดมคติ ไม่มี
ลองคิดดูการมีชีวิตโดย ไม่มีเป้าหมายนี่ ยากมากกว่า การมีชีวิตแบบมีเป้าหมาย เยอะครับ
มันต้องผ่านการฝึกฝนพอสมควร ไม่ใช่ว่าการเป็นคนขี้เกียจจะเป็น ง่ายๆ
การโยนทิ้งทุกอย่างมัน ยากกว่า ที่จะเก็บมันไว้
การไม่ต้องการอะไรเลยแม้แต่เกียรติ์ศักดิ์ศรี ยากกว่า มีความต้องการ
การอยู่ไปวันๆ ไม่ใช่เรื่องครับ ไม่ใช่แค่พูดแล้วทำได้
พอมีอิสรภาพทางการเงิน...การใช้ชีวิตอย่างไม่มีเป้าหมายยากกว่า
ไม่งั้นมนุษย์คงไม่ติดเกมส์ เพราะเกมส์ก็ออกแบบมาเพื่อให้เราแก้ปัญหาอละบรรลุเป้าหมายไปเรื่อยๆ
การหาเงินก็เหมือนกัน มันเหมือนการเล่นเกมส์ประเถทนึง
พอได้เป้า 10 เราก็ตั้งเป้า 100 พอได้เป้า 100 เราด็ได้เป้าใหม่ ไปเรื่อยๆ
แต่ในบางครั้งเราอาจจะมี Moment of truth ( ไม่รู้จะอธิบายว่า ตรัสรู้ ได้ไหม ) มันบอกเราว่า เราเริ่มจะมีเงินเยอะเกินพอใช้แล้ว
สำหรับผม Moment of truth เกิดขึ้นเมื่อผมลืมเงินล้านนึงว่ามี การที่คนๆนึงลืมเงินล้านนึงได้ แสดงว่า เรารวยแล้วนั่นเอง
ทีนี้พอเราหลงๆลืมๆเงินซักสามล้าน คราวนี้แหละ มันเริ่มเห็นว่า เราควรเลิกคิดเรื่องเงินได้แล้ว นั่นคือ เมื่อเราเริ่มมีอิสรภาพทางการเงิน นั่นเอง
ปีแรกของการไปถึงที่นั่น มันเหมือนสวรรค์ ผมเที่ยว ผมกิน ผมดื่ม ผมเอาเวลาว่างไปทำงานเพื่อสังคมเป็นปีๆ ( ทำจนกระทั่งทีวีช่องนึงจะเอาผมไปออกรายการ แต่ผมอายที่จะสร้างภาพ เพราะชีวิตจริงเราเมาทุกวันตอนดึก )
เรียกว่า ใช้ชีวิตเต็มที่ทั้งด้านดีและไม่ดี เท่าที่เวลาและเงินอำนวย
แต่พอมันผ่านไปห้าปี.....ทุกอย่างก็เริ่มน่าเบื่อ
ผมกินเหมือนเดิมไม่ได้ คู่หูคู่เที่ยวกับผมอย่างแม่ผมก็ตาย ผมดื่มไม่ได้เพราะเป็นเก๊าท์ แล้วผมก็ค้นพบว่าผมชั่วเกินไปที่จะเข้าสังคมกับคนดี ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ชอบคนชั่วๆด้วยกัน
เมียผมก็เข้าสู่ธรรม ผมไปด้วยไม่ได้ เพราะไม่ชอบ
ไม่มีสัตว์เลี้ยงและไม่มีศาสนา...สองสิ่งที่ทำให้คนมีความสุขได้
โลกก็เริ่มอยู่ง่ายมากขึ้นเป็น lazy economy sharing economy
ผมไม่ต้องเรียนรู้การทำกับข้าวกดแกรปเอา ผมไม่จำเป็นต้องมีลูกอีกคนใช้วิธียืมเด็กข้างบ้านมาเป็นพี่น้องกับลูกเรา ทุกอย่างใช้เงินแก้ปัญหา เมียผมสอนลูกให้เป็นคนดี ( เพราะผมสอนไม่เป็น ) โรงเรียนสอนลูกเรื่องที่เหลือ
ผมไม่ติดเกมส์เพราะผมเคยติดเกมส์มาแล้ว ผมไม่เล่นกีฬาแต่ชอบกีฬาบัตรกับกีฬาในร่ม ( ซึ่งมนุษย์ทุกคนชอบอยู่แล้ว )
สองปีที่แล้ว ผมเจอองค์ชายเอนผัก แล้วอิจฉาเขา
อิจฉาที่องค์ชายมี passion ที่ชัดเจน มีโมเดล มี bnk48 แต่ผมไม่มีเลย
ผมรู้สึกว่า.....ผมเริ่มอยู่ไป วันๆ
หนังสือวิชาการที่ชอบอ่านก็โดนสารคดี Netflix Podcast ต่างๆ ดิสรัปชั่น
ทำให้มันเร็วขึ้นในการเสพ ไม่เสียเวลาเยอะกับมันเหมือนเดิม
สมองผมเริ่มไม่มีเป้าหมาย ทำให้ผมซึมเศร้าไปเป็นปี
จนในที่สุด....ผมก็ค้นพบว่า บางทีการไม่เป้าหมายนี่กลายเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างนึง
อาชีพ คือ อะไร ไม่มี
เป้าหมายในชีวิต คือ ไม่มี
อยู่เพื่ออะไร ไม่มี
ศาสนา ไม่มี
ความรักล่ะ คิดว่ารักครอบครัวนะแต่ไม่มั่นใจว่ารักมากกว่าตัวเองหรือเปล่า ?
อีก 1 ชม.จะทำอะไร ( คำถามจากเพื่อนวันนี้ตอนกินชากัน ) คำตอบ ไม่รู้
อุดมคติ ไม่มี
ลองคิดดูการมีชีวิตโดย ไม่มีเป้าหมายนี่ ยากมากกว่า การมีชีวิตแบบมีเป้าหมาย เยอะครับ
มันต้องผ่านการฝึกฝนพอสมควร ไม่ใช่ว่าการเป็นคนขี้เกียจจะเป็น ง่ายๆ
การโยนทิ้งทุกอย่างมัน ยากกว่า ที่จะเก็บมันไว้
การไม่ต้องการอะไรเลยแม้แต่เกียรติ์ศักดิ์ศรี ยากกว่า มีความต้องการ
การอยู่ไปวันๆ ไม่ใช่เรื่องครับ ไม่ใช่แค่พูดแล้วทำได้